/0/10415/coverbig.jpg?v=92d568be10ca722f65725e8683b9c1f7)
นาคี วีรัง อาฆาตุคุเนติ เสียงสาปนี้ดังก้องทั่วท้องนที ทั้งมหาสมุทร ท้องแม่น้ำ ลำคลอง บึง สระ หรือแอ่งน้ำเล็ก ๆ นั่นก็ยังได้รับผลจากคำสาปนี้ เนื่องด้วยเจ้าแห่งท้องนทีถูกลอบปลงชีพจากเมียรัก นางแทงกริชเล่มเล็กเอาชีวิตสวามี ก่อความอาฆาตพยาบาทและแคลงใจมาจนถึงภพชาติปัจจุบัน ปทุมมารู้สึกสะอิดสะเอียนพะอืดพะอมทุกครั้งที่ได้ยินตำนานเรื่องนี้ เธอไม่เชื่อตำนานนี้อย่างเด็ดขาด จนวันที่ย้ายไปเป็นแม่บ้านที่อาคารแห่งหนึ่ง ก็ทำให้เธอพบว่า ศาตราจารย์เธียร ชายคนนี้ทำให้เธอนึกถึงท่านพญานาคราชขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และเขาไม่ได้อบอุ่นอย่างที่คนอื่น ๆ เห็น ภายใต้บุคลิกเรียบเงียบขรึม เธอดูออกหรอกน่าว่าเขาน่ะเอาแต่ใจและชอบจับผิดเธออีกด้วย แล้วทำไมจะต้องคอบจับผิดแต่เธอก็ไม่รู้ อย่างกับว่าชาติก่อน เธอเคยทำร้ายเขาจนเจ็บปางตายอย่างนั้นแหละ
นาคี วีรัง อาฆาตุคุเนติ
เสียงสาปดังก้องทั้งนที ไม่ว่าจะเป็นมหาสมุทร แม่น้ำ ลำคลอง บึง สระ หรือแอ่งน้ำเล็ก ๆ ก็ด้วย และนั่นคือเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่เกือบปลิดชีพชั่วกัปชั่วกัลป์ของเจ้าแห่งท้องนที จนทำให้พญาเฑียรฆชาติจมอยู่กับความแค้นมาตลอด
ว่ากันว่าคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรพร้อมกับน้ำล้นในแม่น้ำลำคลองสั่นสะเทือนเลือนลั่นเป็นนานแท้จริงมาจากในเมืองบาดาลนี่เอง เมื่อพญาเฑียรฆนาคราชถูกทิ่มแทงด้วยกริชเล่มเล็กหวังปลิดชีพจนชีพวางวายด้วยเมียชั่วช้า ที่กล้าคบชู้แล้วยังลอบขโมยดวงแก้วแห่งท้องบาดาลหวังให้ชู้รักและตนได้เป็นใหญ่ในเมืองบาดาล
ทุกครั้งที่ฟังตำนานนี้ปทุมมาจะรู้สึกพะอืดพะอมแล้วก็อยากจะร้องค้านออกไปว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องจริง เรื่องเล่าที่ว่านั้นดูปั้นแต่งจนเกินไป และเชิดชูท่านเทียน ๆ ชาติ ๆ อะไรนั่นมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นจะต้องหาทางฆ่าสามีอย่างท่านเทียน ๆ ชาติ ๆ อะไรด้วยล่ะ
เพียงเพราะอยากให้ตัวเองและชู้เป็นใหญ่ในเมืองบาดาลอย่างนั้นหรือ จะทำแบบนั้นไปทำไมก็ในเมื่อนางเองกำลังตั้งท้อง แล้วก็ยังถูกขังในตำหนัก นางไม่มีลูกสมุน ไม่มีพรรคพวก ไม่มีบริวารที่จงรักภักดีเลยไม่ใช่หรือ แล้วชู้ที่ว่านั่นใคร ไม่เห็นพูดถึงกัน แล้วจะขึ้นเป็นที่หนึ่งด้วยลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ลูกเดียว ที่ไม่รู้ว่าได้มาครอบครองแล้วจะเป็นที่หนึ่งจริงหรือเปล่า แค่นั้น อย่างนั้นเลยหรือ
ปทุมมาไม่เห็นด้วยเลย และเธอก็เคยได้ยินเรื่องราวนี้ในอีกมุมจากตาทองอยู่และปู่ทองดีของเธอมาแล้วด้วย ท่านเล่าตำนานนี้ให้ฟังบอกว่านี่ต่างหากที่เป็นเรื่องจริง
ครั้งนั้นมีมือที่สามคิดปลิดชีพท่านพญานาคราชอะไรนั่น และคนร้ายก็คือคนในเมืองบาดาลนั่นแหละ ที่นอกจากจะคิดฆ่าท่านพญานาคราชแล้วก็ยังคิดกำจัดผู้หญิงคนละตระกูลกับทางท่านพญานาคราชที่ท่านตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ เหตุเพราะคนในกลุ่มนั้นหวั่นใจ กลัวว่าหญิงผู้นั้นจะกลายมาเป็นอัครมเหสีของท่านพญานาคราชจึงรวมหัวกันคิดแผนร้ายด้วยการป้ายความผิดให้หญิงผู้นั้น
ได้ยินแล้วปทุมมาค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อยแล้วเธอก็อยากเชื่อเรื่องเล่าของตาและปู่มากกว่าตำนานที่คนอื่นเอามาบอกต่อกันมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาเหตุผลอะไรไปค้านเพราะตาและปู่ของเธอเป็นเพียงชายแก่ สองคนที่ใช้ชีวิตทำสวนทำไร่ทำนาที่ต่างจังหวัดเท่านั้น
ถอนลมหายใจบอกตัวเองว่าไม่ใช่เรื่องจะต้องเอามาขบคิดเลย แล้วลุกไปยังห้องเก็บของด้านหลังเพื่อเอารถเข็นเครื่องมือทำความสะอาดของตัวเองไปทำงานที่ชั้นล่างในช่วงบ่าย
ขนุนหนัง แม่บ้านรุ่นพี่ที่รับผิดชอบงานดูแลทำความสะอาดชั้นเดียวกันกับเธอยังคงจ้องมองคลิปเรื่องดังในตำนานอย่างตั้งอกตั้งใจ น่าจะเป็นเพราะเสียงเล่าใส่อารมณ์กระแทกกระทั้นนั่นเอง เธออยากถามว่าตอนเข้าอบรมแม่บ้านตั้งใจฟังขนาดนี้ไหมก็อมยิ้มไว้ไม่กล้าแซวกลัวอีกฝ่ายจะงอนเอา
พอหัวหน้าแม่บ้านเดินผ่านประตูมาทางนี้เจ้าตัวก็ลนลานรีบปิดคลิป รอจนทางนั้นเดินจากไปค่อยหันมาคุยกับเธอ
“เป็นพี่หน่อยไม่ได้นะบัวเอ๊ย พี่จะใช้มารยาของพี่บวกคูณกับเสน่ห์ร้อยล้านเล่มเกวียนของพี่ล่อลวงให้ผัวรักผัวหลง ลำพังผัวตัวนั่นก็ที่หนึ่งในเมืองบาดาลอยู่แล้ว ชู้เป็นแค่ลูกเมียน้อยของพ่อผัว ไปเอาทำไมกันวะ นังผู้หญิงคนนี้นี่ตาต่ำชะมัดเลย”
อ้อ ที่แท้ชายชู้ที่ถูกโยงเข้ามาเอี่ยวด้วยเป็นลูกของภรรยาอีกคนของนาคราชเทียน ๆ อะไรนี่เอง แบบนี้ละมั้งก็เลยแค้นกันไปมา ปทุมมาคิดตามเรื่องที่ขนุนหนังเล่า ก่อนจะได้ยินขนุนเรียกเสียงอ่อย ๆ “บัว”
เธอไม่ได้ขานรับแต่ถึงอย่างนั้นก็หันไปมองสบตาด้วย ขนุนหนังรีบลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “วันอาทิตย์มาทำงานแทนพี่หน่อยนะ”
“ได้พี่” ปทุมมาตอบรับเสียงแข็งขัน วันหยุดค่าแรงสามเท่าท่องเอาไว้ ไม่ขยัน เหงื่อไม่ออก ไม่ได้เงินหรอกบัว เธอบอกตัวเองแบบนี้เสมอ
หัวหน้าแม่บ้านเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง ตรงมาหาเธอพร้อมเรียกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจึงรีบตอบรับแกกลับไปเพราะรู้ว่าถ้ามาลักษณะนี้คือมาสั่งงานอย่างแน่นอน
“บ่ายนี้ บัวขึ้นไปเก็บของที่มันเกะกะทางเดินแล้วก็พวกของที่ไม่ใช่แล้วตรงชั้นบนให้พี่หน่อยนะ”
“ชั้นบนไหนคะ”
“บนสุดนั่นแหละ”
“ชั้นที่ปิดเอาไว้ไม่ให้ขึ้นนั่นน่ะหรือคะ”
“ใช่จ้ะ เห็นทางงานบริหารเขาโทรมาว่าให้ขอจัดห้องทำงานใหม่ เขาจะเอาชั้นนั้นทั้งชั้นให้ท่านดอกเตอร์อะไรนี่แหละ ไม่ต้องรีบทำหรอก คุณแกก็ไม่รู้จะมาจริงหรือเปล่า ที่นี่ออกจะกันดาร ใครเขาอยากมากัน เหมือนพวกเราไง เมื่อตอนที่เราเพิ่งย้ายกันมา ที่คุย ๆ กันว่าจะมีผู้บริหารมาประจำที่นี่น่ะจำได้ไหม” คนพูดหยุดหน่อยหนึ่งเพื่อให้เธอกับขนุนหนังนึกตาม พอจะจำได้บ้างจึงพยักหน้าอือออตามแกไป แล้วคนเล่าจึงเล่าต่อ “นั่นแหละแล้วแกก็ไม่มา รอบนี้ก็คงอีหร็อบเดิม รับปากไปงั้น แล้วก็คงจะไม่มาอีก”
ขนุนหนังถามขัด เพราะหากว่าเธอขึ้นไปทำตามสั่ง ตนก็ต้องทำงานหนักอยู่คนเดียวที่ชั้นล่างนี้น่ะสิ
“แล้วอย่างนั้นจะให้บัวมันขึ้นไปทำทำไมล่ะคะ”
“ก็ต้องไปหน่อย เดี๋ยวได้มาหาเรื่องว่าเราอีก ว่าไม่ใช่พนักงานประจำ เป็นOutsourceเดี๋ยวด๋าวก็ย้ายไปที่อื่นอย่างเราน่ะดื้อด้าน ไม่ทำตามคำสั่งของเขายังไงล่ะ”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาเลย เดี๋ยวบัวขึ้นไปทำตอนนี้ค่ะ”
ส้มป่อยมองเธอด้วยสายตาเอ็นดู “ดีจ้ะ”
ปทุมมารับคำสั่งแล้วจึงเข็นรถเข้าลิฟต์ตรงไปยังชั้นบนสุดที่ว่านั่นทันที
ร่างสูงใหญ่ลงจากรถหรูสีดำเป็นมันวาวทั้งคันที่มองผ่านเพียงผิวเผินคนจิตอ่อนบางคนมองเห็นว่ายานพาหนะคันนี้คล้ายมีเกล็ดประดับโดยรอบ
เขาพารถจอดลงที่ด้านหลังอาคารสำนักงานสาขาต่างจังหวัด ที่ซึ่งเป็นสาขาที่ไม่เคยเป็นหน้าเป็นตาให้เครือเลยสักครั้ง แม้ไม่เคยทำกำไรให้กับ NAGARA Bev. แต่ก็ไม่เคยขาดทุน คณะทำงานและทีมผู้บริหารจึงยังไม่คิดที่จะยุบสาขานี้ จะว่าไปแล้วการตัดสินใจทั้งหมดว่าจะยุบที่ไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดของเขาแทบทั้งสิ้น
ชายหนุ่มพาตัวเองเดินเข้าประตูอาคารสำนักงานที่พนักงานรักษาความปลอดภัยหละหลวมไม่มีใครมายืนเฝ้าประตูนี้เลยสักคน ตรงเข้าลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นบนสุดของตัวอาคาร
ครั้งนี้เขาเข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าวให้ใครรู้เพราะอยากมาดูว่าที่นี่เรียบร้อยดีอย่างที่พี่ชายของเขาบอกจริงหรือไม่และอีกเหตุผลที่เขามา คิดพร้อมหัวคิ้วขมวดเข้าหากันก่อนคลายออกช้า ๆ แรงกระตุ้นนั้นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ทันทีที่กล่องเหล็กกลางเก่ากลางใหม่พาขึ้นไปยังชั้นบนสุดแล้วและเปิดออกกว้างให้เขาเดินออกไป ก็พบว่าข้าวของกองระเกะระกะอยู่ตรงทางเดินเต็มไปหมด อีกทั้งยังมีเสียงกุก ๆ กัก ๆ ดังมาจากด้านในอีกด้วย
เธียรเดินเข้าไปจนสุดทาง มองเข้าไปด้านใน เห็นแม่บ้านร่างผอมแกนไม่สูงมากนักกำลังรื้อของที่บนโต๊ะของเขาอยู่
“ทำอะไร”
เสียงเข้มขรึมส่งออกไปถาม สายตาเรียบเฉียบคมมองจ้องหญิงคนนั้นนิ่ง และเมื่อเห็นเต็มสองตาว่ากำลังหยิบแท่นหินของวงศ์ตระกูลที่เขาไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นี่เมื่อไร ก็สั่งเสียงเรียบแต่ก็ฟังแล้วเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีอยู่ไม่น้อยกับหญิงผู้นั้นอีกครั้ง
“วางของนั่นลง”
มือเล็กแบบเดียวกับรูปร่างรีบวางหินหนาใหญ่แท่งนั้นลงในทันทีเพราะเข้าใจว่าคงเป็นของเก่าเก็บมีราคาที่คงจะเป็นของของชายผู้นี้
ปทุมมายิ้มอย่างที่หัวหน้าสอนให้ยิ้มเวลาพบสีหน้าไม่พอใจของผู้บริหาร แล้วรีบบอกเขาเพื่อไม่ให้เข้าใจผิดว่าเธอเข้ามาโดยพลการหรือเข้าขโมยของของเขา
"ฉันเป็นแม่บ้านค่ะ กำลังเก็บของทำความสะอาดให้น่ะค่ะ”
“ใครอนุญาตให้ขึ้นมาบนนี้”
ปทุมมาคิดเล็กน้อยก่อนตอบไปว่า “งานบริหารค่ะ เขาให้ขึ้นมาทำความสะอาดรอผู้บริหารมา...” เธอยังตอบเขาไม่จบความดีเลยด้วยซ้ำ เสียงสั่งทรงอำนาจเอ่ยไล่อย่างสุภาพทว่ากดดันอยู่ไม่น้อย
“หากต้องการแม่บ้าน จะให้คนแจ้งไปอีกที”
ปทุมมามองของที่ยังเก็บไม่เรียบร้อยดีเลยด้วยซ้ำด้วยสายตาเสียดาย “ขอเก็บของตรงนี้ให้เสร็จก่อนได้ไหมคะ”
ไม่มีเสียงสั่งกำชับของเขาที่ฟังดูเข้มงวดเผด็จการน่าเกรงขามอย่างเมื่อครู่ มีเพียงแววตาเรียบนิ่งมองตอบกลับมาเท่านั้น ปทุมมามองตอบสายตาของเขาแล้วก็เลื่อนสายตาไปมองที่ของที่ยังเก็บไม่เสร็จเรียบร้อยอีกครั้ง เพราะเธอไม่เคยทำงานค้าง ๆ คา ๆ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าชายคนนี้เป็นใครมาจากไหน แต่การขึ้นมาบนชั้นนี้ได้ก็คงเป็นคนของบริษัทที่สำคัญคนหนึ่งละมัง ว่าแล้วก็รีบเก็บเช็ดซ้ำอีกทีเท่าที่พอทำได้ ค่อยลากรถเข็นออกไปที่ด้านนอกห้อง รีบเข็นรถตรงเข้าลิฟต์ลงมาที่ชั้นล่างอย่างเดิม หัวหน้าของปทุมมาวางสายลงพอดี เห็นเธอลงมาไวก็มุ่นคิ้วสงสัย
“เสร็จแล้วหรือ ทำไมไวจัง”
“ใครก็ไม่รู้ขึ้นไปชั้นผู้บริหารค่ะ เขาบอกให้บัวลงมา ไม่ให้ไปยุ่มย่ามบนนั้น”
“ใครจะขึ้นไปบนนั้นได้นอกจากผู้บริหาร นี่อย่าบอกนะว่ามาแล้วน่ะ”
ปทุมมามองแล้วยิ้มอย่างไม่รู้จะตอบไปว่าอย่างไรดีเพราะเธอไม่รู้ว่าหัวหน้ากำลังพูดถึงใคร แล้วใครหรืออะไรที่ว่านั่นน่ะมาแล้วจริงไหม แต่ก็น่าจะเป็นชายหนุ่มหน้าขรึมเข้มคนนั้นที่ชั้นบนของผู้บริหารเป็นแน่ที่อีกฝ่ายกล่าวถึง
ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"
"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ
ปัญญารัตน์กำแท่งตรวจการตั้งครรภ์ในกระเป๋าไว้จนเหงื่อชุ่มเต็มมือ วันนี้เธอมาเพื่อบอกเขาว่า ท้อง แต่นายแพทย์อนลกลับเอ่ยปาก บอกเลิกความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อกลับไปคบกับแฟนเก่าของเขาที่กำลังย้อนกลับมาคบกันอีกครั้ง
คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ
พ่อหายตัวไปอย่างลึกลับ พี่สาวของฉันถูกข่มขืนและจุดไฟเผา พี่ชายถูกทำร้ายจนตายและโยนศพลงแม่น้ำ ใครจะช่วยฉันได้ในสถานการณ์แบบนี้ . "เป็นคนของผม แล้วผมจะช่วยคุณลากคนผิดมาแก้แค้น" เจ้าของคำพูดนั้นคือ รฐนนท์ นิยายไม่เน้นสืบสวน เน้นความสัมพันธ์ของตัวเอก จบดี แฮปปีค่ะ
วันดีคืนดีก็มีมาเฟียมาจอดหน้าบ้าน บอกว่าอยากได้ที่ของผืนสุดท้ายของเธอ มาเฟีย เจ้าของรีสอร์ท ฟาร์มควาย ม้า วัวที่อยู่ตรงรอยต่อของไทยมาเจรจาด้วยตัวเอง ทันทีที่เจอกัน ศศิร์ธาไม่ได้แค่อยากได้ที่ของเธอ ตัวเธอเองเขาก็อยากได้ด้วย เสียแต่ว่าเป็นม่ายลูกติด ไอ้ระยำนั่นมันเอาอะไรคิดถึงได้ถึงผู้หญิงแบบนั้นไป
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"