“กลับไปแล้ว ผมต้องเข้าไปคุยกับเจ้าสัวเรื่องของเราเสียที” พรลักษมีชะงักมือที่กำลังจัดการกับอาหารในจาน ปฏิเสธทันควัน “ไม่นะคะ” “ทำไม!” จักรพรรดิแทบตวาดถามด้วยความไม่พอใจเมื่อได้ยินว่าเธอปฏิเสธ “ฉัน... เรา...เอ่อ...เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วนี่คะ” คนฟังวางช้อนและมีดลงบนจานแทบเป็นกระแทกกระทั้น ยกผ้าซับมุมปากแล้วประสานมือย้อนถามเธอเสียงกร้าวกรุ่นด้วยอารมณ์โกรธ “เป็นแบบนี้? นี่คุณพูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างไหม มีแต่ผู้หญิงอย่างว่าเท่านั้นที่คิดอย่างนั้นน่ะ แต่คุณกลับอยากให้เราเป็นแบบนี้?” “ฉันยังไม่อยากผูกมัดตัวเอง คุณเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน จะเดือดร้อนทำไมคะ” ใช่เขาเดือดร้อน เดือดจนร้อนจนไหม้เพราะเธอไม่แคร์ที่จะมีหรือไม่มีเขาก็ได้ เธอถึงได้คิดเช่นนั้น จักรพรรดิไม่ชอบความรู้สึกอึดอัดเช่นนี้ ไม่เคยต้องมาตามต้อนผู้หญิง ไม่เคยอยากลงหลักปักฐานกับใคร และเขากำลังจะบ้าตายเพราะเธอ “ตามใจ อยากเป็นแบบนี้ก็ตามใจ คบแบบเปลืองเนื้อเปลืองตัวแบบนี้สินะที่ชอบ พอเบื่อก็หาเรื่องเลิกกัน … แบบนั้นใช่ไหม” เขาตวาดถามสรุปประชดประชันใส่อารมณ์กับเธอ “ดีไม่ต้องแต่งมันแล้ว อยู่กันแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนแก่จนตายจากกันไปเลยก็ดี!” เขาสรุปส่งท้ายด้วยคำพูดกระแทกแดกดันแบบที่เธอไม่เคยเห็น “ฉันไม่อยากคุยแล้ว คุณใช้แต่อารมณ์ไม่มีเหตุผลเลย” “ใช่! ผมใช้แต่อารมณ์ แบบนี้ก็เหมือนกัน” จักรพรรดิจบประโยคตรงเข้ามาดึงเธอลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารสวมกอดรัดแน่นปล้นจูบเอาแต่ใจ “ปล่อยฉันนะ นี่คุณจะข่มขืนฉันเหรอ” “อยากลองรสชาตินั้นหน่อยไหมล่ะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีสาวไหนได้รับเกียรตินั้นจากผมเลยสักคน”
พรลักษมีแหงนมองท้องฟ้าที่มืดคล้ำลงพร้อมกอดกระเป๋าเป้หนังอย่างดีแต่มีสภาพเก่าเอาไว้กับอกแน่น แต่เธอก็ยังใช้มันอยู่เพราะมันมีคุณค่าทางใจคือเหตุผลหลัก และสอง เธอไม่มีเงินมากพอที่จะหมดไปกับเสื้อผ้า รองเท้าหรือกระเป๋าเหมือนเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม เจ้าตัวกระชับสายคล้องเข้ากับบ่าแล้วเร่งฝีเท้าเข้าตัวตึกที่เป็นสิ่งเดียวที่ฟรีแม้กระทั่งค่าน้ำและค่าไฟก็เรียกเก็บที่อาสิด
รถเมล์ที่นั่งมานั้นแม้ไม่เสียสักบาทเลยทำให้ต้องยืนตลอดทาง เพราะฝนตกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยบวกกับเป็นช่วงเวลากลับบ้านของใครหลายๆคนทำให้เธอแทบหมดแรง
‘บ้าน’
คำๆนี้มีความหมายกับใครอื่นเกือบทุกคน แต่คงไม่ใช่เธอ หญิงสาวแค่นยิ้มแล้วเดินตรงดิ่งไปยังประตูกระจกบานเลื่อนแบบอัตโนมัติ พลันโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นจนรู้สึกได้ พรลักษมีต้องตั้งเตือนแบบนั้นเพราะกลัวจะรบกวนขณะทำงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารชื่อดังแบรนด์นอก หญิงสาวก้มหน้าควานหามันในกระเป๋าที่ของรกจนบอกตัวเองว่าควรจัดการทิ้งขยะในนี้เสียที ขาเรียวเสลาในกระโปรงพีทดำยาวคลุมเข่าพาเดินเข้าไปด้านในตึกอย่างเคยทำเป็นประจำ เมื่อควานหาจนเจอกลับพบว่าหน้าจอเป็นเบอร์ไม่คุ้นเคยและสายหลุดไปแล้ว ช่างเถอะถ้ามีธุระจริงคงโทรกลับมาเอง
เสี้ยววินาทีนั้นเองมีแรงประทะจากร่างแน่งน้อยที่สวนออกมาทางด้านในล็อบบี ชนเข้ากับเธออย่างจังจนเสียหลักเกือบล้ม แถมด้วยกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกลอยเข้ามากระทบโสตประสาทจนเริ่มเวียนหัวขึ้นมาหน่อยๆ และเสียงหวานเลื่อนที่ฟังแล้วน่าหมั่นไส้ชอบกล
“ว๊าย! คิง ไม่เอาค่ะ ไม่เล่น”
คนที่ชนเธอไม่แม้แต่จะหันมาขอโทษ ยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เธอเองไม่ได้สนใจคิดอยากจะมองเขาด้วยซ้ำ เพราะใจนึกค่อนยัยคนไม่มีมารยาทคนนั้นอยู่ ที่ชนคนอื่นแล้วยังทำเฉย
“ขอโทษครับ”
ชายคนนั้นพูดขึ้นแทนคนที่ชนเธอ แต่พรลักษมีไม่ให้ราคา เธอตวัดตามองผ่านแล้วตั้งตัวตรง เดินต่อไปยังลิฟต์ เพื่อขึ้นห้องพัก ยืนรอไม่นานประตูสีเงินเปิดอ้าออก แล้วเธอก็ต้องหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเมื่อสองคนที่เดินตามเข้ามาด้วยนั่น คือสองคนที่เธอเจอตรงหน้าประตูทางเข้าเมื่อครู่
ร่างสูงใหญ่เคียงชิดด้วยร่างเย้ายวนกระแซะอยู่ข้างๆไม่ห่าง ยืนเบียดเกือบจะเป็นบุคคลเดียวกันอยู่รอมร่อ เธอไม่เสียสายตามองทั้งสองคนอีกต่อไป ออกเดินนำหน้าเข้าไปก่อน
ชายหญิงสองคนนั้นเดินตามเข้ามาภายหลัง แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลง เสียงหญิงสาวที่ชนเธอก็ดังขึ้น
“คิงขา แซนขอ...”เธอกระซิบบางอย่างข้างหูของชายคนเดียวในลิฟต์แล้วหัวเราะ ระริกระรี้ ซ้ำร้ายมือยังกดปุ่มเปิดค้างเอาไว้อย่างไร้มารยาทที่สุด สายตาออดอ้อนอ่อนหวานให้คนที่ถูกเรียกว่า ‘คิง’ อยู่นาน จนพรลักษมีชักทนไม่ไหว แสดงออกมาทางสีหน้าทันที
“ผมเหนื่อยแล้ว คุณกลับเถอะ ผมจะขึ้นห้อง”
ชายคนนั้นบอกเสียงเรียบ และดูเหมือนชายที่ถูกเรียกว่า ‘คิง’ จะพูดคำไหนคำนั้นราวกับความหมายของชื่อ หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าแซน จึงยอมผละจากไปแต่โดยดี ประตูปิดลงและคงไม่มีเหตุให้ต้องมาเปิดมันอีกนะ เธอเหนื่อยมากแล้ว และอยากพักผ่อนเหมือนกัน มือของเธอยื่นของไปกดหมายเลขชั้นเป็นจังหวะเดียวกับเขาที่ยื่นมือออกมาจะกดเช่นกัน
เขาแบมือออกทำท่าเหมือนเป็นสุภาพบุรุษเสียเหลือเกินให้เธอกดหมายเลขก่อน พอเห็นเลขที่เธอกด เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยืนนิ่งๆ
พรลักษมีไม่สนใจเขาอีกต่อไป เธอเชิดหน้าแต่สายตาก็บังเอิญไปสบกับเขาอีกครั้งที่เงาบนประตูเบื้องหน้า แววตาที่มองสบเธอดูลุ่มลึก วาววับ จนพรลักษมีรู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆ เมื่อประตูเปิดออก เธอรีบกระชับกระเป๋าพุ่งตัวล่วงออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเดินออกมาจนพ้นช่องที่เว้าไว้สำหรับลิฟต์ เลี้ยวขวาเดินจนเกือบถึงประตูห้องตัวเอง เสียงเมาๆก็ดังข้ามฟากมาทักทาย
“อะ อ้าว นึกว่าสาวสวยที่ไหน ไหงมาอยู่นี่ได้ล่ะครับ”
พรลักษมีเพ่งมองพอเห็นว่าใคร เธอเบ้ปากเดินตรงต่อไปยังห้องของตนเองไม่อยากเสวนาด้วยแม้เพียงครึ่งนาที
ปกติชั้นที่เธออยู่เหมือนจะไม่มีใครพัก แล้วตฤนโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร แต่แล้วชายคนที่ทักเธอหมือนจะไม่ยอมเช่นกัน เมื่อหญิงสาวมีท่าทีเฉยชาใส่ ด้วยว่าชอบหล่อนเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนหน้าแล้ว
หน้าตาสวยล้ำผิวขาวใสราวกับจะมองทะลุลงไปได้ แต่กลับมีนิสัยรั้นนิดๆราวม้าป่า ชายหนุ่มร้อยทั้งร้อยล้วนอยากปราบพยศสาวอย่างเธอกันทั้งนั้น ตฤนถึงกับคิดกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า หากได้ลองสาวเจ้าสักครั้งสองครั้ง ขี้คร้านพรลักษมีจะต้องร้องไห้ตามเขาเหมือนเด็กน้อยร้องตามแม่แน่ๆ นึกมาถึงตรงนี้ใจก็เริงร่าพาขาออกเดินเร็วๆเข้ามากระชากข้อมือบอบบางของเธอแล้วยกขึ้นดอมดมอย่างย่ามใจ
พรลักษมีชะงักตกใจ แต่แล้วเมื่อตั้งสติได้เลยทำตัวนิ่งๆ ยิ้มและโน้มตัวเข้าไป กระซิบบอกข้างหูตฤนเบาๆว่า “ใจเย็นก่อนสิตฤน รอลูกหมีเปิดห้องแล้วเราเข้าไปข้างในด้วยกันดีกว่านะ"
ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"
"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ
ปัญญารัตน์กำแท่งตรวจการตั้งครรภ์ในกระเป๋าไว้จนเหงื่อชุ่มเต็มมือ วันนี้เธอมาเพื่อบอกเขาว่า ท้อง แต่นายแพทย์อนลกลับเอ่ยปาก บอกเลิกความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อกลับไปคบกับแฟนเก่าของเขาที่กำลังย้อนกลับมาคบกันอีกครั้ง
คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ
พ่อหายตัวไปอย่างลึกลับ พี่สาวของฉันถูกข่มขืนและจุดไฟเผา พี่ชายถูกทำร้ายจนตายและโยนศพลงแม่น้ำ ใครจะช่วยฉันได้ในสถานการณ์แบบนี้ . "เป็นคนของผม แล้วผมจะช่วยคุณลากคนผิดมาแก้แค้น" เจ้าของคำพูดนั้นคือ รฐนนท์ นิยายไม่เน้นสืบสวน เน้นความสัมพันธ์ของตัวเอก จบดี แฮปปีค่ะ
วันดีคืนดีก็มีมาเฟียมาจอดหน้าบ้าน บอกว่าอยากได้ที่ของผืนสุดท้ายของเธอ มาเฟีย เจ้าของรีสอร์ท ฟาร์มควาย ม้า วัวที่อยู่ตรงรอยต่อของไทยมาเจรจาด้วยตัวเอง ทันทีที่เจอกัน ศศิร์ธาไม่ได้แค่อยากได้ที่ของเธอ ตัวเธอเองเขาก็อยากได้ด้วย เสียแต่ว่าเป็นม่ายลูกติด ไอ้ระยำนั่นมันเอาอะไรคิดถึงได้ถึงผู้หญิงแบบนั้นไป
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
แต่งงานกันเป็นเวลาสามปี เสิ่มชูคิดว่าต่อให้ป๋อมู่เหนียนจะใจแข็งสักแค่ไหนก็ควรจะอ่อนลงได้ด้วยความรักที่เธอมีกับเขามาโดยตลอด แต่เมื่อเขาบังคับให้เธอคุกเข่าลงในหอบรรพบุรุษของตระกูล เสิ่มชูถึงตระหนักว่าแท้ที่จริง ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจ คนที่ไม่มีหัวใจ เธอยังจะอาลัยอาวรณ์อยู่อีกทำไม? ดังนั้น เมื่อป๋อมู่เหนียนขอให้เธอเลือกระหว่างการคุกเข่าและการหย่าร้าง เสิ่มชูจึงเลือกการหย่าร้างไปโดยไม่ได้ลังเล เธอยังสาวยังสวยอยู่เช่นนี้ ทำไมจะต้องมาเสียเวลากับไอ้ผู้ชายคนนี้ด้วย!มิสู้กลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลจะดีกว่า
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ