วงวารพานรัก (พิชยะxกนิษฐา) เธอถูกหลานชายคู่หมั้นตราหน้า หยาบหยาม และล่อลวง เขามันเลว แต่เธอยิ่งเลวกว่าเมื่อเผลอนอกใจคู่หมั้น เพียงเพราะเขาบอกว่าเธอเองก็ชื่นชอบ ‘ห้องแดง’ เหมือนกันกับเขา กนิษฐาพยายามพาตัวเองออกห่าง แต่พิชญะร้อนแรงเหลือเกิน เขาเหมือนห้องแดงเคลื่อนที่ ที่แค่เข้าใกล้ก็พร้อมจะทำให้เธอกระโจนเข้าไปติดบ่วงสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘รสนิยม’
สายตากว่าสิบคู่ของคนในร้านอาหารโรงแรมชื่อดังต่างกำลังถูกดึงดูดไปยังบุรุษวัยยี่สิบหกที่แต่งตัวด้วยชุดสูททันสมัย สมกับเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ทั้งด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเข้มอย่างชายไทยแท้ๆ และด้วยโพรไฟล์แสนเริดหรูที่คนในแวดวงไฮโซต่างรู้จักดี ทำให้เขาเป็นที่สะดุดตาของใครหลายคนไปโดยปริยาย หากทว่าความสนใจของเขาไม่ได้มีให้ใครเลยในเวลานี้ นอกจากผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่าง
เธอผู้นั้นไม่ได้ให้ความสนใจเขาเฉกเช่นคนอื่น นั่นคงเป็นเพราะเจ้าหล่อนกำลังหัวร่อต่อกระซิกสลับกับยิ้มหวานให้ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามกระมัง
ให้ตายสิ...รอยยิ้มแบบนั้นมันควรจะเป็นของอาเขาคนเดียวไม่ใช่เหรอ ทำไมหล่อนเที่ยวแจกรอยยิ้มให้ผู้ชายอื่นไปทั่วแบบนี้ หรือว่าต่อหน้าคู่หมั้นทำอีกอย่าง ลับหลังเป็นอีกอย่าง
หัวใจของพิชญะกรุ่นๆ ด้วยความรู้สึกหึงหวงแทนคนเป็นอา ตอนที่พิธานอาของเขาหมั้นกับกนิษฐาเมื่อหลายเดือนก่อน เขาไม่ได้มาร่วมงาน เพราะตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงสอบปริญญาโทที่ต่างประเทศ แต่น้องสาวของเขาก็ส่งรูปว่าที่อาสะใภ้ไปให้ดูตลอด ทำให้เขาคุ้นหน้าค่าตากนิษฐาเป็นอย่างดี
กนิษฐาอายุสามสิบแล้ว แต่ทว่าหน้าตากลับดูเด็กกว่าอายุ แถมตัวก็เล็กอ้อนแอ้น ยิ่งได้มาเห็นตัวจริงก็ยิ่งเห็นว่าเธอผิวใสราวกับเด็กมัธยม จนถ้าบอกว่ายังเรียนอยู่ เขาก็คงจะเชื่อได้ไม่ยาก
ปากอิ่มๆ รูปกระจับที่กำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะการเอื้อนเอ่ย คือสิ่งที่เขาคิดว่าสะดุดตามากที่สุดบนใบหน้าของว่าที่อาสะใภ้ มันชวนให้ครุ่นคิดว่าเวลาที่ถูกประทับจูบ คนจูบจะรู้สึกดีเพียงใด
ก็คงจะรู้สึกดีอยู่มาก ไม่อย่างนั้นไอ้ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม คงไม่จ้องตาแทบไม่กะพริบขนาดนั้น
ผู้หญิงแบบนี้หรือจะมาเป็นอาสะใภ้ของเขา ไหนจะหน้าเด็กจนเชื่อไม่ลงว่าเธออายุเยอะกว่าเขา ไหนจะกิริยาท่าทางที่เธอแสดงกับผู้ชายอื่นซึ่งดูไม่เหมาะสมเอาเสียเลย แม้เธอกับอาของเขาจะไม่ได้หมั้นกันเพราะความรัก หากทว่าก็หมั้นกันแล้ว ผู้หญิงที่ดีควรจะให้เกียรติคู่หมั้นตัวเองมากกว่านี้มิใช่หรือ
“พี่ต้น ก้อยว่าเราขึ้นข้างบนกันเลยมั้ย”
“ก้อยนี่ใจร้อนตลอด”
“แหม ก็ก้อยไม่อยากเสียเวลา หรือว่าพี่ต้นไม่อยากมีเวลาส่วนตัว”
“โอเค ดีเหมือนกัน งั้นไปกันเลย”
บทสนทนาตอนท้ายของทั้งคู่ดังมากระทบโสตประสาท ทำให้พิชญะรีบขยับตาม เมื่อว่าที่อาสะใภ้กับผู้ชายของหล่อนพากันก้าวออกไปจากร้านอาหารของโรงแรม เขาก็อยากจะคิดว่าตัวเองอคติไปเอง แต่พฤติกรรมของกนิษฐามันทำให้คิดแบบนั้นไม่ลงจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่เธอกับ ‘ชู้’ ของเธอ พากันมายืนรอลิฟต์ ก่อนจะขึ้นไปด้วยกันโดยตัวเลขที่ปรากฏอยู่หน้าลิฟต์คือชั้นเจ็ด
พิชญะไม่ลังเลที่จะกดลิฟต์อีกตัวตามขึ้นไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง และแม้จะถึงทีหลังแต่เขาก็ทันเห็นว่ากนิษฐากับผู้ชายที่ชื่อต้นเข้าห้องไปด้วยกันจริงๆ
ขนาดนี้แล้ว ยังจะโลกสวยอะไรได้อีก นี่อาของเขาจะรู้ไหมว่าคู่หมั้นของตัวเองมีพฤติกรรมลับหลังที่น่ารังเกียจอย่างไรบ้าง แล้วผู้หญิงแบบนี้หรือที่พิธานเลือกไปเป็นแม่ของลูก ถึงแม้โลกปัจจุบันเรื่องเซ็กซ์จะเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องซื่อสัตย์มันก็ยังเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่ายุคไหน ผู้หญิงที่ดีก็ควรหยุดพฤติกรรมแบบนั้นหลังจากที่ตัวเองรับหมั้นผู้ชายคนใดคนหนึ่งไปแล้ว
เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงแล้ว แต่พิชญะก็ยังนั่งรออยู่แถวๆ หน้าเทอเรสของโรงแรม ราวกับเป็นคนว่างงานที่นั่งไร้สาระได้โดยที่เวลาไม่มีค่าอะไรก็ไม่ปาน ตาสีสนิมเหล็กจดจ้องมองไปยังทางออกอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวตัวเองจะคลาดกับกนิษฐา
และแล้ววินาทีที่เขารอคอยก็มาถึง เมื่อร่างเล็กในชุดเดรสสีกรมท่าลายจุดแบบเรียบๆ ก้าวมายังประตูทางออกตรงไปยังลานจอดรถ
“แต่งตัวเรียบๆ เพื่อปกปิดความยับเยินของตัวเองหรือเปล่าครับ”
เสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้กนิษฐาต้องชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถ แล้วหันกลับไปมองยังต้นเสียง เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนเพ่งสายตาตรงมายังตน หญิงสาวก็มุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“คุณพูดกับฉัน?”
“แล้วมีคนอื่นหรือเปล่าล่ะ”
“เรารู้จักกันเหรอคะ” กนิษฐาถามออกไปตรงๆ พลางมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจ หน้าตาเขาหล่อเหลา รูปร่างสูงน่าจะราวๆ หกฟุต แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง มีความละม้ายคล้ายใครบางคนที่คุ้นเคย แต่เธอมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกับผู้ชายที่ดูท่าทางไม่เป็นมิตรคนนี้มาก่อนแน่ๆ
“อาพิคงไม่รู้สินะว่าคุณทำตัวลับหลังยังไง”
“คุณเป็นอะไรกับคุณพิธาน”
“ผมเป็นอะไรไม่สำคัญ แต่สำคัญที่คู่หมั้นอย่างคุณทำตัวยังไงมากกว่า”
“ฉันทำอะไร”
“ผมถามจริงๆ เถอะนะคุณกนิษฐา คุณขาดเรื่องอย่างว่าไม่ได้เลยหรือไง ถึงได้แอบมาเอากับผู้ชายอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองก็หมั้นแล้ว”
“คุณพูดอะไร แล้วมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาฉันแบบนี้” กนิษฐาแหวกลับอย่างไม่พอใจทั้งที่ยังตั้งตัวไม่ติด เพราะไม่คิดว่าจู่ๆ ตัวเองจะโดนผู้ชายด่าทอด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบแบบนี้
“ก็สิทธิ์ของหลานชายคู่หมั้นคุณไง จำไว้นะคุณกนิษฐา ผมไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงมักง่ายอย่างคุณมาเป็นอาสะใภ้เด็ดขาด ผมจะทำทุกทางเพื่อกีดกันคุณออกจากชีวิตของอาพิ”
คำพูดเขามาดร้าย สายตาก็ฉายแววคุกคามออกมาอย่างชัดเจน ทำเอากนิษฐาทั้งงงทั้งหวาดหวั่น หากว่าเขาเป็นหลานของพิธานจริงๆ เขาก็น่าจะอายุน้อยกว่าเธอและก็ควรจะปฏิบัติกับเธออย่างให้เกียรติ ไม่ใช่มีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์เช่นนี้
“ฉันก็จะทำทุกทางเพื่อให้ได้แต่งงานกับคุณพิธาน และต่อไปในวันข้างหน้า ฉันต้องเป็นอาสะใภ้ของคุณ และมีสิทธิ์ทุกอย่างเหนือคุณ” กนิษฐาท้าทายกลับ ตาคู่สวยสบประสานกับตาคมดุของหนุ่มรุ่นน้องอย่างกล้าหาญ เพื่อกลบเกลื่อนความหวาดหวั่นของตัวเอง ซึ่งทันทีที่เธอพูดจบ ต้นแขนสองข้างก็ถูกมือใหญ่ตะครุบพร้อมกับกระชาก
“อย่าหวังเลย”
“ปล่อยฉันนะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย” กนิษฐาพยายามบิดแขนตัวเองออกและขู่เขา หากทว่าดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลเลยสักนิด
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก ผมไม่ได้อยากแตะผู้หญิงสกปรกอย่างคุณสักนิด เลิกทำตัวแบบนี้ซะ ไม่อย่างนั้นผมนี่แหละจะทำให้อาพิเห็นธาตุแท้ของคุณ”
“ธาตุแท้แบบไหนเหรอคะ แบบนี้หรือเปล่า”
“โอ๊ย! ซี้ด” พิชญะร้องด้วยความเจ็บในครั้งแรก แต่ต่อมากลับมีเสียงบางอย่างที่มันไม่ใช่ความเจ็บ และร่างสูงก็ยืนนิ่งให้กัด จนกนิษฐาเป็นฝ่ายละปากออกไป
เธอ...รักอย่างภักดีและเจียมใจ เขา...จ้องแต่จะทำลาย เลยทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้รัก สุดท้าย...สิ่งที่เธอได้รับการตอบแทน จากรักที่แสนภักดีก็คือคำว่า ง่าย ที่เขาตะโกนใส่หน้าอย่างไม่คิดแม้แต่จะสงสาร
ศาสตรา ภูวเดชาธร คือผู้ชายที่ ภัคธีมา บอกตัวเองว่าเขาช่างร้ายกาจสมกับชื่อ ผู้ชายคนนี้พร้อมจะฟาดฟันให้เธอย่อยยับแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทั้งๆ ที่เธอคือว่าที่น้องสะใภ้ หรือเขารังเกียจว่าเธอจน ไม่คู่ควรกับคนในตระกูลภูวเดชธรเจ้าของไร่ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เขาจึงกีดกันเธอกับน้องชายเขาทุกวิถีทาง แม้ภัคธีมาพยายามจะไม่ข้องแวะกับเขา หากทว่าในที่สุด โชคชะตาก็กลั่นแกล้ง ให้ต้องตกไปอยู่ในบ่วงพันธนาการของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ภัคธีมาจึงได้แต่นับวันรอ… รอวันที่กริชผู้แข็งกร้าวอย่างเขาจะปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย เพราะหัวใจที่แสนอ่อนไหวถูกบ่วงเสน่หาร้อยรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ร่างบางดำดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ร่างกายทุรนทุรายเพื่อความอยู่รอด แต่ใจเธอยอมแพ้แล้ว มันอึดอัด มันหนาวเหน็บ นี่สินะความตาย ความตายของเธอที่พี่อิสร์ต้องการ เอมทำให้แล้วนะคะ หวังว่าการกระทำของเอมในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เอมทำให้พี่อิสร์มีความสุข ขอให้ความรักความแค้นระหว่างเราจบลงแค่นี้ เอมเจ็บ เจ็บจนไม่อยากจะหายใจแล้วเช่นกัน ขอบคุณที่บอกให้เอมมาตาย มันน่าจะเป็นหนทางดับทุกข์ที่ดีที่สุดของเอมแล้ว ลาก่อนค่ะพี่อิสร์...
เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น
เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับว่าที่เจ้าบ่าวในคืนแต่งงาน ทำให้พรรษรดาต้องเข้าพิธีกับน้องชายของเจ้าบ่าวแทน แม้วิวาห์ครั้งนี้จะเป็นเพียงวิวาห์สมมติในความรู้สึกของเขาและเธอ หากทว่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ข้างในนั้นต่างหากที่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เธอจะกล้าบอกความในได้อย่างไร ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายที่เธอมีใจใฝ่ปองและอยากแต่งงานด้วยจริงๆ ก็คือเขา ในเมื่อผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าสามี เอาแต่เฉยเมยเย็นชาใส่ ซ้ำยังเอ่ยปากขอหย่าอยู่หลายครั้ง พรรษรดาจะจัดการปัญหาหัวใจครั้งนี้อย่างไรดี ในเมื่อยิ่งเขาทำให้เจ็บ หัวใจไม่รักดีก็ยิ่งรักเขามากขึ้นๆ เธอควรรั้งเขาไว้ให้เป็นสามีในนามเพื่อทรมานใจกันเล่นๆ หรือว่าปล่อยเขาไปให้สมรักกับผู้หญิงอื่นตามที่เขาร้องขอ ***ตัวอย่าง*** “ฉันรักเธอพรรษรดา ฉันรักเธอ รักเธอคนเดียว” เขาสารภาพออกมาเสียงแหบห้าว นัยน์ตาหม่นมัวไปด้วยแรงรักแรงปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ข้างใน “คุณภู...” “หัวเราะสิ หัวเราะเยาะฉัน หัวเราะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่มันเป็นทาสรักของเธออย่างโงหัวไม่ขึ้นมาตลอดหลายปี หัวเราะเยาะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่ตัดใจไม่ได้เสียที” คำสารภาพของเขาเหมือนระลอกคลื่นยักษ์ที่กระแทกโครมเข้าใส่หัวใจดวงน้อยของพรรษรดา เธอถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะแบกรับความรู้สึกอันท่วมท้นนั้นไม่ไหว “ฉันมันคงน่าสมเพชมากสินะ” ร่างใหญ่ขยับตัวเหมือนจะถอดถอนออกไป แต่พรรษตวัดขารัดรอบเอวสอบไว้แน่น ทำให้เขาดำดิ่งเข้ามาฝังลึกอยู่ในช่องสาวอีกครั้ง “อย่าบังอาจลุกจากตัวพรรษ” เธอแหวใส่เขาเสียงดังลั่น ตัวสั่นเทาเพราะความรัญจวนและความเต็มตื้นในหัวใจ “พรรษรดา...” “อย่าคิดว่าจะผลักไสพรรษง่ายๆ อีก รู้มั้ยว่าพรรษรอนานแค่ไหน รู้ไหมว่าต้องเสียน้ำตาไปกี่ครั้งเมื่อคิดว่าตัวเองรักคุณภูข้างเดียว อย่ามาบอกรักพรรษ ล้อเล่นกับหัวใจพรรษแล้วหนีไปง่ายๆ อีก พรรษไม่ยอมอีกแล้ว คราวนี้พรรษจะตามรังควานไปตลอดชีวิตเลย อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสมีความสุขกับผู้หญิงคนไหน อย่าหวังว่าจะได้บอกรักใครอีก เพราะคำว่ารักของคุณภูจะเป็นของพรรษคนเดียวตลอดไป”
ในเมื่อเธอเป็นเมียที่ได้มาจากการทรยศ ความรู้สึกเดียวที่เธอจะได้รับจากเขาก็มีแค่ ความชัง เท่านั้น อย่างหวังว่า เขาจะเลิกชัง อย่าหวังว่า เขาเหลียวแล อย่าหวังว่า จะได้แม้แต่เศษเสี้ยวความรักของเขา นภัทรบอกตัวเองเช่นนั้น อย่างหนักแน่นอยู่เสมอ แต่ความเกลียดชังโกรธแค้นของเขามันน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นเพราะนัยน์ตาเศร้าๆ ซื่อๆ ของเด็กคนนั้น ที่มันค่อยๆ เขย่าความเย็นชาในหัวใจเขา ให้กลายเป็นความรู้สึกอื่น
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
' "เจ้าชายฮิมราน บิน ฮาเซม อัล-ราชิด" องค์มกุฎราชกุมารแห่งประเทศความาร์ เดินทางมาประเทศไทยเพื่อดูตัวว่าที่เจ้าสาวที่ถูกพระมารดาบังคับให้แต่งงานด้วย เขาเต็มไปด้วยความชิงชังเมื่อเห็นหล่อนเดินเฉิดฉายอยู่ในผับยามค่ำคืน ท่าทางใสซื่อไร้เดียงสาของหล่อนที่พยายามแสดงออกมานั้นไม่ได้ทำให้เขาซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขาแทบยากจะอาเจียนออกมา เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าผู้หญิงอย่างหล่อนไม่มีทางเป็นชายาที่ดีของเขาได้อย่างแน่นอน นอกเสียจาก... นางบำเรอ!
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"