พรหมลิขิตมักเล่นตลกกับชีวิตของเราเสมอ แต่เมื่อมันมาแล้วจะรับมันไว้ หรือ จะผลักมันออกไป 'เชื่อเรื่องพรหมลิขิตกันไม่ล่ะ?'
พรหมลิขิตมักเล่นตลกกับชีวิตของเราเสมอ แต่เมื่อมันมาแล้วจะรับมันไว้ หรือ จะผลักมันออกไป 'เชื่อเรื่องพรหมลิขิตกันไม่ล่ะ?'
<<ริว>>
“ลูกพ่อ พ่อว่าเจ้าต้องพักบ้างได้แล้วนะ”
เสียงของผู้ปกครองเผ่าปีศาจเอ่ยถามในระหว่างทานอาหารเช้า ซึ่งมันนับครั้งได้ที่สองพ่อลูกจะมีเวลาให้แก่กันอย่างเช่นวันนี้
“แต่ลูกว่าสถานะการณ์ตอนนี้ยังน่าเป็นห่วง”
“พ่อคิดว่าเจ้าอยู่กับการจัดการเผ่าอื่นมากเกินไปแล้ว ทางนี้พ่อยังอยู่ดูแลได้”
ข้าได้แต่เงียบ ไม่ได้ตอบอะไร จะให้พูดอะไรล่ะ ก็ตั้งแต่ห้าร้อยปีได้มั้ง ซึ่งข้าต้องจัดการกับเผ่าพันธุ์อื่นอยู่เกือบจะตลอดเวลา จนมาตอนนี้ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่ แต่ก็ยังมีบางเผ่าที่ไม่ยอมจำนน
“พ่อว่าตอนนี้อายุของเจ้าก็ควรจะมีคู่ครองได้แล้วนะ”
“แต่ว่า…”
“พ่อรู้ว่าเจ้ายังหาคนถูกใจยังไม่เจอ นี่ไงพ่อถึงให้ลูกอยากออกไปเปิดหูเปิดตา ถ้าคนในเผ่าไม่ถูกใจ เจ้าก็ดูคนในเผ่าอื่นก็ได้”
ท่านพ่อพูดออกมาง่าย ๆ การหาคู่ครองถ้าหาได้ตามข้างทางได้ ข้าคงมีเป็นร้อยแล้ว ว่าแต่ทำไมพ่อถึงพูดเรื่องนี้ในเวลานี้กันนะ ราวกับว่าความคิดของลูกชายส่งไปถึงผู้เป็นพ่อ
“เผ่าพันธุ์ของเราถึงจะอายุยืนมาก แต่พวกเราก็ไม่ได้เป็นอมตะ”
อันนี้ข้าก็รู้ แต่ทำไมต้องเป็นเวลานี้ หรือว่า…ท่านพ่อต้องการมากกว่าลูกสะใภ้ ข้ามองหน้าท่านอยู่ครู่หนึ่ง และคิดถึงเรื่องราวของท่านแม่ขึ้นมาได้
“ท่านพ่อเหตุใดท่านแม่ข้าถึงเป็นมนุษย์ล่ะ”
มันเป็นสิ่งที่ข้าสงสัยมานาน เพราะเผ่าพันธุ์อื่นที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์มีตั้งมากมาย แต่ทำไมท่านพ่อถึงเลือกท่านแม่ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนที่สุด
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วเจ้าคิดว่า เพราะเหตุใดล่ะ”
“คงเพราะ…ท่านแม่สวย อ่อนหวาน กล้าหาญ และเก่ง”
ผู้ปกครองเผ่าปีศาจมองหน้าลูกชายนึกตามคำตอบที่ได้ฟังลูกพูดถึงภรรยาซึ่งได้ล่วงลับไปแล้ว เขายิ้มออกมาทุกครั้งที่นึกถึงนาง แต่เรื่องที่ริวพูดมานั้นเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย
“ที่เจ้าพูดมามันเป็นผลพลอยได้ ที่จริงมันเพราะพรหมลิขิตต่างหาก”
ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพ่อพูดเลย พรหมลิขิตเนี่ยนะ ข้าไม่เชื่อมันก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระ ข้าเชื่อแค่การกระทำเท่านั้น ผู้เป็นพ่อเอื้อมมือไปจับที่บ่าลูกชาย
“เจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่เมื่อไรที่เจ้าเจอกับมัน เจ้าจะเชื่อมันเอง”
ข้าได้แต่พยักหน้า แล้วจะให้ไปหาลูกสะใภ้ให้พ่ออย่างไง จะคนในเผ่านี้ หรือ เผ่าอื่น ข้าก็ไม่เห็นจะมีใครถูกใจเลยสักนิด
หลังจบมื้ออาหารกับท่านพ่อ ข้าก็ยังทำงานอยู่เหมือนเดินไม่ได้ออกไปพักตามที่ท่านพ่อต้องการ จนเมื่ออลันนำของหวานหน้าตาประหลาดเข้ามาให้
“นี่อะไร”
“ท่านริว ข้ารู้ว่าท่านชอบของหวาน ข้าขอนำเสนอเจ้าสิ่งนี้”
ข้าลังเลกับของหวานที่อลันเอามา หน้าตามันดูแปลกสำหรับที่แห่งนี้ รูปร่างของมันเป็นก้อนสามเหลี่ยม มีเนื้อฟู มีครีมหลายสีสัน และผลไม้ ข้ามองหน้าอลัน จนเขาต้องตักมันมายื่นตรงปากของข้า
“กินสิท่าน รับรองว่าท่านต้องชอบ”
ในเมื่ออลันพูดถึงขนาดนั้นแล้ว ข้าก็ต้องลอง ในโลกนี้ไม่มีของหวานอันไหนที่ข้าไม่ชอบ มันเข้ามันในปากของข้ารสชาติหอม หวาน และรสเปรี้ยวจากผลไม้นั้นทำให้ข้าต้องดึงเจ้าสิ่งนั้นจากมืออลันมาตักกินอย่างอร่อย
“เจ้านี้มันคือสิ่งใด”
“พวกมนุษย์เรียกว่า ‘เค้ก’ ท่านจะรับมันเพิ่มไหม?”
“เอามาอีก ไม่ดีกว่าพาข้าไปยังร้านที่ขายเจ้านี่”
โลกของมนุษย์จะแบ่งแยกจากเผ่าพันธุ์อื่นอย่างชัดเจน จนมนุษย์ส่วนมากไม่รู้เลยว่าในโลกนี้ไม่ได้มีแค่เผ่ามนุษย์ ข้าซึ่งไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก แต่เมื่อไรที่มาก็ตื่นตาตื่นใจกับการเป็นอยู่ของมนุษย์มาก มันสงบไร้ซึ่งการต่อสู้ใด ๆ และยังมีรถราสัญจรเต็มท้องถนน
“ท่านริว ข้าคิดว่าในเมื่อเรามายังเมืองของมนุษย์เราก็ต้องทำตัวเช่นเดียวกับพวกมนุษย์”
ข้าเองก็เห็นด้วย ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม อลันจึงพาข้าไปที่ร้านแห่งหนึ่ง ภายในมีของที่พวกมนุษย์ใช้กัน แต่ที่น่าแปลกเจ้าของร้านกับไม่ใช่มนุษย์กลิ่นของนางดูเหมือนว่าเป็นแม่มด ทำเอาข้าแปลกใจ
อลันอธิบายไขข้อข้องใจข้าว่าร้านนี้เป็นร้านของแม่มดซึ่งจะขายของให้พวกเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่ต้องการเข้าเมืองมนุษย์ หรือ อยากอยู่ที่นี่เพื่อให้กลมกลืน
“ท่านริวร้านอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง ท่านไปรอข้าที่นั่นเดี๋ยวข้าขอไปแลกเงินก่อน”
จุดหมายของข้าอยู่แค่เบื้องหน้า ถนนตอนนี้ก็ไม่ได้มีรถเยอะเยี่ยงที่มาตอนแรก ข้าก้าวเท้ายังไม่ทันถึงพื้นก็สัมผัสกับแรงกระชากจนตัวของข้าล้มลงไปทับกับหญิงสาว…ไม่สิเด็กสาวมากกว่า ไม่นานก็มีรถคันหนึ่งวิ่งผ่านด้วยความเร็ว
“นี่…นายอยากตายหรือไง”
กลิ่นหอมจากตัวของเธอ มันทำให้ข้าอยากจะฝังเขี้ยวลงที่คอของเธอเสียจริง กลิ่นนี้ข้าไม่เคยได้จากที่ไหน มันชั่งหอมราวกับมันเป็นกลิ่นของขนมหวาน
เธอว่าจบก็ดันตัวข้าให้ลุกออกจากตัวของเธอ ข้าถึงได้เห็นหน้าของเธออย่างชัดเจน ใบหน้าได้รูปทุกองค์ประกอบบนนั้นช่างงดงามไร้ที่ติ แต่เธอเอาแต่ปัดฝุ่นตามตัวออกจนไม่มองหน้าข้าเลยแม้แต่น้อย
“เจ้า…ไม่สิ เธอเป็นอะไรมากไหม?”
“ไม่เห็นหรือไง?”
ว่าจบเธอก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วเหมือนตกใจอะไรบางอย่างแล้วร้องลั่นออกมา
“เป็นอะไร”
“สาย…สายแล้ว”
เธอพูดละล่ำละลักแล้ววิ่งไปโดยไม่สนใจข้าอีก อลันซึ่งมาเห็นเข้าพอดี เขามองข้าอย่างสงสัยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนข้าเองก็ได้แต่มองตามหลังของเธอไป กลิ่นหอมจากตัวเธอยังติดอยู่ที่ปลายจมูกของข้า
“อลัน เจ้าได้กลิ่นหอมจากตัวนางหรือไม่?”
“ข้าไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ข้าว่าท่านต้องหิวเป็นแน่”
“ข้าไม่ได้หิว แต่ได้กลิ่นจากตัวนางจริง ๆ”
ข้าเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดกลิ่นของเด็กสาวผู้นั้นถึงได้หอมกว่าของหวานซึ่งข้าอยากกินมากเสียกว่าตอนนี้ จนอลันกระแอมเรียกสติข้า
“ข้าว่านางอาจจะเป็นเนื้อคู่ของท่านก็ได้”
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเยี่ยงนั้นล่ะ”
อลันนิ่งไปราวกับกำลังจะบอกเรื่องสำคัญมากถึงมากที่สุด ข้าลุ้นมากว่าเขาจะพูดว่าอะไร เอาจริงข้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เลย แม้นเวลาจะผ่านไม่นานมากแล้วแต่กลิ่นของเด็กสาว ข้ายังจำมันได้ดี
“เผ่าของเราส่วนมากจะกินเลือดเป็นอาหาร” ข้าพยักหน้าเรื่องนี้ใครก็รู้กันอยู่แล้วแม้นว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์อื่นก็ยังรู้ แล้วมันยังไงล่ะ
“ปกติเลือดที่ท่านดื่มท่านได้กลิ่นหอมไหม?”
ข้านิ่งไปคิดตามคำของอลันจะว่าได้กลิ่น มันก็ได้อยู่ แต่มันก็เป็นกลิ่นคาวๆ ซึ่งข้าเองก็ไม่ได้ชอบมันเท่าไร ข้าจ้องเขาตาเขม่นให้รีบบอกมา มิฉะนั้นข้าจะจัดการเขาแทนของหวานตรงหน้า นั่นทำให้อลันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มพูดต่อ
“เผ่าของเราเชื่อกันว่าเลือดของเนื้อคู่จะมีกลิ่นพิเศษและเมื่อดื่มเข้าไปจะเป็นยาชั้นดีที่หาได้ยาก”
“ไร้สาระ”
ข้าตักของหวานตรงหน้าเข้าปากอย่างต่อเนื่องและคิดตามคำพูดของอลัน ทั้งที่ตัวข้าบอกว่ามันไร้สาระ จนตอนนี้ข้าก็ไม่อาจหยุดนึกถึงเด็กคนนั้นได้
เพราะความเชื่อใจและไว้ใจเรื่องมันจึงเกิด หรือ เพราะความต้องการที่ทั้งสองมีตรงกันอันนี้ก็ไม่อาจรู้ได้
เมื่อชีวิตมันสิ้นหวังถึงขึดสุด คืนฝัน เธอจึงได้ลองขอพรกับซาตาน แต่พรที่ของนั้นกลับไม่ถูกใจซาตานเอาเสียเลย เขาจึงได้ให้เวลาเธอ 7 วันเพื่อคิดพรใหม่ที่จะขอ
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เซียวหลิ่นตาบอดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูกสาวคนรวยทุกคนต่างหลีกเลี่ยงเขา มีแต่สวี่โยวหรานยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเล สามปีต่อมา เซียวหลิ่นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้รเขา็ยื่นข้อตกลงการหย่าเพื่อยุติการแต่งงานนี้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า "ฉันพลาดกับชิงชิงมานนานมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอต้องรอนานกว่านี้!" สวี่โยวหรานลงนามในข้อตกลงการหย่าโดยไม่ลังเล ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอตลอด - หัวเราะเยาะว่าที่เธอแต่งเข้าตระกูลเซียวถือว่าเกาะผู้มีอิทธิพลเข้า จากนั้นก็มาหัวเราะเยาะเธอที่ถูกทอดทิ้ง เป็นหญิงที่ไร้ค่า แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่า เธอคือหมออัศจรรย์ที่รักษาดวงตาของเซียวหลิ่นให้หายดี เป็นผู้ออกแบบเครื่องประดับมูลค่าหลักร้อยล้าน ผู้เป็นมือหนึ่งแห่งหุ้นที่ครองตลาดหุ้น และแม้แต่แฮกเกอร์ระดับแนวหน้าและลูกสาวแท้ๆ ของผู้มีอิทธิพล อดีตสามีมาขอร้องขอคืนดี ซีอีโอผู้เผด็จการก็โยนเซียวหลิ่นออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา "ดูดีๆ นี่ภรรยาของผม"
ซ่งชิงเหอโดนหักหลังและกลายเป็นฆาตกรในสายตาคนอื่น เธอจึงหย่ากับสีจั้นถิง สามีของเธอ และเดินทางออกจากเมืองหวยไปด้วยความเกลียดชัง หกปีต่อมา เธอหวนกลับมาราวกับนกฟีนิกซ์พร้อมกับคู่แข่งของสามีเก่าเธอ เธอเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง เธอสาบานกับตัวเองว่าจะทำให้ทุกคนต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาทำไว้กับเธอ เธอยอมร่วมมือกับเขาเพียงเพื่อแก้แค้น โดยไม่รู้เลยว่าเธอตกเป็นเหยื่อของเขาไปแล้ว ในเกมแห่งความรักและความปรารถนา ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วผู้ชนะที่แท้จริงจะเป็นใคร
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด