“แฟนมึง เข้าโรงแรมกับผู้ชาย”
“ชื่อโรงแรม...”
“ไอ้หมอนั่นเป็นลูกชายของนายพลคนนั้นกูจำได้”
“แฟนมึงใส่ชุดสีส้มชุดเดียวกับที่มึงเพิ่งโพสต์ลงไอจีตอนไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน เขากินข้าวกับมึงเสร็จก็ไปกินตับกับไอ้นั่นต่อ”
เสียงอื้ออึงที่ดังในหัวมันก้องเสียยิ่งกว่าเสียงอึกทึกครึกโครมในผับระดับวีไอพีที่เขากำลังนั่งกระดกวิสกี้รัวๆ ยิ่งกว่าน้ำเปล่า
คนรักสาวสวยรวยเสน่ห์ คบกันมาสามปี เจอกันที่อเมริกา เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจไทยที่ไปลงทุนที่โน่น เขาเจอเธอเพราะตอนเรียนปริญญาโทก่อนจะจบการศึกษาเทอมสุดท้ายได้มีโอกาสไปดูงานที่บริษัทของพ่อของเธอ หลังจากนั้นก็สานสัมพันธ์กันเรื่อยมา
เธออายุน้อยกว่าเขาสองปี เราเจอกันตอนเขาอายุยี่สิบเก้า และตอนนั้นเธออายุยี่สิบเจ็ด
เขาจำได้ว่าตัวเองไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยตั้งแต่สมัยเรียนจนกระทั่งทำงาน ก่อนจะไปเรียนต่อปริญญาโทตอนอายุย่างยี่สิบแปด
ทุกอย่างระหว่างเขาและเธอสวยงาม เราเข้ากันได้ดีในทุกๆ ไลฟ์สไตล์ของชีวิต ติดแค่เรื่องนั้น...การเข้าไปในกอไผ่ หรือเซ็กซ์ ที่ยังไม่เคยล่วงเกินกันและกัน ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้สนใจ เพราะรักใครก็อยากถนอมเอาไว้จนกว่าจะถึงวันสำคัญอยู่แล้ว เธอเองก็รักษาเนื้อรักษาตัวอย่างดี ขนาดจะจับมือแต่ละทีเขายังต้องรอจนแทบจะแก่ตาย
แล้วนี่มันอะไรกัน! เพื่อนสนิทของเขาโทรมาเล่าว่า เห็นเธอเข้าโรงแรมกับผู้ชาย เขาควรจะค้านหัวชนฝา ถ้ามันไม่ส่งคลิปวิดีโอไร้เสียงมาให้ดูเป็นหลักฐาน แม้จะเห็นแค่ข้างหลัง แต่รูปร่าง ทรงผม ตลอดจนชุดที่เธอสวมใส่ ดูยังไงก็บอกได้ว่านั่นคือคนรักของเขา
มือที่จับแก้วเครื่องดื่มเกร็งจนแทบจะบีบให้แก้วแตกคามือ ในใจก็เฝ้าแต่ถามตัวเองว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ผู้หญิงแสนดีที่เขารัก เธอจะทำแบบนั้นกับเขาได้จริงๆ หรือ
ความคิดสับสนต่อสู้กันภายในหัว ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เขาก็ขอฟังจากปากของเธอ ต่อให้เธอโกหกว่ามันไม่จริงมันไม่ใช่ เขาก็พร้อมจะเชื่อและกลับมาเป็นเหมือนเดิม แล้วก็จะลืมเรื่องบัดซบที่ได้รู้และได้ยินในวันนี้ไปซะ
ชายหนุ่มกดโทรออก ในใจเต้นตึกๆ ด้วยความลุ้นระทึก พร้อมกับเฝ้าเรียบเรียงคำพูดในหัวว่าจะเริ่มต้นประโยคแรกอย่างไร เขาเองก็ไม่ใช่คนกลบเกลื่อนอะไรเก่งนัก แต่ก็จะพยายามไม่เอาอารมณ์มาเป็นที่ตั้ง
แต่เสียงรอสายที่นานเกินกว่าปกติ ทำให้มือข้างที่ว่างอยู่กำแน่นจนเป็นกำปั้น เขาโทรซ้ำไปซ้ำมาประมาณสิบกว่าสาย จนสุดท้ายก็ท้อใจ โทรศัพท์แทบจะหล่นออกจากมือเมื่อสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถติดต่อได้ เพราะเหมือนปลายสายจำใจตัดสาย และคงปิดเสียงในลำดับต่อมา
ดวงตาคมเข้มที่เคยเป็นสีนิลละลายใจสาวตอนนี้แดงก่ำจนแทบจะเป็นสีเลือด อันเนื่องมาจากการกลักกลั้นอารมณ์เคร่งเครียดที่ท่วมท้นอยู่ในอก
เขาพยักหน้าให้บริกรที่คุ้นหน้ากันดีให้มาเคลียร์ค่าใช้จ่าย ก่อนจะเดินอย่างกับคนไร้วิญญาณออกไปที่รถ และขับกลับบ้านไปพร้อมกับหัวใจที่แตกสลาย
หมดแล้ว ความเชื่อใจและอนาคตที่เคยวาดหวังร่วมกัน คงมีเหลือแค่ตะกอนความรักที่ยังขุ่นข้นอยู่ในใจเขา และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันถึงจะสลายหายไป...
“ริวลูก”
เสียงอ่อนโยนที่เรียกอยู่ด้านหลังทำให้ชายหนุ่มร่างสูงชะงักเท้า ก่อนจะหันกลับไปตอบรับการเรียกขานพร้อมรอยยิ้มจืดชืด
“ครับแม่”
“จะออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอลูก” มีความกังวลในน้ำเสียงของคนถาม
“ครับ” และก็มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในน้ำเสียงของคนตอบเช่นกัน
“ช่วงนี้ริวออกไปเที่ยวกลางคืนทุกวันเลย ขับรถดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายนะลูก แม่เป็นห่วง”
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างอ่อนล้า ในใจก็ได้แต่ขอโทษมารดาที่เขาทำตัวเหลวไหลไม่ได้เรื่องในช่วงนี้
หนึ่งเดือนมาแล้ว ที่ชีวิตของเขาไม่มีอะไรนอกจากทำงาน กินเหล้า เที่ยวเตร่ เฮฮา เว้นก็แต่เรื่องขึ้นเตียงกับผู้หญิงที่เขาไม่เอาโดยเด็ดขาด ในใจรู้สึกเบื่อหน่ายและขยาดที่จะใช้เซ็กซ์บำบัด เอาเป็นว่าช่วงนี้เขาประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีราคีมาพักใหญ่ๆ แล้ว
“ทำใจเถอะนะลูก คนเราถ้าไม่ใช่คู่กันแล้ว ยังไงก็คงฝืนโชคชะตาไม่ได้ ริวก็ใช่จะขี้เหร่ ลูกสาวของเพื่อนๆ แม่จ้องริวตาเป็นมัน ลองเปิดใจดูสิลูก ดีกว่าทำร้ายตัวเองแบบนี้”