/0/5502/coverbig.jpg?v=deaa6446c9f1a7667f5a679550bc2c64)
คุณเชื่อรึเปล่าว่าแค่การอยากดูดาวจะทำให้เราเจอกับคนที่โชคชะตากำหนดมาให้ ฉันไม่เคยเชื่อเลยจนมาเจอกับตัวเอง เป็นเพราะดาวหรือเพราะโชคชะตากันนะที่ทำให้เขากับเธอมาเจอกันในสถานที่และห้วงเวลาที่ต่างออกไป
วันนี้คือวันที่คู่รักทั่วโลกแสดงความรักต่อกัน แต่เธอกลับถูกแฟนหนุ่มที่คบกันมาตั้งสามปีบอกเลิกทำไมกันนะ ทำไมโชคชะตาต้องเล่นตลกกับหญิงสาวตัวเล็กๆ อย่างเธอด้วย ลู่เมิ่งหลิงสาวน้อยวัย19ปีที่เพิ่งถูกคนรักบอกเลิกเมื่อเช้า ตอนนี้กำลังนั่งร้องไห้ปรับทุกข์คนเดียวที่สวนสาธารณะหน้าหอดูดาวในเมืองแห่งหนึ่ง พลางในมือถือขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ด้วย
“ถานมู่ไป๋ นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงกัน ฉันอุตส่าห์คบกับนายตั้งสองปี สองปีเชียวนะที่ฉันยอมนายทุกอย่าง โชคชะตาเล่นบ้าอะไรกับชีวิตฉันเนี่ย ทำให้ต้องทำให้คนอย่างฉันไม่เหลือใครด้วยเนี่ย” ปากพลางพร่ำเพ้อโทษโชคชะตา มือก็พลางยกเครื่องดื่มขึ้นมาจรดปากตนเพื่อหวังเพียงให้มันช่วยคลายความโศกเศร้าในใจตนได้
“ดาวตกงั้นเหรอ จริงสินะวันนี้มีดาวตกนี้น่า ไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน” ว่าอย่างนั้นลู่เมิ่งหลิงก็ลุกขึ้นเพื่อจะเดินเข้าไปภายในหอดูดาวสาธารณะที่เปิดบริการอยู่ทันที
“ขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ” พนักงานขอบัตรประชาชนของลู่เมิ่งหลิง ก่อนที่เธอจะยื่นให้เหมือนเคยและได้ยินคำพูดบางอย่างของพนักงานที่ดูแลทางเข้าที่ชวนให้ประหลาดใจประโยคหนึ่ง
“หวังว่าจะหลุดพ้นจากเรื่องที่ไม่สมหวังนะครับ”
“คะ!? อ่อขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะคะ” ลู่เมิ่งหลิงเอ่ยขอบคุณก่อนจะรับบัตรประชาชนของตนกลับคืนมา
“ครับ ข่าวบอกว่าคืนนี้จะมีดาวตกที่ในร้อยปีจะมีสักครั้งด้วยนะครับ หวังว่าคุณจะโชคดีได้เจอนะครับ”
“ค่ะ หวังว่าฉันจะมองเห็นมันนะคะ” ลู่เมิ่งหลิงขอบคุณพนักงานคนนั้นก่อนจะเลือกเดินขึ้นไปด้านบนของหอดูดาวแห่งนี้เพื่อจับจองพื้นที่สำหรับดูดาวในคืนนี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือทั้งที่คืนนี้เป็นวันที่จะมีดาวตกที่จะมีทุกร้อยปีเกิดขึ้นแท้แต่กลับไม่มีใครอยู่ที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงเธอและสายลมเย็นที่พัดผ่านเท่านั้น
“ไม่มีคนงั้นสินะ เอาเถอะหากว่าคืนนี้มีดาวตกที่ทุกร้อยปีจะมีสักครั้งเกิดขึ้นจริงก็ขอให้คำขอของฉันเป็นจริงทีเถอะ” ลู่เมิ่งหลิงพลางยกสองมือประสานกันเพื่ออธิษฐานต่อดาวและเทพบนสวรรค์ให้ช่วยบันดาลให้คำขอของเธอเป็นจริงเท่านั้น
“เอาล่ะ ลู่เมิ่งหลิงพรุ่งนี้เธอยังต้องไปเรียน จะมามัวแต่เสียใจกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ” ลู่เมิ่งหลิงปลอบใจตัวเองแล้วเดินลงมาจากหอดูดาวเพื่อกลับไปยังหอพักนักศึกษาที่ตนอาศัยอยู่ในตอนนี้
“อาเตี๋ยฉันกลับแล้ว อาเตี๋ยเธออยู่ไหม” ลู่เมิ่งหลิงเรียกชื่อของรูมเมทของตน ก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้รูมเมทของเธอไปค้างที่ห้องของแฟนหนุ่มที่อยู่นอกมหาลัย
“วันนี้แม้แต่อาเตี๋ยที่น่ารักก็ยังไปนอนหอแฟนเลยสินะ แล้วฉันล่ะถูกแฟนบอกเลิกไม่พอ ยังต้องมานั่งดื่มเหล้าในหอคนเดียวอีก วันนี้มันวันอะไรของฉันเนี่ย” ว่าจบลู่เมิ่งหลิงก็ล้มตัวลงบนเตียงก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าเพื่อปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อนลง
ร่างบางหลับลงอย่างไม่สติจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหูเบาๆ
‘เด็กน้อยลืมตาขึ้นมาเถอะ แม่มารับเจ้าแล้ว’
'ใครน่ะ'ลู่เมิ่งหลิงที่ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาเพียงเอ่ยถามเท่านั้น
'แม่มารับเจ้าแล้ว เมิ่งเมิ่ง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ลูกควรอยู่ ไปเถอะกลับไปกับแม่ แม่จะพาเจ้ากลับไปในที่ที่เจ้ากลับมา'
'จะพาฉันไปไหนกันน่ะ'
'เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าก็จะรู้ได้เองเมิ่งเมิ่ง'เสียงของผู้หญิงคนนั้นเงียบไป ลู่เมิ่งหลิงก็หลับลงไปอีกครั้ง
แสงอาทิตย์สาดส่อง เสียงของนกน้อยใหญ่ดังขึ้นเบาๆ เหมือนการขับกล่อมให้ตื่นขึ้นจากนิทรา สาวน้อยค่อยๆ ตัดสินใจลืมตัวขึ้นมามองดูธรรมชาติเบื้องหน้า พลางใช่สายตาสำรวจรอบๆ อย่างนึกสงสัยว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันแน่ หรือเพียงเพราะนี้เป็นแค่ฝันที่ตนสร้างขึ้นจากจินตนาการในยามเช้า หรือนี่คือเรื่องจริงกันแน่
เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริง สาวน้อยก็ลุกขึ้นมองเสื้อผ้าของตนที่ตอนนี้อยู่ในชุดจีนโบราณผ้าเนื้อดีสีขาวเหลือบน้ำเงินปักด้วยลายที่วิจิตรประณีต เช่นนั้นสาวน้อยจึงวิ่งไปที่สระน้ำด้านหน้าที่ใสราวกับกระจกเพื่อจะสำรวจใบหน้าของตน ก่อนจะพบว่าฝาหน้าของเธอในตอนนี้งดงามยิ่งกว่าเทพธิดาบนสรวงสวรรค์หรือกระทั่งดาราในยุคปัจจุบันที่เธอจากมาด้วย แม้ตอนนี้ร่างนี้จะยังเป็นเพียงเด็กอยู่ก็ตาม
“อะไรกัน นี่ใช่ฉันจริงเหรอ” ลู่เมิ่งหลิงใช้มือลูบไปที่กลางหน้าผากของตน
“รอยอะไรกัน ฉันเคยมีรอยแบบนี้อยู่กลางหน้าผากด้วยงั้นเหรอ”
“ตราดารา สัญลักษณ์แห่งเทพธิดาแห่งฝันน่ะ” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้ลู่เมิ่งหลิงตกลงไปในน้ำอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเป็นใครน่ะ”
“อยู่ที่นี่เจ้าต้องใช้ภาษาของที่นี่ มิใช่ภาษาของที่ที่เจ้าจากมารู้หรือไม่ลู่เมิ่งหลิง”
“แล้วคุณเป็นใครกันแน่ รู้ชื่อฉันได้ยังไงกัน แล้วอีกอย่างฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตอบคำถามฉันได้หรือเปล่า” ลู่เมิ่งหลิงถามบุคคลตรงหน้าที่ยืนยิ้มแย้มโดยไม่มีท่าทีว่าจะช่วยตนขึ้นจากน้ำเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เจ้าขึ้นมาจากน้ำดีก่อนหรือไม่ ข้าจะได้ตอบคำถามเจ้าได้ง่ายขึ้น”
“คุณไม่คิดช่วยฉันหน่อยหรือไง ทั้งที่เป็นเพราะคุณแท้ๆ ที่ทำให้ฉันตกลงมาในน้ำแบบนี้น่ะ”
“อ่อ งั้นข้าช่วยเจ้าเอง” ว่าจบร่างกายของเมิ่งหลิงก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากน้ำอย่างช้าๆ พร้อมกับเสื้อผ้าที่แห้งงด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณมาก ว่าแต่คุณคือ”
“เสียมารยาทแล้ว ข้าคือคนที่มารดาเจ้าไหว้วานให้มาช่วยดูแลเจ้าในโลกนี้เท่านั้น”
“ในโลกนี้คุณหมายความว่า ที่ๆ ฉันจากมามันไม่ใช่ที่ของฉันเหรอ”
“ฉลาดดี สมแล้วที่เป็นธิดาเทพธิดาดาราจันทรา ถูกต้องโลกที่เจ้าอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ด่านเคราะห์หนึ่งของเจ้าเท่านั้น”
“ด่านเคราะห์ จะบอกว่าฉันเป็นเทพเซียนหรือไงที่จะได้ต้องผ่านด่านเคราะห์อะไรแบบนั้น”
“ใช่มารดาเจ้าคือเทพธิดาดาราจันทรา ส่วนบิดาของเจ้าก็เป็นเทพเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้เรื่องต่างๆ มากขนาดนั้น ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องรู้มีเพียงแค่เรื่องราวของโลกใบนี้เท่านั้น”
“แล้วฉันต้องรู้อะไรบ้างล่ะ ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจว่าแค่อกหักแล้วทำไมถึงตายแล้วมาอยู่ที่นี่ก็เถอะ แต่ฉันก็จะพยายามทำความเข้าและปรับตัวก็แล้วกัน” เทพผู้นั้นมองเด็กสาวอย่างยิ้มเอ็นดูกับการกระทำของนาง
“เหมือนบิดาเสียยิ่งกว่าใครจริง เอาล่ะอย่างแรกเลยก็คือเจ้าลู่เมิ่งหลิง เจ้าต้องเปลี่ยนวิธีการพูดใหม่เสียเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอเวลาอีกหน่อยนะคะ ตอนนี้ฉัน…ข้าอยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครในโลกนี้กันแน่ แล้วทำไมตอนนี้ข้าเหมือนเป็นเด็กเช่นนี้ล่ะ” ลู่เมิ่งหลิงถามเทพหนุ่มตรงหน้าตน เพราะอยากรู้เหตุผลที่แท้จริงที่ตนมายังโลกนี้
“เจ้าคือลู่เมิ่งหลิง ปีนี้อายุเจ็ดหนาวเท่านั้น ในโลกนี้เจ้าก็คือเทพธิดาแห่งฝัน”
“พ่อแม่ข้าล่ะเจ้าคะ”
“ในโลกใบนี้เจ้าเป็นเด็กที่เกิดมาจากพลังของธรรมชาติเท่านั้น เจ้าเป็นสตรีจึงมีพลังหยินมาก เจ้าจำไว้แค่เพียงว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะคอยสั่งสอนเจ้าแทนบิดามารดาเอง”
“เจ้าค่ะ งั้นให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ อาจารย์ดีหรือไม่”
“อย่าเชียว อย่าได้คิดที่จะเรียกข้าว่าอาจารย์เชียวเด็กน้อย มิเช่นนั้นบิดาเจ้าได้มาแหกอกข้าเป็นแน่”
“งั้นให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ”
“เรียกข้าว่าท่านลุงใหญ่ก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสียมารดาเจ้าก็เหมือนน้องสาวของข้าคนนึงเช่นกัน ส่วนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าอาเมิ่ง” เทพหนุ่มบอกเด็กสาวอายุเจ็ดหนาวตรงหน้าตน
“เจ้าค่ะท่านลุงใหญ่ เมิ่งเมิ่งจะทำถามที่ท่านบอก” เด็กน้อยคำนับบุรุษตรงหน้าตน
“เมิ่งเมิ่ง เจ้าแทนตัวเองเช่นนี้ไปได้ยินมาจากไหนหรือ” เทพหนุ่มถามเด็กน้อย เพราะชื่อนี้หากมิใช่บิดาหรือมารดาแล้วย่อมไม่อาจมีผู้ใดเรียกเช่นนี้เป็นแน่
“เสียงของผู้หญิงที่บอกว่าจะพาข้ากลับมาที่ที่ข้าควรอยู่เจ้าค่ะ นางบอกว่าเป็นแม่ข้า” เด็กน้อยตอบบุรุษตรงหน้าตน
“งั้นหรือ อาเมิ่งเจ้าจำไว้นะ นั้นคือเสียงของมารดาเจ้า อาเมิ่งน้อยเจ้ารู้หรือไม่ว่าชื่อของเจ้ามาจากอะไร” เทพหนุ่มพลางลูบหัวเด็กน้อยที่ตอนนี้นั่งอยู่บนตักตน
“ชื่อของข้าหรือเจ้าคะ”
“ใช่ชื่อของเจ้า”
“ชื่อของข้าไม่ได้มาจากกวางแห่งฝันหรือเจ้าคะ”
“เจ้าคิดว่าเป็นเช่นนั้นหรืออาเมิ่ง”
“เจ้าค่ะ มิใช่หรือเจ้าคะ ในโลกก่อนคนที่รับเมิ่งเมิ่งไปเลี้ยงบอกว่า ชื่อของเมิ่งเมิ่งมาจากกวางแห่งฝันเจ้าค่ะ ท่านลุงรู้หรือไม่เจ้าคะ ว่าเมื่อก่อนเมิ่งเมิ่งถูกล้อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อแม่ เป็นเด็กกำพร้าเป็นเพียงแค่เด็กที่ถูกรับเลี้ยงเท่านั้น” เด็กน้อยว่าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจจากการที่ถูกล้อเมื่อชาติก่อน
“อาเมิ่งฟังลุงนะ เรื่องของชาติก่อนจะเป็นเช่นไรก็ช่าง มันก็คือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เจ้ามีลุงใหญ่อยู่ด้วยแล้วจะไม่มีใครรังแกเจ้าได้อีก”
“เจ้าค่ะ เมิ่งเมิ่งรักท่านลุงเจ้าค่ะ ว่าแต่ชื่อของเมิ่งเมิ่งมาจากอะไรกันแน่เจ้าคะ” เด็กน้อยที่ยังไม่คลายความสงสัยเอ่ยถามผู้ที่ตนเรียกว่าลุงอีกครั้ง
“เด็กน้อยเจ้าอยากรู้เช่นนั้นเชียว”
“แน่นอนสิเจ้าคะ ก็ท่านลุงเอ่ยมาเช่นนั้นแล้วจะไม่ให้เมิ่งเมิ่งอยากรู้ได้อย่างไรกัน” เด็กน้อยว่าแก้มป่องอย่างติดงอนเล็กน้อย
“ก็ได้ๆ เดี๋ยวลุงจะบอกให้ ชื่อของเจ้าคือลู่เมิ่งหลิง ลู่ที่มาจากหยกที่สวยงาม เมิ่งมาจากฝันส่วนหลิงมาจากกระดิ่งลม เพราะฉะนั้นชื่อของเจ้าคือ กระดิ่งลมแห่งฝันที่สร้างมาจากหยก” เทพหนุ่มบอกเด็กน้อยตัวกลมบนตักตน
“กระดิ่งลมแห่งฝันที่สร้างมาจากหยกหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ ทำไมท่านแม่ถึงตั้งชื่อข้าแบบนี้กัน”
“เจ้านี้ช่างสงสัยมากจริงนะอาเมิ่ง ชื่อเจ้าหาใช่มารดาเจ้าตั้งไม่ เป็นบิดาของเจ้าต่างหากที่เป็นผู้ตั้งชื่อของเจ้าขึ้นมา” เทพหนุ่มตอบเด็กน้อยบนตักตน
“ท่านพ่อจะตั้งชื่อข้าเช่นนี้ทำไมกันนะ”
“อาเมิ่ง ต่อไปนี้เจ้าแทนตัวเองว่าอาเมิ่งนะ อย่าแทนตัวเองว่าเมิ่งเมิ่งต่อหน้าผู้อื่นอีกเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านลุงใหญ่ต่อไปนี้อาเมิ่งจะต้องทำเช่นไรต่อไปเจ้าคะ”
“ต่อไปนี้ ลุงจะคอยดูแลคอยสอนเจ้าในทุกๆ เรื่องเอง อย่างไรเสียก็เฉพาะเรื่องที่เจ้าต้องรู้ในโลกนี้เท่านั้นแหละนะ ที่ลุงจะสอนเจ้าได้ เพราะอย่างเจ้าเองก็เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อนเช่นกัน”
“ท่านลุงแล้วเราจะพักที่ไหนหรือเจ้าคะ”
“…” เทพหนุ่มไม่ตอบพลางยิ้มก่อนจะใช่พลังสร้างกระท่อมขึ้นมาเพื่อให้เด็กน้อยและตนได้อาศัยอยู่
“เราจะอยู่ที่นี่กัน กระท่อมแห่งนี้คือที่ที่เราสองคนลุงหลานจะอยู่จนกว่าเจ้าจะถึงเวลาที่สมควรออกไปเจอโลกภายนอก”
“ท่านลุงเรียกที่นี่ว่ากระท่อมหรือเจ้าคะ” เมิ่งหลิงถามเทพหนุ่มเพราะสิ่งปลูกสร้างตรงหน้าไม่ควรถูกเรียกว่ากระท่อม ควรเรียกว่าจวนมากกว่า
“งั้นหรือ” เทพหนุ่มว่าก่อนจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกและพาสำรวจรอบๆ โดยไม่รู้เลยว่าจะมีสายตาคู่หนึ่งมากทั้งสองด้วยสายตาอิจฉาอยู่
“หน็อย เจ้าหงส์เฒ่าถือสิทธิ์ว่าเป็นคนที่ดูแลภรรยาข้ามา แล้วยังมีหน้ามาอุ้มลูกสาวก่อนผู้เป็นบิดาเช่นข้าอีก” เทพหนุ่มพูดขึ้นก่อนจะใช้มือทุบเข้าที่ต้นไม้ใกล้อย่างแรง
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจียงหว่านฉือตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทีแรกเธอยังคิดว่าสามีของเธอที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสามปีนั้นมาที่นี่เพื่อดูอาการของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่า ชายคนนั้นกลับเดินไปที่ห้องผู้ป่วยข้างๆ เพื่อดูแลผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขายังต้องการส่งเธอเข้าคุกด้วย "2500 ล้าน เพื่อแลกกับการตบผู้หญิงของคุณหนึ่งฉาด"เจียงหว่านฉือมองไปที่เขาอย่างเย็นชา "เราหย่ากันเถอะ"" เธอรับใช้เขาอย่างอดทนมาเป็นเวลาตั้งสามปี ตอนนี้ เธอขอไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจะกลับไปสืบทอดมรดกมหาศาลของตระกูล
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
"ฉันจะนอนกับคุณทุกที่ ทุกเวลา และทุกครั้งที่คุณต้องการ เพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อฉัน" "แล้วถ้าผมไม่ตกลงล่ะ" ในที่สุดเขาก็พูดออกมาจนได้ ยาหยีก้มหน้าซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้จนมิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา "ฉันจะให้คุณดูสินค้าก่อนก็ได้...แล้วค่อยตัดสินใจ" เมื่อบิดาของตนเป็นโจรขโมยเพชรล้ำค่าของตระกูลมาเฟียที่ยิ่งใหญ่แห่งกรุงมอสโค ยาหยี จำต้องโยนศักดิ์ศรีของตัวเองทิ้งแล้วกลายเป็นหญิงไร้ยางอายเพื่อให้บิดารอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างเขา ทางเลือกเพียงทางเดียวที่มีคือยอมพลีกายให้ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าหล่อเหลาในสามโลกได้เชยชม สาวพรหมจรรย์อย่างหล่อนแทบขาดใจตายเพราะบทพิศวาสเร่าร้อนรุนแรงที่ไม่เคยได้พานพบ ความวาบหวามครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขามอบให้ทำให้ยาหยีคลั่งไคล้ในรสสิเน่หา กายสาวร่ำร้องโหยหาแต่เขาเพียงผู้เดียว หากภายในใจก็ต้องคอยย้ำเตือนตนเองไว้ว่า หล่อนก็เป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราว สักวันพอเขาเบื่อ ก็จะถูกเขี่ยทิ้งอย่างไร้ความปรานี!! จากที่คิดจะตามไล่ล่าเด็ดหัวคนทรยศให้แดดิ้นไปต่อหน้า คอร์เนล ซีร์ยานอฟ เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคมในประเทศรัสเซีย ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันทีเมื่อได้เจอสาวน้อยนัยน์ตากลมหวานซึ้ง ใบหน้าหวานๆ ส่งผลให้เขาต้องการอยากครอบครองหล่อนแทบคลั่ง คอร์เนลมั่นใจว่ามันจะมีผลกับร่างแกร่งได้ไม่นานหรอก เพราะสำหรับเขา ผู้หญิงคือวัตถุทางเพศเคลื่อนที่ได้เท่านั้น เพียงได้ลิ้มลองแค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยหันกลับไปกินของเก่าอีก แต่ทฤษฎีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับหล่อน ให้ตายสิ! เขาไม่เคยรู้สึกติดใจผู้หญิงรุนแรงขนาดนี้มาก่อน คอร์เนลหลงใหลเนื้อนุ่มจนกลายเป็นเสพติด ทั้งที่ความยโสโอหังของบุรุษเลือดเย็นเยี่ยงเขาพยายามบอกกับตนเองว่า เขายังเชยชมร่างงามไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป แต่ภายในใจลึกๆ กลับตะโกนก้องสวนทางออกมาว่า เขาขาดเธอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว!!
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง