"เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าทำผิดข้ายอมรับโทษ และคนที่ทำผิดพวกนั้นข้าจะทวงคืนโทษให้เจ้าเอง"
เสี่ยวเหลียนคุกเข่ากอดขาของเมิ่งลี่เฟยทั้งก้มหน้าสะอึกสะอื้น
"ลำบากคุณหนูแล้ว บ่าวคิดว่ามาอยู่ที่นี่จะดีเสียอีก เหตุใดท่านอ๋องใจร้ายเยี่ยงนี้ ลำบากกว่าอยู่ที่จวนเรามากนัก"
เมิ่งลี่เฟยกลับหัวเราะเสียงแห้ง มุมปากยกขึ้นคล้ายจะเย้ยหยันชะตาตน มือเรียวลูบแผ่นหลังสาวใช้เบา ๆ เพื่อปลุกปลอบ
"ชีวิตข้าก็เป็นเช่นนี้ เจ้ายังไม่ชินอีกหรือ เขาจะร้ายก็ช่างจะดีก็เรื่องของเขา ข้าทำผิดข้ายอมรับเจ้าไม่ต้องร้องไห้ไป หยุดร้องไห้แล้วไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด ข้าบอกเจ้ากี่หนแล้ว น้ำตามิใช่จะหลั่งให้ผู้ใดก็ได้ อย่าได้อ่อนแอนักเลย"
เสี่ยวเหลียนกลั้นสะอื้น ปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม เมื่อคิดได้ว่าต้องไปรับอาหารมาให้คุณหนูแล้ว จึงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางองอาจดั่งที่คุณหนูเคยสอนเอาไว้ เสี่ยวเหลียนจัดเก็บถ้วยยาแล้วเอ่ยเบา ๆ
"บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรอบ่าวสักครู่นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวไปยกอาหารมาให้"
เสี่ยวเหลียนออกไปแล้ว เมิ่งลี่เฟยถอนหายใจออกมายามนี้ไหล่ที่เคยยกขึ้นกลับลู่ลงเล็กน้อย นางมิใช่คนที่เข้มแข็งเลยสักนิด แต่ก็ไม่เคยแสดงออกว่าตนอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น
ในชีวิตของเมิ่งลี่เฟยที่ผ่านมา ทุกคนล้วนมองนางว่าเป็นสตรีใจหิน ภายใต้ความเฉยเมยที่นางแสดงออก ผู้ใดจะรู้ว่านางผ่านบาดแผลมาเท่าใดบ้าง
หนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว ยังไม่เห็นว่าเสี่ยวเหลียนจะกลับมา เมิ่งลี่เฟยใจคอไม่ดี นางเดินมาที่ประตูหน้าเรือนทหารสองคนส่งสายตาห้ามปราม ด้วยนางยังถูกกักขังจึงไม่อาจก้าวขาออกจากที่นี่ได้ คำสั่งของอ๋องเจ็ดคือให้นางสำนึกผิดเจ็ดวันเวลาเพียงแค่นี้ไม่ได้นานเลยนางย่อมทนได้
เมิ่งลี่เฟยลากสังขารที่ยังไม่สู้ดีเดินออกมาที่ประตูอีกครั้ง ด้วยไม่อาจนั่งรอเฉย ๆ ต่อไปได้ ต้องเกิดเรื่องกับเสี่ยวเหลียนเป็นแน่ แม้ว่าตนเองจะอ่อนแรงเพียงใดกระนั้นในยามที่เอ่ยกับทหารก็ยังคงมีท่วงท่าสูงศักดิ์เป็นอย่างยิ่ง
"พวกเจ้าสองคน ผู้ใดก็ได้ไปดูบ่าวของข้าเสียหน่อย เหตุใดนางยังไม่กลับมา"
ทหารสองคนกลับทำใบหน้านิ่งเฉย ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เมิ่งลี่เฟยจึงเอ่ยเสียงต่ำทั้งดุดันน่ากลัว
"ถึงข้าจะถูกลงโทษ แต่โทษนี้ไม่นานก็หมดสิ้น เจ้าก็คอยดูเถิดเมื่อข้าออกไปจากที่นี่แล้วตำแหน่งของเจ้าในจวนนี้ยังจะรักษาได้อีกหรือไม่"
ทหารสองคนต่างมองหน้ากัน ไตร่ตรองถี่ถ้วน สองสามวันที่ผ่านมาไม่เคยเห็นพระชายาหลั่งน้ำตาเลยสักหน แม้ว่าจะถูกกักขังเช่นนี้ก็ยังไม่หวาดกลัว สตรีนางนี้มีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยมพวกเขาเองได้ยินมาไม่น้อย ดังนั้นแล้วจึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
"พ่ะย่ะค่ะ"
ในที่สุดหนึ่งในสองก็รับคำ ทหารผู้นั้นประสานมือก่อนจะเดินออกจากตำหนักเย็น ทว่ายังไม่ทันพ้นตำหนักเสี่ยวเหลียนก็ถูกองครักษ์นายหนึ่งหิ้วปีกเข้ามาที่เรือนเย็น
นางสลบไปแล้วแผ่นหลังมีเลือดไหลซึมออกมา เห็นได้ชัดว่าถูกทำโทษโดยการโบย ร่างของเสี่ยวเหลียนถูกโยนลงพื้นเมิ่งลี่เฟยทรุดลงเขย่าร่างของบ่าวคู่ใจ เสี่ยวเหลียนกลับไม่ได้สติ มือสั่นจนควบคุมไม่อยู่ ดวงตาวาวโรจน์แดงก่ำ เมิ่งลี่เฟยหันขวับไปมองทหารที่หิ้วปีกเสี่ยวเหลียนมา ตะคอกถามด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว
"พวกเจ้าทำอะไรนาง"
บ่าวสูงวัยผู้หนึ่งเผยตัวออกมา ยอบกายอย่างเสียไม่ได้ทั้งเอ่ยเสียงดังวางอำนาจ
"นังบ่าวผู้นี้ทำตัวต่ำช้า ติดสินบนคนครัวนำอาหารที่ไม่ได้รับอนุญาตมาให้พระชายา ข้าน้อยเพียงแค่ลงโทษนางตามกฎจวนสั่งโบยไปเพียงยี่สิบไม้ ไม่คิดว่าจะใจเสาะสลบไปเช่นนี้"
เมิ่งลี่เฟยกัดกระพุ้งแก้มระงับอารมณ์จนได้กลิ่นเลือดในโพรงปาก ที่นี่คือจวนอ๋องเจ็ด กฎเกณฑ์นั้นเคร่งครัดยิ่ง ไม่ว่าผู้ใดทำผิดล้วนไม่เคยละเว้น บัดนี้เมิ่งลี่เฟยเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว
ดวงตาหงส์พลันพร่าเลือน ใบหน้าซีดขาวเยียบเย็น นางค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างสง่างาม จับจ้องบ่าวนางนั้นไม่วางตา
"เจ้าเป็นผู้รักษากฎหรือ มีนามว่าอย่างไร"
บ่าวผู้นั้นเมื่อสบตากับเมิ่งลี่เฟยความรู้สึกหวาดกลัวประหลาดพลันเกิดขึ้น นางหลบตาเมิ่งลี่เฟยเล็กน้อย น้ำเสียงกลับยังผยอง
"บ่าวเป็นบ่าวของพระชายารอง นามอูเจ๋อทั้งยังเป็นผู้รักษากฎของจวนเพคะ"
เมิ่งลี่เฟยทวนชื่อนั้นเสียงเย็น
"อูเจ๋อหรือ อูเจ๋อบ่าวของพระชายารอง เป็นผู้คุมกฎบ่าวไพร่ในจวน ดีเจ้าทำดีมาก ดีเป็นอย่างยิ่ง"
อูเจ๋อกลับแปลกใจ พระชายานอกจากไม่กล่าวโทษนางแล้วยังกล่าวชื่นชม หรือว่าพระชายาผู้นี้ถูกขังจนเพี้ยนไปแล้วหรือ
"เพคะ ตามกฎของจวนอ๋องเพคะ อาหารของพระชายานั้นในระหว่างนี้เป็นเพียงน้ำข้าวต้มหนึ่งชามห้ามเสวยอย่างอื่นเป็นอันขาดจนกว่าจะถึงวันปล่อยตัวจากเรือนเย็น ที่ผ่านมาคนที่ถูกกักขังในเรือนนี้ย่อมต้องกินเช่นนี้ มิอาจมีสิ่งอื่นได้ แต่บ่าวผู้นี้กลับละเมิดกฎทั้งยังติดสินบนแม่ครัวจวน บ่าวมิได้ลงโทษแค่นาง แต่คนของโรงครัวบ่าวก็สั่งโบยไปด้วย เห็นหรือไม่ว่าบ่าวยุติธรรมเพียงใด"
เมื่อคาดคะเนความได้เปรียบเสียเปรียบในยามนี้แล้ว เมิ่งลี่เฟยจำต้องข่มความคับแค้นนี้เอาไว้ อีกแค่สี่วันเท่านั้นที่นางจะถูกปล่อยจากเรือนเย็น ความอดทนของเมิ่งลี่เฟยมีมากกว่าที่คนอื่นคิด หากนางวู่วามตอนนี้อาจจะถูกเต๋อลู่หานสั่งกักขังไม่มีกำหนดเป็นแน่ ในเมื่อคนผู้นั้นพร้อมจะเล่นงานนางทุกเมื่อนางจำต้องระมัดระวังตัวให้มาก
เมื่อเห็นว่าพระชายานิ่งเงียบ ครานี้อูเจ๋อแอบหัวเราะในใจแล้ว เมื่อสักครู่ตนเองคงกลัวเกินกว่าเหตุ ทว่าเห็นสตรีนางนี้สิ้นฤทธิ์ก็เกิดความกล้าขึ้นมา น้ำเสียงนั้นเย็นชาทั้งดูแคลน
"เช่นนั้นพระชายาก็เสวยน้ำข้าวตามกฎนะเพคะ บ่าวนำมาให้แล้ว"
อูเจ๋อพลันหันไปสั่งบ่าวที่อยู่ด้านหลังให้ยกชามน้ำข้าวเข้ามาในเรือนเย็น ทว่าเสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่งพลันดังขึ้น
"นี่พวกเจ้าทำสิ่งใดกัน"
อูเจ๋อเมื่อได้ยินเสียงนั้นใบหน้าพลันอ่อนโยนลงไปมาก
"พระชายารองเพคะ ท่านอ๋องเจ็ดเพคะ"
อูเจ๋อรีบยอบกายให้กับสตรีที่มาใหม่ และข้างกายของคนผู้นั้นแน่นอนคืออ๋องเจ็ดเต๋อลู่หาน เขาเพียงมองร่างผ่ายผอมและใบหน้าซีดเซียวของเมิ่งลี่เฟยผ่าน ๆ ก่อนดวงตาคมคู่นั้นจะเอาแต่จับจ้องที่ใบหน้างามของพระชายารองของตนเอง ไม่เห็น เมิ่งลี่เฟยอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
เมิ่งลี่เฟยจำต้องยอบกายตามมารยาท แค่เห็นหน้า เต๋อลู่หานนางก็รู้สึกชิงชังจนแทบจะอาเจียนออกมา
เฉียนมี่ลอบมองอ๋องเจ็ดเล็กน้อย เห็นแววตาเมินเฉยที่มีต่อเมิ่งลี่เฟยพลันกระหยิ่มในใจ
ครานี้เป็นเฉียนมี่ที่เป็นฝ่ายทำความเคารพเมิ่งลี่เฟยตามฐานะ เฉียนมี่ทั้งอ่อนหวานและดูมีน้ำใจกว้างขวางรู้กาลเทศะประดุจนางฟ้านางสวรรค์ที่ลงมาจุติ
"เฉียนมี่บกพร่องแล้ว เดิมทีตั้งใจมาปรนนิบัติพี่หญิงทว่าเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ขอพี่หญิงโปรดอภัยให้น้องผู้นี้ด้วยเพคะ"
เมิ่งลี่เฟยกลับไม่ตอบรับไมตรีนั้น พิจารณาคนงามในอ้อมกอดของเต๋อลู่หานอยู่ในใจเงียบ ๆ เฉียนมี่มีชื่อเสียงเรื่องความอ่อนหวาน เมิ่งลี่เฟยก่อนออกเรือนก็สืบเรื่องของเฉียนมี่อยู่ลับ ๆ และยังเคยพบกันระหว่างไปไหว้พระที่วัดคราหนึ่ง
ในยามนั้นต่างคนต่างไม่ได้สนทนากันและที่สำคัญเมิ่งลี่เฟยเห็นว่าเฉียนมี่อ่อนหวานปานนี้จึงไม่เคยคิดว่าเฉียนมี่คือคู่แข่งของตนเองแม้แต่น้อย
ทว่าตอนนี้เห็นท่าทางเสแสร้งแกล้งทำอันคุ้นเคย ไม่ต่างจากแม่เลี้ยงของเมิ่งลีเฟยเลยแม้แต่น้อย ก็คิดว่าที่แท้ที่ผ่านมาล้วนเป็นเมิ่งลี่เฟยที่คาดคะเนผิดไป เฉียนมี่เป็นสตรีที่ร้ายลึกยิ่งนักไม่อาจประมาทได้เลยแม้แต่น้อย
เมิ่งลี่เฟยถอนหายใจยาวออกมา เวลานี้ร่างกายยังไม่ฟื้นจึงคิดถนอมกายใจของตัวเองให้มาก ปากเอ่ยขับไล่พวกเขาทันใด
"ท่านอ๋องท่านพาพระชายารองกลับไปเถิด อย่าอยู่เรือนเย็นเช่นนี้เลย หม่อมฉันไม่สบายเกินกว่าจะต้อนรับผู้ใดเพคะ"
กล่าวจบเมิ่งลี่เฟยไม่สนใจผู้อื่นอีกต่อไป นางคุกเข่าดูบาดแผลที่หลังของเสี่ยวเหลียน พบว่าเสื้อของเสี่ยวเหลียนยังไม่ขาด คนที่ตีเสี่ยวเหลียนน่าจะเป็นสตรีเป็นแน่ เพราะหากเป็นบุรุษเสี่ยวเหลียนอาจจะอาการหนักกว่านี้
ห่วงเพียงแต่ข้างในร่างกายที่อาจจะบอบช้ำ โชคดีที่ยาทาแผลที่ท่านหมอให้ไว้ยังมีเหลือ มิเช่นนั้นการจะตามหมอในเวลานี้ก็เป็นเรื่องยากยิ่งนัก
ในขณะที่เมิ่งลี่เฟยห่วงเสี่ยวเหลียนยิ่งนัก คนใจดำพวกนี้กลับยืนดูด้วยอาการเฉยชา ไม่เห็นชีวิตของเสี่ยวเหลียนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
เต๋อลู่หานแอบมองเมิ่งลี่เฟยเล็กน้อย นางอยู่ในอาภรณ์ขาวซีดราวกับกระดาษด้วยแววตาสนใจเล็กน้อย ตั้งแต่ถูกทำโทษเมิ่งลี่เฟยไม่เคยขอพบเขา ไม่ได้มีคำอ้อนวอนหลุดออกมาจากปากของนาง
ยามนี้เขามาหานางถึงที่นี่เมิ่งลี่เฟยกลับไล่เขาทั้งยังใช้น้ำเสียงถือตัวและไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เต๋อลู่หานรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของเมิ่งลี่เฟยและยังรู้สึกเสียหน้าที่ถูกขับไล่จึงเอ่ยเสียงเย็นเยียบออกไป
"จวนนี่เป็นของเปิ่นหวาง เปิ่นหวางจะไปที่ใดก็ย่อมได้ พระชายาคงลืมไปแล้วกระมังจึงได้กล้าขับไล่คนส่งเดชเช่นนี้"
เมิ่งลี่เฟยไม่ตอบเขานางยังโกรธเขามากทั้งเรื่องสั่งขังนางและยังให้คนทำร้ายเสี่ยวเหลียนอีก
เต๋อลู่หานมองเมิ่งลี่เฟยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พลางคิดว่าตนเองจะคอยดูว่า เมิ่งลี่เฟยผู้นี้จะเก่งไปได้มากน้อยเพียงใด
เฉียนมี่ไม่พอใจยิ่งนักที่เต๋อลู่หานสนทนากับเมิ่งลี่เฟย นางจึงดึงความสนใจทันใด
"พี่หญิง น้องได้สั่งให้คนทำอาหารบำรุงมาให้ท่าน คนพวกนี้ท่านอย่าได้ถือโทษที่ลงโทษบ่าวของพี่หญิงเลยเพคะ เพราะคนของน้องเคารพกฎยิ่งนัก ทว่าพี่หญิงก็ควรสั่งสอนบ่าวไพร่ให้ดีด้วยนะเพคะ ครานี้คนของน้องลงมือหนักไปมากนักพี่หญิงไม่ต้องห่วงน้องจะตักเตือนบ่าวไพร่ด้วยตนเอง อย่างไรพี่หญิงก็มีฐานะเป็นพระชายา ไม่อาจล่วงเกินได้"
เมิ่งลี่เฟยมิได้สนใจสักนิดว่าเฉียนมี่กำลังข่มนางต่อหน้าต่อตาของเต๋อลู่หาน สีหน้าของเมิ่งลี่เฟยยังคงไม่ยินดีทั้งยังราบเรียบไม่เปลี่ยนสี ดวงตาคู่งามเอาแต่จ้องมองร่างของเสี่ยวเหลียนและพิจารณาบาดแผลโดยละเอียด
เมิ่งลี่เฟยคิดว่าตนเองอยากดูแลทายาให้เสี่ยวเหลียนแล้ว บ่าวของนางเจ็บเพียงนี้คนพวกนี้ยังหน้าด้านหน้าทนยืนอยู่ตรงนี้อีก
ใจคิดอยากจะปิดประตูไล่คนพวกนี้ออกไปโดยไว ก่อนที่ปากของเมิ่งลี่เฟยจะไวเท่าความคิด กลิ่นอาหารก็โชยเข้าที่จมูกของนางแล้ว
เมิ่งลี่เฟยเองก็หิวไม่น้อย นางเงยหน้าขึ้นมองเห็นบ่าวไพร่ถือตะกร้าอาหารในมือคนละตะกร้า จึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามเฉียนมี่ก็เสนอหน้าตอบเสียก่อนแล้ว
"พี่หญิงท่านเสวยให้มาก ๆ นะเพคะ ร่างกายอย่างไรก็ต้องแข็งแรงโดยไวอาหารนี่เป็นน้ำใจจากน้องที่มีให้คนกันเอง น้องทำสุดฝีมือเลยเพคะ หวังว่าพี่หญิงคงจะโปรด"
อูเจ๋อทำตาโตลอบมองท่านอ๋องเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
"ทูลพระชายารอง ไม่ได้นะเพคะกฎอย่างไรก็คือกฎ จะให้พระชายาเสวยได้อย่างไร บ่าวเห็นชัดแล้วว่าน้ำใจทูนหัวของบ่าวงดงามเพียงใด แม้ตนเองร่างกายอ่อนแอยังคิดถึงผู้อื่น โถ่คนดีของบ่าวช่างมีน้ำพระทัยประเสริฐยิ่งนักยังลงมือทำอาหารเองเช่นนี้อีก"
เฉียนมี่ที่แสดงออกว่าเป็นคนมีน้ำใจ เอ่ยตำหนิอูเจ๋อทันใด
"อูเจ๋อ เจ้าไม่เห็นหรือว่าพระชายาประชวรอยู่ กฎเกณฑ์ละเว้นได้ก็ละเว้นเถิด อย่างไรก็เป็นพี่น้องกันแล้วอยู่ในจวนนี้ควรสามัคคีกันให้ดี เพื่อท่านอ๋องจะได้สบายพระทัย ข้าแค่ทำอาหารไม่กี่อย่างไม่ลำบากเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงพี่หญิงของข้าได้เสวยของอร่อยข้าก็ยินดียิ่ง"
เต๋อลู่หานกลับมีโทสะ เขาไม่รู้ว่าอาหารเหล่านี้เฉียนมี่ลงมือทำด้วยตนเอง เฉียนมี่ไม่ค่อยสบายยังต้องลำบากเพียงนี้เพื่อสตรีต่ำช้าผู้หนึ่ง เฉียนมี่จะแสนดีไปถึงเมื่อใดกัน
ในความเป็นจริงแล้วเต๋อลู่หานไม่อยากมาที่เรือนเย็นนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เพราะความใจดีของเฉียนมี่ที่อยากมาเยี่ยมคนป่วยเขาไม่อาจปล่อยให้มาเพียงลำพังได้ด้วยกลัวถูกเมิ่งลี่เฟยรังแกจึงได้ติดตามมาดูแลไม่ห่าง
เต๋อลู่หานจึงใช้สายตาตำหนิเมิ่งลี่เฟยอย่างเปิดเผย
"ก่อกวนความสงบของคนในจวนตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา จนบัดนี้ยังมารบกวนมี่เอ๋อร์ของข้าอีก เจ้าสำนึกบ้างหรือไม่"
หัวใจของเมิ่งลี่เฟยหดเกร็งอย่างรุนแรง นางกัดฟันแล้วเอ่ยเสียงดังเย็นเยียบ
"ช้าก่อน"
บ่าวที่ยกอาหารเข้ามาพลันหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับกระทั่งปลายนิ้ว
ท่ามกลางสายตาของอ๋องเจ็ดและคนอื่น ๆ เมิ่งลี่เฟย กลับดึงตะกร้าอาหารจากมือของคนพวกนั้นออกมาอย่างแรงแล้วโยนทิ้งต่อหน้าทุกคนโดยไม่ไยดี
เพล้ง!
อาหารในตะกร้าล้วนเป็นของดีราคาแพง บัดนี้หล่นกระจายเต็มพื้น เมิ่งลี่เฟยเห็นชัดว่าทุกคนกำลังตกตะลึง นางจึงเอ่ยเสียงเย็นไม่แยแสออกมา
"กฎก็คือกฎในเมื่อถูกลงโทษแล้วก็ทำตามนั้น ก่อนหน้าข้าเองไม่รู้กฎพวกนี้และบ่าวของข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ดังนั้นจึงทำผิดพลาดไป เรื่องเงินทองที่มอบก็เป็นสินน้ำใจเล็กน้อย ทว่าเสี่ยวเหลียนของข้าก็ได้รับโทษแล้วเช่นกัน อาหารพวกนี้ข้าก็ไม่คิดจะแตะต้องเลยสักนิด ท่านอ๋องท่านคงไม่คิดโกรธข้าใช่หรือไม่เพคะ ที่ทิ้งอาหารพวกนี้เสีย บัดนี้คนที่ละเลยกฎก็คือพระชายารองแล้ว นางทำผิดคิดทำอาหารให้ข้ายังมาส่งมอบให้ถึงเรือน หลักฐานการทำผิดกฎนี้คาตาใช่หรือไม่ ข้าเองอยากรู้ว่าคนที่เคร่งครัดกฎเกณฑ์หนักหนาจะลงโทษพระชายารองเช่นไร หรือว่าจะทรงปล่อยเรื่องนี้ไปเล่าเพคะ ท่านอ๋องท่านตรองดูเองเถิดว่าท่านมีความยุติธรรมและเคร่งครัดกับภรรยาอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ ท่านคงมิปล่อยให้บ่าวไพร่หัวเราะเยาะลับหลังกระมัง"
หลังจากสาดคำพูดออกไปจนหมดแล้ว เมิ่งลี่เฟยพลันผลักคนพวกนี้ออกให้พ้นทาง สองมือจับบานประตูแน่นแล้วปิดลงทันใด ทิ้งคนเหล่านั้นไว้หน้าเรือนเย็นโดยไม่คิดจะสนใจอีก
เมิ่งลี่เฟยหันมาสนใจเสี่ยวเหลียนที่ยังนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกปวดร้าวในใจ
“เจ้าเจ็บเพียงนี้คนพวกนั้นยังไม่คิดจะสนใจ จวนแห่งนี้คือนรกของจริงใช่หรือไม่เสี่ยวเหลียน”