หน้าตาก็หล่อเหลา เท่าที่ปั้นหยาอยู่ด้วยก็คิดว่าคงจะดูไม่ผิด ฐานะคุณไม่ใช่ธรรมดา แต่ปั้นหยาก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าถึงขั้นไหน จะหาผู้หญิงมานอนด้วยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะบอกอะไรให้นะคะคุณฮัมดีนขา...” ปัณฑารีย์เขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ริมฝีปากแนบชิดกับใบหูฮัมดีน “ถึงปั้นหยาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนัก แต่ก็รักตัวเองเป็น แล้วผู้ชายอย่างคุณ ปั้นหยาไม่เลือกมาดูแลชีวิตปั้นหยาหรอกค่ะ คุณแก่และน่าเบื่อเกินไป” ปึก!! เข่าเล็กกระทุ้งขึ้นไปเตะกึ่งกลางกายใหญ่ ถึงจะไม่รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็ทำให้ฮัมดีนเจ็บได้ไม่น้อย “ช่วยไม่ได้นะคะคุณฮัมดีน คุณเป็นคนสอนให้ปั้นหยาทำแบบนี้เอง”
ตอนที่ 1
ก๊อก ก๊อก
ปัง!!
เสียงเคาะประตูดังสองครั้ง ก่อนที่จะเปิดออกโดยไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าของบ้านซึ่งนอนยาวอยู่บนพื้น ตรงหน้ามีกองหนังสือหางานกองใหญ่
หญิงสาวเจ้าของบ้านลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอตระหนกและตกใจเมื่อเห็นใครก็ไม่รู้บุกเข้ามาในบ้าน
“พวก...พวกคุณ...เป็นใคร”
ใบหน้านวลซีดเผือดเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงและเร็ว ในดวงตากลมโตเป็นสีเขียวเข้มจนถึงเป็นแดงเป็นประกาย มองผู้ที่บุกรุกอย่างโกรธเกรี้ยวและไม่ชอบใจ
ความรู้สึกเย็นวาบแล้วแปลเปลี่ยนเป็นความร้อนแผ่มาจากชายหนุ่มร่างใหญ่และสายตาที่ตวัดมองมา ทำเอาปัณฑารีย์ร้อนวูบวาบและกระดากอาย เพราะอยู่บ้านเพียงลำพัง เลยใส่เสื้อยืดคอย้วยและมีรอยขาดหลายแห่ง ใส่กางเกงขาสั้นที่ยาวกึ่งกลางขาอ่อน
“เข้ามาในบ้านฉันทำไม ต้องการอะไร พวกคุณรีบออกไปดีกว่า ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจมาจับ” ปัณฑารีย์พูดอย่างที่นึกได้เสียงสั่นด้วยภาษาไทย แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอาการตอบสนองจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่ก็รีบพูดเป็นภาษาอังกฤษโดยเร็ว
เธอชี้ไปที่ประตูบอกให้ชายหนุ่มทั้งสามคนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านหลังเล็กของเธอราวกับราชสีห์ ไม่เกรงกลัวสิ่งใดรีบออกไปจากบ้านเธอ ทว่า...
ใบหน้าที่เรียบเฉยจนเป็นเย็นชา ดวงตาที่คมดุและแข็งกร้าวกลับยิ่งทำให้ปัณฑารีย์ตื่นตระหนกและหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น แต่หญิงสาวก็พยายามข่มความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ภายใน รีบปรับให้เข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกเห็นและรู้ว่าเธอกลัวจนเข่าอ่อนแล้ว
ฮัมดีน อิลลา ซยานีนมองสาวน้อยร่างเล็กบางที่อยู่เบื้องหน้า เขาสะดุดใจกับดวงตากลมโตที่ใสแจ๋วราวกับดวงแก้ว ที่เมื่อมาอยู่บนใบหน้านวลเนียนที่มีเลือดฝาด ปากนิดจมูกหน่อย ยิ่งทำให้ชวนมอง...ทำให้เขาร้อนรุ่ม ปรารถนาอยากที่จะสัมผัสกับปากอิ่มสีสด โอบกอดกายอรชรแนบชิด ปรารถนาทำให้หญิงสาวร้อนด้วยเพลิงไฟพิศวาสจนต้องร้องครวญครางแนบอกเขาทั้งวันและทั้งคืน
มุมปากหนาแต้มรอยยิ้มแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป เขามองหญิงตรงหน้าอย่างชัดเจนอีกครั้ง
ใบหน้ารูปไข่ขาวนวลเนียน ดวงตากลมโตแวววาวใสเป็นประกายเหมือนลูกแก้วที่มองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวหวาดกลัว ที่ผสมกับความอยากรู้อยากเห็นและหวั่นไหวกับสายตาของเขาเช่นกันที่ทำให้ฮัมดีน อิลลา ซยานีนเหยียดยิ้ม ก่อนจะนึกขึ้นมาได้...
การเดินทางในทะเลทรายคราวนี้ดูท่าจะมีปัญหาเสียแล้ว เพราะหญิงสาวตรงหน้าเขานี่แหละ รูปร่างเธอเล็กบางเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นแขนหรือขาก็เล็กไปหมด จนน่ากลัวว่าจะทนกับการเดินทางที่สมบุกสมบันไม่ได้
“มองอะไร ที่ฉันถามทำไมถึงไม่ตอบ” ปัณฑารีย์ตวาดออกไปเสียงเข้ม ด้วยหวังจะใช้เสียงลดความกลัวของตัวเองและข่มชายตรงหน้าให้ได้...สักเล็กน้อยก็ยังดี
ถ้าจะวัดกันที่ร่างกายเธอคงจะสู้ไม่ได้ เลยต้องใช้เสียงนี่แหละข่มชายหนุ่มไปก่อน เพราะเธอไม่ใช่หญิงสาวไร้เดียงสาที่จะมองความหมายจากนัยน์ตาคู่นั้นไม่ออก
รัศมีแห่งอำนาจของชายหนุ่มแผ่กระจายมา บวกกับรัศมีแห่งความป่าเถื่อนดุร้ายแกมเรียกร้อง ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวระคนหวาดผวา แต่ต้องพยายามซุกซ่อนมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด แต่เมื่อเห็นชายตรงหน้ายกมือ แล้วชายสองคนที่มาด้วยก็เดินลับหายไปด้านในซึ่งเป็นห้องนอน
บ้านหลังนี้มีสามส่วน ส่วนแรกก็คือห้องโถงที่เธอนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ตอนนี้ ส่วนที่สองเป็นห้องนอนที่เมื่อก่อนมีเธอกับแม่เป็นเจ้าของ แต่หลายปีมานี้มีเพียงเธอที่เป็นเจ้าของ และส่วนสุดท้ายคือด้านหลังที่เป็นห้องครัว
“หยุดนะ” ปัณฑารีย์รีบห้ามเสียงสั่น “ออกไปจากบ้านฉันนะ” แต่ไม่มีใครฟังเลยสักคน แล้วชายหน้าดุที่สั่งก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่เธอใช้เอนตัวนอนดูทีวี หรือไม่ก็ใช้เป็นที่พักผ่อนนอนหลับยามที่ไม่อยากเข้าไปนอนในห้องเพียงลำพัง
เมื่อก่อนเธออาศัยอยู่กับแม่ แต่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว บ้านที่มีเพียงแค่เธอ...มันเลยอ้างว้างและเหงามิใช่น้อย บางคืนถึงกับนอนร้องไห้เพราะคิดถึงมารดา
ความจริงแล้วเธอยังมีบิดา เคยคิดเหมือนกันว่าจะออกไปตามหาท่านที่อยู่แดนไกล แต่เมื่อคิดอีกครั้ง...ไม่ดีกว่า ถ้าพ่อต้องการพวกเธอ ก็คงจะเดินทางมารับไปอยู่ด้วยกันนานแล้ว อีกอย่างเธอไม่ได้มีเงินใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยด้วย ตอนที่แม่เสีย เธอก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ค่าใช้จ่ายช่วงนั้นเยอะมาก ทำให้เธอเลิกคิดเรื่องจะไปหาบิดา ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปเหมือนกับสายลมที่พัดมาแล้วก็พัดไป
“พวกคุณกำลังบุกรุกบ้านฉันอยู่นะ ถ้ายังไม่ยอมออกไปอีก ฉันจะ...ฉันจะเรียกตำรวจ” ปัณฑารีย์คิดว่าบุคคลที่เธออ้างถึงน่าจะมีอำนาจพอให้กลุ่มผู้บุกรุกหวาดกลัวจนต้องรีบออกไปจากบ้านของเธอโดยเร็ว ทว่า...น้ำเสียงที่เธอเปล่งออกมานั้น นอกจากจะไม่น่ากลัวแล้วมันยังสั่นเทาจนจับคำแทบไม่ได้
รอ...ผ่านไปสำหรับเธอคิดว่านานมาก แต่ชายในชุดสูทสีดำ ใบหน้ามีทั้งไรหนวดและไรเคราดำเป็นปื้นจนมองไม่เห็นผิวเนื้อ สวมแว่นตาสีดำสนิททับลงไปอีกครั้งก็ยังคงทำเฉย
ปัณฑารีย์โกรธจนตัวสั่น ยิ่งรู้สึกได้ว่าสายตาที่อยู่ใต้แว่นคู่นั้นทั้งเหยียดหยามและดูถูกดูแคลน...เหมือนประเมินสินค้าอะไรสักอย่าง เธออยากจะหาอะไรมาฟาดหัวอีกฝ่ายให้แตก แต่กลับทำได้เพียงแค่ข่มอารมณ์ เพราะรู้ว่าสู้อีกฝ่ายไม่ได้
ปัณฑารีย์หันไปหาอีกสองคนที่เข้าไปรื้อค้นข้าวของในห้องเธออย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง
“ฉันเตือนพวกคุณแล้วนะ” ในเมื่อไม่สนใจคำพูดของเธอ ก็เตรียมตัวไปอยู่ในห้องขังก็แล้วกัน
ปัณฑารีย์รีบถลาไปหาโทรศัพท์ที่เธอชาร์จแบตเอาไว้บนโต๊ะวางทีวี แต่เพียงแค่เธอขยับตัวเท่านั้น คนที่นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ก็ลุกมาจับแขนเรียว จับไพล่ไปด้านหลัง อีกมือก็ยกขึ้นปิดปากอิ่มไม่ให้หญิงสาวส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมา
“อื้อ...อื้อ...” (ปล่อยฉันนะ ปล่อย!!) ปัณฑารีย์พยายามสะบัดตัวหนี แต่กลับถูกเหมือนถูกรัดมากขึ้น
“อยู่นิ่งๆ นะแม่สาวน้อย ถ้าไม่อยากถูกมัดเหมือนกับพวกสัตว์ที่ถูกจับไปฆ่าทิ้งนะ”
ปัณฑารีย์ถึงกับขนลุกชันกับน้ำเสียงดุร้ายและแข็งกร้าวที่พูดชิดใบหู ลมหายใจที่เป่ารดและกลิ่นโคโลนจางๆ และอ้อมกอดแข็งแกร่งที่รัดกาย ทำให้เธอหวั่นไหวจนเกือบจะเข่าอ่อน
ฮัมดีนยิ้มหยัน เพียงแค่เขาแตะต้องแค่นิดหน่อย คนในอ้อมกอดก็ดูจะร้อนเป็นไฟแล้ว แบบนี้แผนการที่เขาวางไว้ดูจะสำเร็จได้ง่ายขึ้น การเดินทางก็คงจะไม่น่าเบื่อ เพราะมีอะไรสนุกๆ ให้ทำ
ชายหนุ่มรัดร่างบางจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายสาวและแป้งเด็ก กระตุ้นความต้องการจนเขาแทบจะทนไม่ไหว อยากทำอะไรให้มันเสร็จสิ้นโดยเร็วไว แต่ต้องข่มใจเอาไว้ก่อน เพราะบางอย่าง เร่งร้อนไปไม่ใช่เรื่องดี
“เก็บของเสร็จหรือยังยูซาร็อบ” ฮัมดีนตะโกนถามเพื่อน ขณะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งเมื่อครู่โดยพาร่างเล็กบางไปนั่งบนตักด้วย
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"