ต่างคนต่างรัก แต่ต่างไม่กล้าเปิดใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นของอังศุมาลิน นักศึกษานิเทศสาวกับ เขมรัฐ หนุ่มนักเรียนแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนประถมเผลอมีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน ก่อนหน้านั้นความเป็นเพื่อนและความสนิทสนมของเขาและเธอเหมือนต้นไม้หยั่งรากลึกแต่ไม่ยอมผลิใบแห่งความรัก เพราะต่างคนต่างเก็บความรู้สึกไว้ในใจ แต่เธอรักเขามาตลอดและเขาก็อยากบอกความรู้สึกลึก ๆ ข้างใน หากแต่เมื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองเปลี่ยนไปกลับทำให้เขาและเธอห่างไกลกันมากขึ้น และเรื่องไม่คาดฝันซึ่งไม่คิดว่ามันจะเกิดยิ่งกว่านั้นคืออังศุมาลินท้อง กว่าที่รักจะเข้าใจก็เกือบจะสายที่ต่างคนต่างมองเห็นหัวใจของกันและกัน
เราเป็นเพื่อนกัน
“อ้อน...ช่วยดูให้หน่อยซีว่าเราแต่งตัวเป็นไงบ้าง”
หนุ่มร่างสูงสง่า เรือนร่างบึกบึนเหมือนนักกีฬาในเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีงาช้างสวมกางเกงสแล็คและรองเท้าหนังขัดเงาแวววาวถามขึ้นพลางขยับแว่นตากรอบเหลี่ยมบนใบหน้าคร้ามเข้มขณะนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของรถเก๋งเมื่อประตูรถเปิดออกและหญิงสาวในเสื้อคล้องคอสีม่วงกระโปรงสั้นสีเดียวกันก้าวขึ้นมานั่งบนเบาะข้างคนขับ เลยทำให้อังศุมาลินจ้องเขมรัฐแบบพินิจพิจารณาก่อนตอบว่า
“ก็หล่อแล้วนี่...วันนี้หมอดูดีมากเลยนะ”
“จริงเหรอ...อ้อนว่าอย่างนั้นเหรอ”
“นี่หมอ...นายต้องปรับตัวเองให้เป็นคนที่มีความมั่นใจมากกว่านี้แล้วล่ะรู้ไหม แค่ไปงานเลี้ยงแค่เนี๊ยดูนายเป็นกังวลมากเลยนะ”
“จะไม่ให้กังวลได้ไง อ้อนไม่กลัวเพื่อนว่าเอาเหรอว่าชวนเพื่อนนอกคณะไปงานเลี้ยงแบบนี้ บอกตรง ๆ นะเราเกรงใจ”
“จะเกรงใจทำไม รู้ป่ะว่างานคืนนี้เหล่าเพื่อนสาวจะตวงหนุ่ม ๆ ไปเปิดตัวกัน อ้อนกลัวว่าต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางคู่รักก็เลยต้องชวนหมอไปจะได้ไม่ขัดเขินไงล่ะ”
“แต่เรากลัวว่าจะทำให้อ้อนอายเพื่อนๆ น่ะ”
เขมรัฐ นักศึกษาแพทย์ปีสี่กล่าวอย่างเขิน ๆ กับ อังศุมาลิน นักศึกษาสาวคณะนิเทศศาสตร์ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันและเขากับเธอเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนประถม เขาเป็นหนุ่มนักเรียนแพทย์ที่หน้าตาจัดได้ว่าหล่อเหลาเข้าขั้น รูปร่างดูออกจะแตกต่างกับเพื่อนนักศึกษาคนอื่นเพราะเขมรัฐทั้งสูงใหญ่และบึกบึน นั่นเพราะเขามีเชื้อสายของชาวตะวันตกมาตั้งแต่รุ่นทวด หากแต่มีนิสัยขี้อายและพูดน้อยแทบจะนับคำได้ แต่สำหรับอังศุมาลิน นักศึกษาสาวรุ่นราวคราวเดียวกันและความสวยไม่น้อยหน้าดาวมหาลัย เขมรัฐจะพูดคุยกับเธอมากกว่าคนอื่นๆ อาจเป็นเพราะเขากับเธอเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม ทำให้มีความสนิทสนมกันมาก แต่ก็นั่นล่ะ บ่อยครั้งที่อังศุมาลินมักแวะเวียนไปหาเขาที่คณะจนเพื่อนแซวว่าเธอเป็นแฟนกับเขมรัฐทว่าเขากลับปฏิเสธและบอกว่าเป็นแค่เพื่อนกัน ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาดูเหมือนเป็นไปอย่างราบเรียบ เพราะต่างคนต่างเก็บงำความรู้สึกบางอย่างไว้ ภายนอกคือเพื่อนกันทั้งที่อังสุมาลินรู้ตัวดีว่าเธอไม่ได้รู้สึกเพียงแค่นั้น และสำหรับค่ำคืนนี้เธอเองเป็นคนชวนเขมรัฐไปงานเลี้ยงที่เพื่อน ๆ ในคณะจัดขึ้นแบบกันเอง ตอนแรกเขาอ้ำอึ้งแต่ทนเสียงรบเร้าของเพื่อนสาวไม่ไหวและเมื่อได้ยินเพื่อนหนุ่มกล่าวเช่นนั้นหญิงสาวก็ยิ้มและบอกว่า
“ทำไมอ้อนต้องอายเพื่อนด้วยล่ะ อ้อนมีเพื่อนสนิทเป็นถึงนักศึกษาแพทย์ เรียนปีสี่ เอ...เขาเรียกว่าระดับอะไรนะหมอ”
“ระดับคลินิก...แล้วมันเกี่ยวอะไรกันน่ะอ้อน”
“อ๊าว...ก็เพื่อนอ้อนเก่ง เพื่อนอ้อนเป็นว่าที่ด๊อคเตอร์เชียวนะ”
“อีกตั้งสองปี จะรีบร้อนไปไหน เรายังไม่อยากขึ้นปีห้าเลยรู้มั้ย”
“ทำไมหมอพูดอย่างนั้นล่ะ มีแต่คนอยากเรียนจบเร็ว ๆ จะได้ออกไปทำงานกันทั้งนั้นล่ะ”
“เราไม่อยากขึ้นปีห้า เพราะว่า...พออยู่ปีห้าอ้อนก็จบแล้ว ไม่ใช่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้ว”
เขมรัฐเสียงแผ่วลง สีหน้าและแววตาของเขาที่จ้องมองผ่านเลนส์แว่นมายังหญิงสาวทำให้อังศุมาลินรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ และก็มักเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เธอกับเขาอยู่ใกล้กัน ไม่อยากขึ้นปีห้าอย่างนั้นหรือ?...หญิงสาวได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ในส่วนลึกเพราะจริง ๆ แล้วเธอเองก็คิดเหมือนอย่างเขา ยังไม่อยากให้ถึงวันจบการศึกษา เพราะนั่นหมายถึงการจากลาและเธอก็ใจหายจนไม่อยากนึกถึง แต่อังศุมาลินก็ยิ้มกลบเกลื่อนความคิดตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถึงยังไงเราก็ยังเจอกันได้ เอางี้ไหม...ถ้าอ้อนได้งานแล้วก็จะแวะมาหาหมอบ่อยๆ โอเคร๊”
“กลัวว่าอ้อนจะเจอเพื่อนใหม่แล้วลืมเรา”
“พูดเป็นเด็กน่า...นี่ๆ...นี่อีกอีกอย่างนึงนะ”
ว่าแล้วก็เอื้อมมือจะไปจับใบหน้าคร้ามเข้มแต่เขมรัฐจับมือทั้งสองของเธอไว้
“อ้อน...จะทำอะไรเราน่ะ”
“อ้อนจะถอดแว่นตาของหมอออกยังไงเล่า”