“ฉันไม่ได้บ้านะน้ำพราว” “อ้าว...ก็อาการที่นายเป็นมันใช่นี่น่า อยู่ดีไม่ว่าดีทำตัวเหมือนกับคนบ้าที่ยาหมด เลยอาละวาดใส่คนอื่นเขาไปทั่ว แล้วไปโกรธใครมาอีกล่ะ แต่ฉันไม่น่าจะถามเลยนะที่ทำให้นายเต้นเป็นเจ้าเข้าแบบนี้ได้ ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ” หญิงสาวยิ้มหยันให้อย่างที่รู้ว่าตัวเองไม่น่าจะคิดผิด สีหราชหันมองคนที่กำลังพูดจ๋อยๆ อย่างไม่เกรงกลัวเขาด้วยสายตาขุ่นขวาง “ไม่ต้องมาทำตาแบบนั้นเลยตาบ้า ไม่กลัวแล้ว คนอะไร บ้าได้ไม่มีวันหยุดจริงๆ ผู้หญิงคนไหนได้นายเป็นสามีนี่คงจะต้องเป็นคนมีกรรมอย่างหนักแน่” “ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร แต่ที่แน่ๆ นะกำลังพูดจ๋อยๆ จนลิงจะหลับอยู่ไงล่ะคนหนึ่ง” ****************** “ชาติหน้าเถอะน้ำเพชร เธอเป็นของฉัน! เป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น!” จมูกโด่งกดไปใบหน้าและลำคอระหงพร้อมกับที่เสื้อผ้าที่หญิงสาวและตัวเขาเองใส่ หลุดออกจากร่างกายของทั้งคู่ด้วยสภาพฉีกขาดไม่สามารถนำมาใส่ซ้ำได้อีกแล้ว ชายหนุ่มมือเรียวที่ผลักดันใบหน้าและร่างกายเขาออกตรึงไว้เหนือศีรษะ “ไม่นะนายเสือ....” บุษย์น้ำเพชรเริ่มกลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อเจอความโกรธของพยัคฆ์ หญิงสาวพยายามหนีให้พ้นจากปากและกายใหญ่ที่จับต้องร่างกายของเธออย่างรุนแรง ดวงตากลมโตเบิกกว้างน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าและซึมออกมาอย่างหักห้ามไม่ได้
ตอนที่ 1
“จะเข้าไปจริง ๆ หรือเพชร” บุษย์น้ำพราวถามน้องสาวน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ
ตั้งแต่ที่บุษย์น้ำเพชรรู้ข่าวว่าพี่สาวสุดรักสุดหวง จะต้องแต่งงานกับพยัคฆ์ ปาศัยสุนัย ชายหนุ่มจอมเจ้าชู้ที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องบำบัดความใคร่ หญิงสาวก็ฟาดงวงฟาดงา น้อยใจบิดาและมารดาอยู่เป็นพักใหญ่ หาว่าพ่อไม่รักพี่สาวบ้าง หาว่าพ่อกับแม่ส่งพี่สาวไปตกนรกบ้างแหละ หลายๆ คำพูดที่บุษย์น้ำเพชรว่าไป สร้างความเจ็บช้ำให้กับบิดาและมารดา แล้วมันก็สร้างความชอกช้ำใจอยู่ลึกๆ ให้กับผู้เป็นพี่สาวอย่างเธอด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าสองสาวจะพยายามที่จะถามเหตุผลสักกี่ครั้ง แต่บิดาและมารดาต่างไม่ยอมตอบ ได้แต่นั่งทำหน้าเศร้า แล้วเมื่อลงกับใครไม่ได้ บุษย์น้ำเพชรเลยหันไประบายอารมณ์ใส่ตุ๊กตาหมีตัวโปรดจนเจ้าหมีน้อยถึงกับกระเด็นออกมานอกห้องนอน
ความจริงบุษย์น้ำเพชรไม่ได้อคติอะไรกับพยัคฆ์เลย หากแต่ภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับที่ชายหนุ่มควงสาวไม่ซ้ำหน้า และไม่เว้นแต่ละวัน ทำเอาบุษย์น้ำเพชรถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้า รีบลากมือบุษย์น้ำพราวและหนังสือพิมพ์ที่ได้เห็น ไปให้บิดามารดาดูอย่างร้อนใจ และขอร้องให้พ่อยกเลิกงานแต่งงานในครั้งนี้เสีย
“พ่อขอโทษนะเพชร...พราว แต่พ่อทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้ายกเลิกงานแต่งงานของพราวกับเสือ พนักงานอีกหลายสิบชีวิตก็ต้องตกงาน พวกเขาทุกคนไม่ได้มีความผิด พวกเขาก็มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ”
ภมรยกมือขึ้นลูบผมบนศีรษะบุษย์น้ำพราว ในขณะที่คุณบุหงาได้แต่โอบกอดบุษย์น้ำเพชร ใบหน้าภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเองก็เศร้าหมองและเสียใจไม่แพ้เขาเช่นกัน
“ทำไมละคะพ่อ เรื่องแต่งงานของพี่พราวไปเกี่ยวอะไรกับที่คนงานต้องตกงานด้วย” บุษย์น้ำเพชรยังคงถามอย่างไม่เข้าใจ เธอมองไปที่มารดาและบิดาสลับกันไปอย่างต้องการคำตอบ
“เพราะว่าเรากำลังจะล้มละลายไงเพชร พ่อเขาทำงานผิดพลาด ถ้าไม่ได้เงินไปจ่ายหนี้สิน เขาก็จะฟ้องร้องให้เราเป็นบุคคลล้มละลาย เพชรทนได้หรือลูก” คุณบุหงาถามลูกสาวคนเล็ก น้ำตาคนเป็นแม่ไหลอาบแก้ม ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าลูกสาวทั้งสองคนไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ เห็นผู้หญิงเป็นเพียงของเล่นหรือเครื่องบำบัดความใคร่
“ได้ค่ะ” บุษย์น้ำเพชรเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น เธอทนได้ถ้าหากคนที่รักมีความสุข แต่...พ่อกับแม่จะต้องไม่มีความสุข หากทำให้คนอีกหลายๆ คนต้องเดือดร้อน
บุษย์น้ำเพชรโกรธกรุ่นขบกัดฟัน สองมือกำหมัดแน่น ขณะโยนความผิดทุกอย่างไปให้กับพยัคฆ์และครอบครัว ในขณะที่บุษย์น้ำพราวนั่งฟังอย่างสงบ ยิ่งได้ฟังเหตุผลของบิดาก็พอที่จะเข้าใจ และทำใจยอมรับได้บ้าง หากความอดทนของบุษย์น้ำเพชรก็ขาดผึงเมื่อได้เห็นข่าวหน้าหนึ่ง เมื่อพยัคฆ์บอกว่า
ถึงแม้จะเข้าพิธีแต่งงานกับ...ผู้หญิงคนไหนก็ตาม แต่เขาก็จะไม่หยุดทำตามใจปรารถนา
มันก็หมายความว่า...อีตาพยัคฆ์จะไม่หยุดสำส่อน!
บุษย์น้ำเพชรถึงกับโกรธหน้าแดง ถ้ามีควันออกจากหูได้มันก็คงจะออกไปแล้ว เขาจะไปควงหรือนอนกับสาวไหน เธอไม่ว่า แต่ไอ้การที่ประกาศจนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าว มันดูถูกและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพี่สาวเธอและครอบครัวของเธอจนเกินไป เธอรับไม่ได้และจะไม่รับด้วย และจะไม่ทนกับไอ้คนปากเสียนิสัยเสียแบบนั้นด้วย
สาวสวยรูปร่างบอบบางสองคนที่กำลังทุ่มเถียงกันอยู่หน้าตึก VV กรุป คนหนึ่งมีท่าทางตื่นกลัวนิด ๆ แต่อีกคนกลับมีแต่ความโกรธเข้ามาบดบังจิตใจ
“ก็ใช่นะซิ หรือว่าพี่พราวจะยอมไอ้บ้านั่นตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน แต่เพชรไม่ยอมหรอกนะ ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เขาจะมาทำแบบนี้กับพี่สาวของเพชรไม่ได้”
อย่างไรวันนี้เธอจะต้องพบและถามกับไอ้ว่าที่พี่เขยนั่นให้ได้ ที่ให้พี่สาวเธอไปทำอะไรเกี่ยวกับงานแต่งงานคนเดียวเธอไม่ว่า แต่มาถูถูกศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงแบบนี้...เธอรับไม่ได้!
“แต่พี่กลัวนี่เพชร น้องก็รู้ว่าคุณเสือ...” บุษย์น้ำพราวยื่นมือเย็นเฉียบไปจับมือบุษย์น้ำเพชร เพื่อบอกให้รู้ว่าเธอกลัวชายหนุ่มที่อยู่ในห้องทำงานชั้นบนสุดของอาคารเพียงไหน แค่รู้ว่าต้องแต่งงานกับพยัคฆ์เธอก็แทบจะกลั้นใจตายอยู่วันละหลายครั้งแล้ว แต่ติดที่ว่าความจำเป็นของครอบครัวทำให้เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทน
“อีตาเสือนั่นทำไมพี่พราว ไอ้ที่หน้าตาบึ้งตึง และยังจะทำตาดุใส่เหมือนกับชื่อนะหรือ” บุษย์น้ำเพชรบีบมือพี่สาวให้กำลังใจเบาๆ ใบหน้าขาวสวยเบะออกว่าคนอย่างเธอไม่เคยจะกลัว
“ไม่ต้องกลัวน่าพี่พราว เพชรอยู่ทั้งคน เพชรไม่ยอมให้นายเสือขาหักนั่นมาทำอะไรพี่ได้หรอกน่า”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ค่ะพี่พราว ไปเอาเรื่องไอ้เสือบ้าผู้หญิงดีกว่าค่ะ” บุษย์น้ำเพชรดึงแขนพี่สาวเดินลิ่ว ๆ เข้าไปในตึกอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งนั้น
สองสาวขึ้นมาจนถึงชั้นสูงสุด ระยะทางจากลิฟต์ไปจนถึงห้องรองประธานกรรมการผู้บริหารยาวประมาณ 200 เมตร และมีการนำต้นไม้ประดับมาวางเป็นจุด ๆ บุษย์น้ำเพชรต้องคอยดึงร่างพี่สาวให้ตามติดมา จนทั้งสองคนมายืนอยู่หน้าโต๊ะเลขานุการของพยัคฆ์ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของโต๊ะหายไปไหน
“ดีมาก ๆ เจ้านายก็บ้าผู้หญิง ลูกน้องก็หนีงาน อย่างนี้ถ้าเป็นบริษัทของเรานะพี่พราว เจอไม่ทำงานแบบนี้ เพชรจะไล่ออกให้หมดเลย” บุษย์น้ำเพชรกัดฟันพูดอย่างโกรธเกรี้ยว เธอรีบลากพี่สาวเข้าไปในห้องทำงานของพยัคฆ์โดยเร็ว
ผลั๊ว!!
เสียงประตูเปิดออกดังสนั่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้สองร่างที่นัวเนียกันอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลมะฮอกกานีสนใจแต่อย่างใด พยัคฆ์ยังคงกกกอดซอกซอนจมูกและปากไปตามเรือนร่างนุ่มนิ่ม ที่ส่งเสียงร้องครวญครางทุกครั้งที่เขาขยับตัว
“ว้าย! ตายแล้วบัดสีบัดเถลิง เดี๋ยวนี้ห้องทำงานเขากลายเป็นโรงแรมม่านรูดไปแล้วหรือเนี่ย” บุษย์น้ำเพชรที่แม้จะตื่นตกใจ และอายกับภาพที่เห็นแต่ก็ยังตั้งสติได้เร็วกว่าพี่สาวที่ตอนนี้อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือดคล้ายจะเป็นลมอยู่ไม่กี่นาทีข้างหน้า
เสียงพูดของบุษย์น้ำเพชร ไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของสองหนุ่มสาว ที่นัวเนียบนโซฟาแม้แต่น้อย แล้วยังจะมีบราเซียลูกไม้สีขาว ลอยมาตกอยู่ตรงหน้าของสองพี่น้องอีก บุษย์น้ำเพชรถึงกับโกรธควันออกหู ใบหน้าขาวสวยแดงก่ำ
“พี่พราวถือกระเป๋าให้เพชรหน่อย” บุษย์น้ำเพชรยื่นกระเป๋าสะพายใบเล็กให้พี่สาว ส่วนตัวเองก็รีบวิ่งไปหยุดที่แจกันดอกไม้สดที่ตอนนี้เหี่ยวแห้งคาแจกัน ภายในมีน้ำใสพอประมาณ หญิงสาวรีบหยิบมันและวิ่งไปหาพยัคฆ์ และปล่อยน้ำใส่ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ร้องครางราวกับโลกกำลังถล่มแผ่นดินกำลังสะเทือนอยู่ทันที
“ว้าย!”
“โว้ย!” พยัคฆ์ถลาลุกขึ้นจากร่างอัญญิกาทันทีที่น้ำเย็น ๆ และออกกลิ่นเหม็นตุ ๆ ราดลงไป ดับไฟพิศวาสในกายเขาเสียสิ้น แล้วมันก็สร้างอารมณ์ใหม่ให้เขาทันทีเช่นกัน
บุษย์น้ำเพชรยิ้มกว้างอย่างสะใจ ทิ้งแจกันในมือลงบนพื้นกำมะหยี่และรีบถอยห่างไปยืนอยู่ใกล้ ๆ กับพี่สาวทันที พร้อมกับหัวเราะอย่างสะใจ เธอยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย ในดวงตากลมโตแพรวพราวระยับส่งยิ้มเยาะเย้ยให้กับชายหนุ่มที่มองตอบด้วยดวงตาขุ่นเขียว
พยัคฆ์เงยหน้ามองคนที่กล้ามาขัดความสำราญของเขาและอัญญิกาดวงตาขุ่นเขียว เขาหายใจแรงๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่มันกำลังปะทุ เมื่อสามารถข่มความเจ็บปวดและรวดร้าวที่เกิดขึ้นกึ่งกลางกายได้แล้ว ชายหนุ่มก็ถามสองสาวไปด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“เธอสองคนเป็นใครและเข้ามาในห้องทำงานของฉันได้ยังไง”
ชายหนุ่มชี้หน้าสองสาว ขณะมองหญิงสาวที่กำลังยิ้มกว้างอย่างสะใจที่ได้ทำร้ายเขา แล้วตวัดสายตาคมดุไปที่อีกคืนที่ยืนหน้าซีดตัวสั่นจนต้องรีบหลบหลับคนที่มาด้วย
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"