หากไม่ใช่เพราะพินัยกรรมฉบับนั้นเธอคงไม่ได้เป็นเจ้าสาวของเขาในวันนี้หรอก “ก็แค่สามปี” กัญญ์ณรัณพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุด “ฉันคงไม่ปล่อยให้รตีต้องรอฉันจนถึงสามปีหรอก” “แต่ในพินัยกรรมบอกว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากันสามปีนะคะ” “เธอก็เป็นเมียฉันไปตามพินัยกรรมบ้าบออะไรนั่นไปสิ ส่วนฉันก็จะเป็นผัวในแบบของฉัน และจำไว้ว่ารตีคือคนที่ฉันรัก และจะเป็นเมียฉันคนเดียวเท่านั้น”
“วันนี้เหนื่อยมากันทั้งวันแล้ว ... พักผ่อนเถอะ”
หญิงสูงวัยบอกคู่บ่าวสาวหลังจากอวยพรเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก้มลงกราบผู้สูงวัยที่มีศักดิ์เป็นย่าแท้ ๆ ของฝ่ายเจ้าบ่าว และเป็นผู้-อุปการะฝ่ายเจ้าสาวด้วย
“คุณย่าคะ”
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องอยู่กับผู้ชายคนนี้ตามลำพังก็อดหวั่นใจไม่ได้
“ไม่ต้องกลัว ใครทำอะไรมาบอกย่าได้เลยเดี๋ยวย่าจัดการให้เอง”
แค่เห็นสายตาของเด็กที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กก็พอจะรู้ว่า เจ้า-หล่อนกำลังเป็นกังวล พูดไปสายตาก็พลางมองไปยังฝ่ายเจ้าบ่าวที่เวลานี้นั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเช่นนั้น มืออีกข้างก็ลูบศีรษะเจ้าสาวตัวเล็กเอาไว้อย่างเอ็นดูด้วย
พิธีแต่งงานในวันนี้ทุกคนรู้ดีว่า เกิดขึ้นตามความต้องการของผู้เป็นปู่ที่ระบุไว้ในพินัยกรรม หลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปเมื่อหก¬เดือนก่อน
ข้อความในพินัยกรรมไม่มีอะไรมาก เพราะจริง ๆ แล้วทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูล ‘วีรเศษฐ์’ ควรจะต้องเป็นของ ‘ธีภพ วีรเศษฐ์’ ซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวอยู่แล้ว
ทว่าด้วยความที่ชายหนุ่มยังคงเป็นหนุ่มรักสนุก ทำตัวเพลย์-บอยใช้เงินจัดการทุกอย่าง ไม่สนใจธุรกิจที่มีอย่างที่ควรจะเป็น ผู้เป็นปู่จึงต้องทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมา
ทรัพย์สินทั้งหมดของข้าพเจ้า ‘นายอดิเทพ วีรเศษฐ์’ อันประกอบด้วยเงินสดในธนาคารทั้งหมดให้นางอนงค์นาถ วีรเศษฐ์ ผู้-เป็นภรรยาของข้าพเจ้า เป็นผู้จัดการแบ่งให้ นายธีภพ วีรเศษฐ์ นางสาวกัญญ์ณรัณ กิจธนะกุล และนางภนิดา วีรเศษฐ์ ตามเห็นสมควร
ส่วนสินทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ และหุ้นในบริษัทฯ ที่ข้าพเจ้าได้ถือทั้งหมด จะยกให้นายธีภพ วีรเศษฐ์ หรือนางสาวกัญญ์ณรัณ กิจธนะกุล คนหนึ่งคนใดตามเงื่อนไขดังนี้
นายธีภพ วีรเศษฐ์ และนางสาวกัญญ์ณรัณ กิจธนะกุลจะต้องแต่งงาน จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และจะต้องใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างน้อยสามปี
โดยในระยะเวลาสามปีนี้ทั้งคู่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินเท่าเทียมกัน หากมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องยิมยอมด้วยกันทั้งคู่ อีกทั้งยังต้องให้นางอนงค์นาถ วีรเศษฐ์เห็นชอบและยินยอมด้วย
และภายในสามปีนี้หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอหย่าก่อน ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติในทันที และหากทั้งคู่ไม่ยอมแต่งงานกันสินทรัพย์ทุกอย่างของข้าพเจ้าที่มีให้ยกเป็นสาธารณะกุศลทั้งหมด
ข้าพเจ้านายอดิเทพ วีรเศษฐ์ ขอยืนยันว่าในขณะที่เขียนพินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วน มิได้มีการโดนบังคับแต่อย่างไร
‘นายอดิเทพ วีรเศษฐ์’
เสร็จสิ้นการอ่านพินัยกรรมคนที่เป็นเดือนเป็นร้อนไม่แพ้ธี¬ภพ เห็นจะไม่พ้นคุณภนิดาผู้เป็นมารดาแท้ ๆ ของชายหนุ่ม
“นี่มันหมายความว่ายังไงคะคุณแม่”
คุณภนิดารีบประท้วงผู้เป็นประมุขของบ้านขึ้นทันทีที่สิ้นเสียงทนายวัยกลางคน
“ในพินัยกรรมว่ายังไงก็คงต้องเป็นไปตามนั้น”
“แต่ตาธี มีหนูรตีอยู่แล้วนะคะ และก็วางแผนจะแต่งงานกันอีกไม่นาน ถ้าทำตามพินัยกรรมแล้วทางหนูรตีละคะคุณแม่”
“เรื่องนั้นก็ต้องเป็นหน้าที่ของตาธี”
หญิงสูงวัยบอกน้ำเสียงเรียบ ทว่าแฝงได้ด้วยความเด็ดขาด
“ย่าหวังว่าตาธีคงไม่มีปัญหาอะไรนะ”
คุณอนงค์นาถหันมาถามหลานชายตัวดีบ้าง ถึงแม้ว่าสีหน้าจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ ทว่าก็รู้ดีว่าไม่มีทางปฏิเสธความต้องการของผู้เป็นปู่กับย่าได้แน่นอน เขาจึงได้แต่ต้องยอมจำนนไป
หลังจากการเปิดพินัยกรรมในวันนั้น กัญญ์ณรัณก็แทบจะอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ไม่เป็นสุขอีกเลย
กัญญ์ณรัณเป็นเด็กที่ท่านเจ้าสัวอดิเทพกับนางอนงค์นาถรับมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเธออายุเกือบสิบปีแล้ว ซึ่งห่างจากธีภพประมาณห้าปีกว่าเห็นจะได้ และแน่นอนว่าคนที่แอบสร้างความเกลียดชังให้กับเขาไม่พ้นคุณภนิดาผู้เป็นมารดาเขาเอง
ร่างเล็กนั่งนิ่งอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ส่วนอีกฝ่ายนั่งดื่มไวน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กอยู่อีกมุมของห้องสายตาคมกริบจ้องเขม็งมาที่ร่างเล็กในชุดเจ้าสาวที่นั่งหันหลังให้อยู่ในเวลานี้
“คุณย่าไปแล้ว พี่ธีพักเถอะค่ะ เดี๋ยวรัณกลับไปนอนห้องรัณเองค่ะ”
หญิงสาวตัดสินใจบอก เพื่อเป็นการตัดปัญหาและไม่ให้ทั้งตัวเองและเขาต้องทนอยู่กับบรรยากาศอึมครึมแบบนี้
“ที่พูดออกมาใช้สมองคิดแล้วใช่ไหม”
ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ ทว่ามันแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของอีกฝ่ายชัดเจน
“พี่ธีก็ไม่ได้อยากให้รัณอยู่ในห้องนี้อยู่แล้วนี่คะ”
“ใช่ เพราะจริง ๆ คนที่จะต้องอยู่กับฉันคืนนี้คือรตี ไม่ใช่เธอ”
ชื่อบุคคลที่สามที่เขาเอ่ยถึง ทำเอาร่างเล็กร้อนชาวูบขึ้นมา เพราะผู้หญิงคนนั้นคือคนที่เจ้าบ่าวของเธอรัก และหมายจะแต่งงานด้วยไม่ใช่เธอ
หากไม่ใช่เพราะพินัยกรรมฉบับนั้นเธอคงไม่ได้เป็นเจ้าสาวของเขาในวันนี้หรอก
“ก็แค่สามปี”
กัญญ์ณรัณพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุด
“ฉันคงไม่ปล่อยให้รตีต้องรอฉันจนถึงสามปีหรอก”
“แต่ในพินัยกรรมบอกว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากันสามปีนะคะ”
“เธอก็เป็นเมียฉันไปตามพินัยกรรมบ้าบออะไรนั่นไปสิ ส่วนฉันก็จะเป็นผัวในแบบของฉัน และจำไว้ว่ารตีคือคนที่ฉันรัก และจะเป็นเมียฉันคนเดียวเท่านั้น”
ธีภพวางแก้วไวน์ลง แล้วลุกขึ้นเดินมายังเตียงใหญ่ เพียงชั่ว-พริบตาร่างใหญ่ก็มาหยุดตรงหน้าหญิงสาว มือหนาจับใบหน้าสวยที่เวลานี้เครื่องหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดีเวลานี้ยังไม่ลบเลือนหรือจางลงให้เงยขึ้นมองเขา
ปกติแล้วหญิงสาวเป็นคนสวยอยู่แล้วยิ่งเติมแต่งยิ่งดูสวย น่า-มองขึ้นอีกหลายเท่าตัว วันนี้ตลอดทั้งวันเขาได้ยินคนชมเธอไม่ขาดปาก ทว่าเขาเพิ่งได้เห็นชัด ๆ ก็เวลานี้
จู่ ๆ แววตาแข็งกร้าวเมื่อครู่ก็สั่นไหวขึ้นมา ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
“ถ้าเธอคิดว่าทนฉันไม่ได้ก็ขอหย่าไปซะ”
“ทำไมพี่ธีไม่ปฏิเสธละคะ”
“ปฏิเสธเพื่อให้เธอได้ทุกอย่างของฉันไปอย่างนั้นน่ะเหรอ”
ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงเย้ยหยัน
“มันก็แค่กระดาษแผ่นเดียว”
“พูดง่าย แล้วทำไมเธอไม่ปฏิเสธ เธอยอมรับเงื่อนไขบ้าบออะไรนั่นทำไม”
กัญญ์ณรัณได้แต่มองหน้าเขานิ่ง
ทำไมเธอจะไม่อยากปฏิเสธ หลังจากเปิดพินัยกรรมหญิงสาวได้ปฏิเสธเงื่อนไขกับนางอนงค์นาถไปแล้ว
“พรีม ๆ หยุดก่อน” เขาร้องเรียกหญิงสาวเอาไว้ เสียงดังฟังชัดทำเอาเด็กน้อยถึงกับหันมามองคนเรียก “คุณลุง” น้องพอวาเห็นหน้าก็จำได้ว่า เขาคือคนที่ได้เจอที่หน้าห้องน้ำเมื่อตอนมาถึงที่ร้าน พริมาภาตกใจไม่น้อยที่ได้ยินบุตรสาวร้องทักเขาขึ้น จริงอยู่ว่าหญิงสาวต้องการให้เขารับรู้ว่าเด็กที่เธอจับมือเอาไว้อยู่นี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา หากแต่ไม่ใช่ตอนนี้ “น้องพอวา” “คุณลุงจำชื่อน้องพอวาได้ด้วย” เด็กน้อยบอกเสียงแจ๋วด้วยดีใจที่มีคนจำชื่อตัวเองได้ “จำได้สิคะ” “น้องพอวา หนูรู้จักคุณ ... เอ่อ คุณลุงด้วยเหรอคะ” “คุณลุงช่วยน้องพอวากดสบู่ให้ตอนน้องพอวาล้างมือค่ะ” เด็กน้อยบอกเสียงใสเลยทีเดียว “พรีม เด็กคนนี้ ...” “น้องพอวาเป็นลูกสาวพรีมค่ะ” เธอไม่รีรอที่จะบอกออกไปเช่นนั้น เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดไม่ให้เขารู้ว่าเธอมีลูกแล้ว คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าหล่อคมเข้มถึงกับร้อนวูบขึ้นมา พร้อม ๆ กับหลากหลายความรู้สึกที่วิ่งแทรกเข้ามา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกอะไรกันแน่
“พี่ภีมโกรธวาเรื่องอะไรคะ” “หยุด! ต่อไปนี้เธอไม่ต้องเรียกฉันว่า ‘พี่’ ฉันมียายพลอยเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น” น้ำเสียงดุกร้าวไม่แพ้แววตา “นี่มันอะไรกันคะวางงไปหมดแล้ว พี่ภีมช่วยอธิบายให้วาเข้าใจหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวร้องขอความกระจ่างจากเขา ยังคงสะอื้นไห้อยู่เช่นเดิม “อธิบายเหรอ... ยังจะต้องให้ฉันอธิบายอะไรอีก หรือต้องการให้ฉันประจานต่อหน้าป้าอิ่มและนวลว่าเธอมันเลวชาติ... หน้าด้าน หน้าทน ขนาดไหน” “คุณภีม! / พี่ภีม!” วาทิตา นางอิ่ม อุทนทานเรียกชื่อเขาพร้อมๆ กันเลยทีเดียว ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากเขาได้ “อยากรู้ว่าตัวเองเลวยังไง ฉันว่าไอ้นี่คงจะอธิบายได้อย่างชัดเจนถึงความเลวของเธอนะวาทิตา” ภาคิน ปาก้อนกระดาษที่เขาขยำไว้ในมืออย่างโกรธแค้นจนกลายเป็นก้อนกลมๆ ใส่หน้าหญิงสาวอย่างแม่นยำ ทว่าหากเวลานี้ในมือเขาสามารถประจุไฟขึ้นมาได้กระดาษแผ่นนั้นคงไม่เป็นก้อนอยู่อย่างที่เห็น มันคงกลายเป็นเถ้ากระดาษไปนานแล้ว วาทิตารีบคลี่ก้อนกระดาษที่เขาปาใส่หน้าเธออย่างเต็มแรงจนแก้มขาวนวลข้างซ้ายขึ้นรอยแดงอย่างเห็นได้ชัดทันที นัยน์ตากลมโตค่อยๆ ไล่อ่านทุกตัวอักษรยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งถอดสี ศีรษะส่ายไปมาเล็กน้อย เหมือนต้องการส่งสัญญาณให้บุคคลที่กำลังจ้องมองอยู่ตรงหน้านั้นได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงตามข้อความในกระดาษนี้ สายตาชายหนุ่มที่กำลังจ้องมองประดุจเสือร้ายกำลังจ้องกวางน้อยและรอเวลาตะคลุบเหยื่อมาเป็นอาหารอันโอชะอยู่อย่างไม่ละสายตา ทำให้เขาเห็นทุกอากัปกิริยาของเธอ เขากระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งอย่างเหยียดๆ “ไม่จริง! นะคะพี่ภีม ไม่จริง”
นิยายรัก แบบฉบับครอบครัว นางเอกแยกทางกับพระเอกโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองท้อง แล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง ตอนลูกสาวโตอายุได้ปรมาณ 4 ขวบ
“นี่คุณ ปล่อยฉันนะไม่อย่างนั้นฉันจะตะโกนเรียกคุณป๋า ท่านจะได้รู้ว่าคุณมันไว้ใจไม่ได้” น้ำเสียงเธอตกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็โดนอีกฝ่ายจู่โจมถึงตัวเอาแบบนี้ “คุณไม่รู้หรอกหรือว่าคุณป๋าคุณเปิดทางให้ผมแค่ไหน” เขากระซิบข้างหูคนตัวเล็กอย่างจงใจ “ปล่อยฉันนะ คุณอย่ามารุ่มร่ามกับฉันแบบนี้นะ” “รุ่มร่ามที่ไหนกันก็แค่กอดเมีย” คนกวนพยายามจะหอมแก้มขาวนวล ทว่าอีกฝ่ายหลบได้ทันเสียก่อน “นี่คุณ” ไม่ได้ห้ามอย่างเดียว ทว่ากำปั่นเล็กทุบเข้าที่หน้าอกเขาเต็มแรง แต่ดูเหมือนคนทุบจะเจ็บมือเองเสียเปล่า ๆ เพราะมันไม่ได้สะทกสะท้านหรือระคายเคืองอะไรกับแผงอกหนาเอาเสียเลย “ถ้ายอมให้หอมก็จะปล่อย” “มันจะมากไปแล้วนะ” เสียงที่ดังลอดไรฟันค่อนข้างเอาเรื่อง “แค่หอมมากไปทีไหนกัน ... โอ๊ย! นี่คุณชาติก่อนเป็นหมาหรือไง” ศิวัฒน์ยังไม่ทันได้กวนโทสะอีกฝ่ายจนสุด ก็ต้องร้องเสียงหลงออกมาเมื่อคนในวงแขนแข็งแรงหันไปกัดเอาที่ต้นแขนนั้นจมเขี้ยว ทำเอาคนที่กำลังคิดว่าตัวมีชัยอยู่ถึงกับต้องปล่อยแขนออกจากเอวบางทันที
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย