/0/10408/coverbig.jpg?v=a9f94c64f1996d62995c552a9c44ccb1)
หนูน้อย"อ้ายหลาน"เกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษไม่เหมือนใคร แม้นางจะเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่นางก็มีพลังมหาศาลสามารถยกกระสอบข้าวด้วยมือเดียว ก้อนหินสิบคนโอบนางก็สามารถยกทุ่มได้อย่างง่ายดาย และจมูกนางไวต่อกลิ่นยิ่งนักแม้สิ่งนั้นจะอยู่ไกลเพียงใดโดยเฉพาะอาหาร นางมีจมูกที่พิเศษสามารถแยกแยะสิ่งมีพิษและไม่มีพิษได้
กระท่อมเชิงเขา
เสียงของเด็กแรกเกิดร้องลั่นในยามรุ่งอรุณของวันใหม่ จางหย่งหยุดนิ่งฟังเสียงอันไพเราะสดใสที่อยู่ด้านในของกระท่อมหลังจากที่ภรรยาเขาปวดท้องจะคลอดไม่นาน โชคดีที่เขาพาท่านหมอมาได้ทันเวลา
“คลอดแล้วๆ ท่านได้ลูกสาวนะ แข็งแรงดีมาก"
ท่านหมออุ้มเด็กทารกออกมาหลังจากที่ทำความสะอาดและห่อตัวให้เสร็จเรียบร้อยแล้วอุ้มออกมาส่งให้จางหย่ง
“ภรรยาข้าเล่าท่านหมอ”
จางหย่งยื่นมือสั่นๆ ไปรับลูกสาวมาอุ้มไว้ เขาไม่กล้ากอดแรงกลัวว่าลูกน้อยเขาจะหายใจไม่ออก ท่าทางเขาดูเก้ๆ กังๆ มากจนทำให้ท่านหมออดขำมิได้ จางหย่งยิ้มเขิลอายเล็กน้อยแล้วถามถึงภรรยา
“นางปลอดภัยดีนางแค่อ่อนเพลียเล็กน้อยท่านดูแลนางให้ดี ต้มน้ำร้อนให้ดื่มมากๆ ระวังอย่าให้ถูกลมเย็น”
“ข้าเข้าใจแล้วขอบคุณท่านหมอมาก”
เขายื่นถุงเงินที่มีอยู่ทั้งหมดให้ท่านหมอเป็นค่าคลอด ถุงเงินนี้เขาเก็บมาไว้ให้เป็นค่าคลอดบุตรของภรรยาเขาโดยเฉพาะ จะเป็นลูกสาวหรือลูกชายเขาก็เอาทั้งนั้น ท่านหมอก็รับมาอย่างยินดีแม้ว่าจางหย่งจะไม่มีให้เขาก็ไม่ว่าอะไร เขารู้จักกับจางหย่งผู้นี้เมื่อสองเดือนก่อน จางหย่งพาภรรยาท้องแก่เดินทางมาจากไหนไม่รู้ทั้งคู่นอนหมดสติอยู่ชายป่าที่เขาไปเก็บสมุนไพรเขาจึงได้ช่วยเหลือไว้ และให้มาสร้างที่พักที่นี่เป็นที่ดินว่างเปล่าและรกร้างมานาน
จากที่เขารู้จักจางหย่งมาในระยะสองเดือนนี้จางหย่งนั้นเป็นคนซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง เขาเล่ามาเพียงคร่าวๆ ว่าเขาถูกตัดชื่อออกจากตระกูล และไม่ให้ใช้แซ่ของตระกูลด้วยแต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าแซ่อะไร บอกแต่เพียงว่าขอให้มั่นใจว่าเขามิได้เป็นผู้ร้ายหนีคดี
เดิมเขาไม่ได้ชื่อจางหย่งตั้งแต่ถูกไล่ออกจากตระกูลพร้อมภรรยาและไม่ให้ใช้แซ่เดิมด้วยเขาก็ทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้ที่นั่นทั้งหมดทั้งชื่อและแซ่ เขามาตั้งชื่อตัวเองว่าจางหย่งภรรยาชื่อจางลี่ไม่มีแซ่ออกเดินทางเรื่อยมาอย่างไร้จุดหมายเขาเดินทางมาสองเดือนเต็มจนสมบัติติดตัวมาหมด เขาและภรรยาตกลงกันว่าหากจะตายก็ตายด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก จนกระทั่งมาหมดสติที่ชายป่าและได้รับการช่วยเหลือจากหมอจู
หมอจูช่วยเหลือเขาและสอนเขาหาสมุนไพรไปขาย เขาเป็นคุณชายใหญ่ในตระกูลสมุนไพรก็เคยเห็นเคยซื้อแต่ไม่เคยเก็บ เขาก็ต้องใช่เวลาปรับตัวหลายวันกว่าจะรู้จักว่าสมุนไพรชนิดไหนขึ้นที่ใด บางอย่างขึ้นตามซอกหิน บางอย่างขึ้นตามไม้แห้งผุ บางอย่างขึ้นในที่ชื้น และอีกอย่างต้นแห้งที่เขาเคยเห็นก็ไม่เหมือนต้นสดที่อยู่ในดิน สมุนไพรที่เขาหามาได้ก็นำไปขายบ้างเก็บไว้ต้มให้ภรรยาดื่มบ้าง เขาพบโสมต้นอ้วนใหญ่หลายต้นเขาดีใจมากเขาขุดมาเก็บไว้ทั้งหมดรอให้ภรรยาเขาแข็งแรงก่อนค่อยนำไปขาย ป่านี้มีสมุนไพรมากมายและอุดมสมบูรณ์มาก เขาเก็บสมุนไพรมาหลายชนิดแม้แต่เห็ดหลินจือเขาก็มีและเลือกขายแต่สมุนไพรที่ราคาพอประมาณ สมุนไพรที่ราคาแพงเขาเก็บเอาไว้ก่อน เขาขายสมุนไพรพอได้เงินซื้อข้าวและเก็บไว้เป็นค่าคลอดภรรยาเท่านั้นที่เหลือเก็บไว้ทีหลัง
กระท่อมหลังนี้เขาก็ตัดต้นไผ่ในป่ามาสร้างพอได้หลบฝนหลบหนาวบ้าง เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งรกรากที่นี่ แม้ที่นี่จะห่างไกลเมืองมากแต่ก็เป็นเรื่องดี ไม่ใครมาสร้างความวุ่นวายให้เขาและภรรยาอีก เขาหนีมาหลายพันลี้ขนาดนี้คนเหล่านั้นคงไม่ตามมาถึงที่นี่หรอก เขาเป็นทายาทสายตรงแต่ต้องถูกขับไล่ออกจากจวน ไม่พอยังถูกขับออกจากตระกูลอีกหลังจากที่ท่านพ่อเขาสิ้นลมโดยไม่ทราบสาเหตุ ท่านย่าของเขาก็ให้บุตรชายคนรองขึ้นเป็นเจ้าบ้านแทนเขา เขาถูกคนผู้เป็นอาสะใภ้ไล่ออกจากจวน หลังจากวันนั้นและถูกไล่ตามฆ่า เขาก็ไม่รู้ว่าท่านย่าและท่านอาของเขาสมรู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่เขาก็ไม่อาจจะเสี่ยงทิ้งภรรยาท้องแก่ไปสืบข่าวได้เขาจึงตัดใจจากมาแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว ใครอยากได้สมบัติเหล่านั้นก็ให้เขาไปขอเพียงอย่ามายุ่งกับครอบครัวเขาเป็นพอ
ครั้งนี้คงต้องเอาไปขายเสียแล้ว เขาจะซื้อที่ตรงนี้และสร้างบ้านที่แข็งแรงเพื่อให้ภรรยาและลูกน้อยอยู่อย่างสุขสบาย เขาจะหาพืชกินได้มาปลูกไว้ เขาไปเรียนรู้วิธีปลูกพืชมาจากชาวบ้าน ชาวบ้านแถวนี้ให้ความเคารพหมอจูมากจึงเอ็นดูเขาและภรรยา บางทีก็เอาผักมาให้บ้างก็เอาไข่เป็ดไข่ไก่มาให้ เขาเก็บไข่ไว้ให้ภรรยากินเพราะท่านหมอบอกว่าอาหารเหล่านี้ดีต่อลูกในท้องมาก
จางหย่งดูแลบุตรสาวอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เขาจะต้องเรียนรู้อีกมากกับการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เกิดมาก็มีแต่คนทำให้ทุกอย่าง แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยทุกอย่างมีแต่สาวใช้ทำให้ ระหว่างเดินทางเขาก็หัดซักเสื้อผ้าทั้งของตนเองและภรรยา อาหารก็ฝึกจากภรรยาแรกๆ ก็เป็นลูกมือหลังๆ มาก็ทำเป็นบ้างแล้ว เขาดูแลบุตรสาวรอในระหว่างที่ภรรยาหลับพักผ่อนอยู่ ไม่นานภรรยาก็ตื่น และเติมถ่านใส่ในเตาให้ความอบอุ่น
“ท่านพี่ลูกล่ะ”
“ลูกอยู่นี่อย่างไรล่ะลี่เอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากหรือไม่”
จางหย่งวางให้บุตรสาวนอนลงข้าง ๆ ภรรยาไว้สักพักแล้ว เขาเอาผ้ามาซับเหงื่อให้ภรรยาเบาๆ
“ท่านพี่เสียใจหรือไม่ที่ลูกเราไม่ใช่ลูกชาย”
จางหย่งส่ายหน้าเอื้อมมือสัมผัสแก้มลูกเบา ๆ เขาไม่กล้าจับแรงกลัวแก้มลูกช้ำ
“เจ้าอย่าคิดมากน้องหญิง ลูกจะเป็นหญิงหรือชายเขาก็คือลูกของพี่"
“ข้าดีใจที่ท่านพูดแบบนี้ ท่านพี่ดูสินางแข็งแรงยิ่งนัก”
เด็กน้อยหลับตายิ้มเล็กน้อยหลังจากที่ได้ดื่มนมแสนอร่อยจากอกแม่จนอิ่มแล้ว
“ลี่เอ๋อร์เราสร้างบ้านอยู่ที่นี่ดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ ที่นี่ดีมาก ๆ ข้าชอบชาวบ้านที่นี่ก็ดีกับพวกเรามาก”
"เช่นนั้นเจ้าอยู่กับลูกก่อนนะพี่จะเอาโสมไปขายที่ตลาด เพื่อขอซื้อที่ตรงนี้และสร้างบ้านสักหลัง”
“ท่านพี่ไปเถอะไม่ต้องเป็นห่วงข้าอยู่ได้”
จางหย่งเอาเอาถ่านมาใส่เตาเพิ่มและเอาถ่านใส่โถมาวางไว้ใกล้ๆ เพื่อให้ภรรยาเอาใส่เตาได้สะดวก ถ่านนี้เขาเผาเองโดยมาชาวบ้านสอนเขาอีกเช่นกัน เขาเอาโสมไปเพียงสามต้นเท่านั้นไม่กล้าเอาไปมาก โสมนี้น่าจะอายุมากกว่าร้อยปีแน่นอนเขามั่นใจ คำนวนราคาแล้วน่าจะพอซื้อที่และสร้างบ้านสร้างรั้วบ้านได้อีกด้วย
"อ๊ะ..ที่ไหนนี่มืดจัง อึดอัดจังเลย โอ้ย !!ใครถีบหัววะ" "ฮูหยินคลอดแล้วเป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ ยังมีอีกคนเจ้าค่ะ เบ่งอีกเจ้าคะ " "อุ๊แว" "เป็นคุณหนูเจ้าค่ะฮูหยิน"
เว่ยเว่ย นักศึกษาฝึกงานทะลุมิติ เว่ยเว่ยขับเวสป้าตกเหว แต่ดันทะลุมิติตกน้ำอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ที่กำลังหาปลาอยู่ที่บึงน้ำ ลู่เหวินเยียนอาศัยกับมารดาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขา บิดาเสียชีวิตในสนามรบ เขามักจะออกไปล่าสัตว์ป่ามาขาย วันนี้เขามาดูกับดักปลาและบังเอิญเห็นบางสิ่งตกลงมาจากฟ้าต่อหน้าต่อตาเขา คำเตือน นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่ง บุคคล สถาน องค์กรและเนื้อเรื่องทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ทางปัญญาตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ.2537และเพิ่มเติมพ.ศ.2538 ห้ามทำการคัดลอก หรือดัดแปลงเนื้อหาของนิยายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่เป็นผู้แต่งเป็นลายลักษณ์อักษร
เขายังคงกระแทกกระทั้นอย่างเมามันส์ มือจับเอวรั้งรับแรงกระแทกจนหญิงสาวจุก เสียงเนื้อกระทบกันแข่งกับเสียงเตียงลั่นเป็นจังหวะ ธามจับพลิกคว่ำพลิกหงายเปลี่ยนท่าตามอารมณ์กาม มโนว่าสาวที่นอนดิ้นครางระงมอยู่ใต้ร่างนั้นเป็นรินรดา “อ่าา…ซีดด…เสียวจังรินจ๋า” กระแทกอีกสองสามทีร่างเขาก็กระตุกเกร็ง
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจียงหว่านฉือตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทีแรกเธอยังคิดว่าสามีของเธอที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสามปีนั้นมาที่นี่เพื่อดูอาการของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่า ชายคนนั้นกลับเดินไปที่ห้องผู้ป่วยข้างๆ เพื่อดูแลผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขายังต้องการส่งเธอเข้าคุกด้วย "2500 ล้าน เพื่อแลกกับการตบผู้หญิงของคุณหนึ่งฉาด"เจียงหว่านฉือมองไปที่เขาอย่างเย็นชา "เราหย่ากันเถอะ"" เธอรับใช้เขาอย่างอดทนมาเป็นเวลาตั้งสามปี ตอนนี้ เธอขอไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจะกลับไปสืบทอดมรดกมหาศาลของตระกูล