นิยายรัก แบบฉบับครอบครัว นางเอกแยกทางกับพระเอกโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองท้อง แล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง ตอนลูกสาวโตอายุได้ปรมาณ 4 ขวบ
แชะ แชะ
เสียงกดชัตเตอร์ดังติดต่อกันต่อเนื่องโดยตากล้องมืออาชีพ สองเด็กน้อยคนหน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งขนาด ความสูง รูปร่าง น้ำเสียง หรือแม้กระทั่งรอยยิ้ม หากแต่เวลานี้เด็กทั้งคู่จะต่างกันก็ตรงสีชุดที่สวมใส่อยู่ในตอนนี้ ผมที่ถูกรวบตึงไว้เผยให้เห็นผิวแก้มสีชมพูระเรื่อ จมูกเล็กโด่งจนเห็นสันจมูก บ่งบอกว่าโตขึ้นทั้งสองคนจมูกโด่งสวยแน่นอน ริมฝีปากเรียวบางได้รูปแต้มด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อน ดวงตาสีนิลกลมโตจนแทบจะไม่เห็นนัยน์ตาสีขาวประกายไปด้วยแววตาแห่งความสุข
ฝาแฝดทั้งสองคนกำลังโพสท่าตามที่ผู้ใหญ่ออกแบบให้ รวมทั้งท่าทางที่ทั้งสองคนแสดงออกมาเองอย่างไร้เดียงสา ให้ตากล้องทำหน้าที่กดชัตเตอร์จนหนำใจ รอยยิ้ม แววตา ความสดใสไร้เดียงสาของเด็กทั้งสองสร้างความน่ารักน่าเอ็นดู สร้างสีสันและเรียกรอยยิ้มให้แก่ทีมงานได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“กรี๊ด! กรี๊ด!”
เสียงร้องดีใจดังออกจากปากเล็กจิ้มลิ้มของทั้งคู่พร้อมๆ กัน หนูน้อยพากันวิ่งแข่งกันไปยังจุดหมายเดียวกัน คือร่างสูงโปร่งของหญิงสาวในชุดกางเกงพอดีตัวสีขาวกับเสื้อยืดผ้าเนื้อดีสีฟ้าอ่อน ที่กำลังยืนยิ้มมองไปยังร่างเล็กของทั้งสองคนอยู่
“คุณแม่ขา... วันนี้คุณแม่มารับพี่ทอฝันกับน้องพาฝันด้วย ดีใจที่สุดเลย” เสียงใสของทั้งคู่ดังขึ้นแข่งกันจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์
“ไม่ต้องวิ่งค่ะ เดี๋ยวหกล้มค่ะ”
หญิงสาวที่เด็กทั้งสองเรียกว่าแม่เมื่อครู่รีบย่อตัวลงนั่ง อ้าแขนรอรับร่างเล็กที่กำลังวิ่งแข่งกันมา
ณรันดา หญิงสาวหน้าหวานนัยน์ตาสวย แม่แท้ๆ ของทั้งคู่ โดยปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยได้มาดูลูกสาวทั้งสองทำงานเท่าไหร่นัก เพราะติดต้องทำหน้าที่ดูแลทั้งครูและเด็กนักเรียนระดับอนุบาลทั้งหมดของโรงเรียน
หญิงสาวอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทำให้เธอไม่สามารถที่จะติดสอยห้อยตามลูกสาวได้มากนัก เธอจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่เพื่อนรักคอยเป็นธุระจัดการเกี่ยวกับงานของเจ้าตัวน้อยทุกอย่าง
แต่ทั้งนี้งานแต่ละงานยังคงต้องผ่านสายตาเธอด้วย เพื่อช่วยเพื่อนรักจัดสรรเวลาให้เด็กน้อยทั้งคู่ด้วยเช่นกัน
“ว่าไงจ๊ะ ไหนบอกว่าวันนี้ติดประชุม มาไม่ได้ไงล่ะ”
ปานชนก ซึ่งเดินตามเด็กทั้งสองมาทีหลังด้วย
“พอดีคุณหญิงท่านเลื่อนประชุมจ้ะ ก็เลยแอบมาดูเจ้าตัวแสบสักหน่อย”
พูดจบเธอก็หอมแก้มยุ้ยของเด็กทั้งคู่คนละที
เจ้าตัวแสบทั้งสองก็ไม่ยอมแพ้หอมแก้มคุณแม่ยังสาวคนละข้างพร้อมกันทันทีเช่นกัน
คุณหญิงที่ณรันดาพูดถึงก็คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลที่เธอทำงานอยู่นั่นแหละ หรืออีกนัยก็คือมารดาของมาร์ค หนุ่มลูกครึ่งซึ่งเป็นผู้เปิดโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้
“แล้วนี่จอดรถไว้ตรงไหนล่ะ”
ปานชนกถามขึ้นอีกเมื่อมองดูรอบๆ แล้วไม่เห็นรถของเพื่อนรัก
“เรามาแท็กซี่จ้ะ...”
“อืม งั้นเดี๋ยวเราไปส่ง”
ณรันดาพยักหน้ารับคำเพื่อน ก่อนหันไปให้ความสนใจเด็กน้อยสองคนอีกครั้ง
“วันนี้ลูกสาวแม่ดื้อกับน้าป่าน และพี่ๆ ทีมงานหรือเปล่าคะ”
“ไม่เลยค่ะ พี่ทอฝันไม่ได้ดื้อเลย”
เสียงเด็กเจ้าของชื่อทอฝัน หรือเด็กหญิงรวีรินดา ซึ่งเป็นแฝดผู้พี่ ตอบขึ้นก่อน
“น้องพาฝันก็ไม่ดื้อเหมือนกันค่ะ”
แล้วเสียงใสของน้องพาฝัน หรือเด็กหญิงรวีรันตรา แฝดคนน้องก็รีบตอบมาบ้าง
“เก่งมากเลยค่ะ... ถ้าอย่างนั้นต้องให้รางวัลสักหน่อย วันนี้คุณแม่จะพาไปกินไอติมดีไหมคะ”
คุณแม่ยังสาวเสนอของรางวัลพร้อมหอมแก้มยุ้ยอีกครั้ง
“ดีค่ะ... พี่ทอฝันจะกินสองถ้วยเลย”
“น้องพาฝันกินสองถ้วยด้วยนะคะ”
สองพี่น้องรีบแข่งกันบอกพร้อมชูนิ้วขึ้นเป็นการบอกจำนวน คุณแม่ยังสาวกับเพื่อนรักได้แต่ยิ้มให้กับกิริยาไร้เดียงสาของทั้งคู่
“แล้วนี่ถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยังจ๊ะป่าน”
ณรันดาเงยหน้าขึ้นถามเพื่อนรัก
“น่าจะเรียบร้อยแล้ว... เพราะเขาขอเวลาไว้แค่สองชั่วโมง อีกอย่างวันนี้เจ้าตัวแสบเก่งมาก ดูอารมณ์ดีเหมือนรู้ว่าแม่จะมารับอย่างนั้นแหละ เลยทำให้งานผ่านฉลุย แทบจะไม่ต้องถ่ายแก้เลย”
ปานชนกยืนกอดอกตอบเพื่อนรักก่อนโน้มตัวลงไปหยิกแก้มยุ้ยของเจ้าตัวแสบทั้งคู่อย่างมันเขี้ยว
“อืม... งั้นเดี๋ยววันนี้เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้วนะ”
พูดจบเธอก็จูงมือเด็กน้อยทั้งคู่ตรงไปยังทีมงานพร้อมกับปานชนกเพื่อถามถึงความเรียบร้อยของงานก่อนที่จะพากันขึ้นรถไป
ห้องทำงานหรูชั้นสูงสุดของคอนโดฯ หรูแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง เวลานี้เจ้าของห้องกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับเอกสารกองโต อีกทั้งแบบโครงการบ้านและโครงการคอนโดฯ ที่เจ้าตัวกำลังมีแพลนสร้างขึ้นใหม่ภายในปีนี้
รวิชญ์ นักธุรกิจหนุ่มชื่อดังผู้เป็นเจ้าของโครงการบ้านจัดสรร คอนโดฯ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่ยังไม่เกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ ชานเมือง หรือตามจังหวัดใหญ่ ฉะนั้นในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นับว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่จัดว่าหนุ่ม หล่อ ฉลาด เฉียบขาด เป็นที่รู้จักของคนในวงการนี้ และที่สำคัญเขายังจัดว่าเป็นนักธุรกิจเนื้อหอม ที่มีสาวๆ ต่างพากันเสนอตัวให้เขามากมายเลยทีเดียว
“คุณน้องครับ ตกลงว่าหาเด็กที่จะมาถ่ายโฆษณาให้ผมได้บ้างหรือยังครับ”
รวิชญ์ปิดแฟ้มเอกสารที่เพิ่งเซ็นเอกสารฉบับสุดท้ายเสร็จ ก่อนกดเครื่องติดต่อภายในตรงหาเลขาฯ หน้าห้องทันที
“ทางโมเดลลิงส่งมาให้บ้างแล้วค่ะ คุณรวิชญ์จะดูเลยหรือเปล่าคะ”
“อืม... เอามาให้ผมดูหน่อย”
พูดจบก็กดปิดเครื่องติดต่อภายในทันที พร้อมกับคว้านิตยสารเกี่ยวกับแฟชั่นเสื้อผ้าเด็กขึ้นมาเปิดดูระหว่างรอเลขาฯ หน้าห้องเข้ามาพบ
“มีเด็กคนไหนน่าสนใจบ้างครับคุณน้อง”
รวิชญ์ถามขึ้นทันทีที่ร่างของเลขาฯ หน้าห้องเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสาร และนิตยสารอีก สอง-สาม เล่ม
“ก็มีหลายคนค่ะคุณรวิชญ์... น้องว่าคุณรวิชญ์ลองดูก่อนดีกว่าค่ะ”
น้อง หรือกนกวรรณ ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาฯ หน้าห้องให้แก่รวิชญ์มาหลายปี รีบจัดแจงส่งเอกสารพร้อมรูปถ่ายที่ได้รับมาจากโมเดลลิงให้อย่างกระตือรือร้น
“อืม... นั่งก่อนสิ จะได้ช่วยผมดูด้วย ผมอยากจะรีบสรุปให้มันจบๆ จะได้เตรียมงานอื่นต่อ”
“เด็กสมัยนี้เก่งๆ กันทั้งนั้นเลยนะ คุณน้องว่าไหม”
รวิชญ์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นภาพ และรอยยิ้มที่เด็กน้อยแต่ละคนโพสท่ากัน ดูแล้วความสามารถไม่แตกต่างจากผู้ใหญ่เลย ผิดกันตรงที่เด็กๆ มีความน่ารัก รอยยิ้มที่ปรากฏก็มาจากความไร้เดียงสา ไม่ใช่การเสแสร้งเหมือนผู้ใหญ่
“จริงค่ะ เด็กสมัยนี้เก่ง... แต่บางคนก็เกินเด็กไปเหมือนกันนะคะ”
เลขาฯ หน้าหวานออกความคิดเห็น มือยังคงเปิดดูรูปเด็กๆ ผ่านไปเรื่อยๆ รวิชญ์ได้แต่พยักหน้าให้
“พรีม ๆ หยุดก่อน” เขาร้องเรียกหญิงสาวเอาไว้ เสียงดังฟังชัดทำเอาเด็กน้อยถึงกับหันมามองคนเรียก “คุณลุง” น้องพอวาเห็นหน้าก็จำได้ว่า เขาคือคนที่ได้เจอที่หน้าห้องน้ำเมื่อตอนมาถึงที่ร้าน พริมาภาตกใจไม่น้อยที่ได้ยินบุตรสาวร้องทักเขาขึ้น จริงอยู่ว่าหญิงสาวต้องการให้เขารับรู้ว่าเด็กที่เธอจับมือเอาไว้อยู่นี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา หากแต่ไม่ใช่ตอนนี้ “น้องพอวา” “คุณลุงจำชื่อน้องพอวาได้ด้วย” เด็กน้อยบอกเสียงแจ๋วด้วยดีใจที่มีคนจำชื่อตัวเองได้ “จำได้สิคะ” “น้องพอวา หนูรู้จักคุณ ... เอ่อ คุณลุงด้วยเหรอคะ” “คุณลุงช่วยน้องพอวากดสบู่ให้ตอนน้องพอวาล้างมือค่ะ” เด็กน้อยบอกเสียงใสเลยทีเดียว “พรีม เด็กคนนี้ ...” “น้องพอวาเป็นลูกสาวพรีมค่ะ” เธอไม่รีรอที่จะบอกออกไปเช่นนั้น เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดไม่ให้เขารู้ว่าเธอมีลูกแล้ว คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าหล่อคมเข้มถึงกับร้อนวูบขึ้นมา พร้อม ๆ กับหลากหลายความรู้สึกที่วิ่งแทรกเข้ามา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกอะไรกันแน่
“พี่ภีมโกรธวาเรื่องอะไรคะ” “หยุด! ต่อไปนี้เธอไม่ต้องเรียกฉันว่า ‘พี่’ ฉันมียายพลอยเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น” น้ำเสียงดุกร้าวไม่แพ้แววตา “นี่มันอะไรกันคะวางงไปหมดแล้ว พี่ภีมช่วยอธิบายให้วาเข้าใจหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวร้องขอความกระจ่างจากเขา ยังคงสะอื้นไห้อยู่เช่นเดิม “อธิบายเหรอ... ยังจะต้องให้ฉันอธิบายอะไรอีก หรือต้องการให้ฉันประจานต่อหน้าป้าอิ่มและนวลว่าเธอมันเลวชาติ... หน้าด้าน หน้าทน ขนาดไหน” “คุณภีม! / พี่ภีม!” วาทิตา นางอิ่ม อุทนทานเรียกชื่อเขาพร้อมๆ กันเลยทีเดียว ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากเขาได้ “อยากรู้ว่าตัวเองเลวยังไง ฉันว่าไอ้นี่คงจะอธิบายได้อย่างชัดเจนถึงความเลวของเธอนะวาทิตา” ภาคิน ปาก้อนกระดาษที่เขาขยำไว้ในมืออย่างโกรธแค้นจนกลายเป็นก้อนกลมๆ ใส่หน้าหญิงสาวอย่างแม่นยำ ทว่าหากเวลานี้ในมือเขาสามารถประจุไฟขึ้นมาได้กระดาษแผ่นนั้นคงไม่เป็นก้อนอยู่อย่างที่เห็น มันคงกลายเป็นเถ้ากระดาษไปนานแล้ว วาทิตารีบคลี่ก้อนกระดาษที่เขาปาใส่หน้าเธออย่างเต็มแรงจนแก้มขาวนวลข้างซ้ายขึ้นรอยแดงอย่างเห็นได้ชัดทันที นัยน์ตากลมโตค่อยๆ ไล่อ่านทุกตัวอักษรยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งถอดสี ศีรษะส่ายไปมาเล็กน้อย เหมือนต้องการส่งสัญญาณให้บุคคลที่กำลังจ้องมองอยู่ตรงหน้านั้นได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงตามข้อความในกระดาษนี้ สายตาชายหนุ่มที่กำลังจ้องมองประดุจเสือร้ายกำลังจ้องกวางน้อยและรอเวลาตะคลุบเหยื่อมาเป็นอาหารอันโอชะอยู่อย่างไม่ละสายตา ทำให้เขาเห็นทุกอากัปกิริยาของเธอ เขากระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งอย่างเหยียดๆ “ไม่จริง! นะคะพี่ภีม ไม่จริง”
หากไม่ใช่เพราะพินัยกรรมฉบับนั้นเธอคงไม่ได้เป็นเจ้าสาวของเขาในวันนี้หรอก “ก็แค่สามปี” กัญญ์ณรัณพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุด “ฉันคงไม่ปล่อยให้รตีต้องรอฉันจนถึงสามปีหรอก” “แต่ในพินัยกรรมบอกว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากันสามปีนะคะ” “เธอก็เป็นเมียฉันไปตามพินัยกรรมบ้าบออะไรนั่นไปสิ ส่วนฉันก็จะเป็นผัวในแบบของฉัน และจำไว้ว่ารตีคือคนที่ฉันรัก และจะเป็นเมียฉันคนเดียวเท่านั้น”
“นี่คุณ ปล่อยฉันนะไม่อย่างนั้นฉันจะตะโกนเรียกคุณป๋า ท่านจะได้รู้ว่าคุณมันไว้ใจไม่ได้” น้ำเสียงเธอตกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็โดนอีกฝ่ายจู่โจมถึงตัวเอาแบบนี้ “คุณไม่รู้หรอกหรือว่าคุณป๋าคุณเปิดทางให้ผมแค่ไหน” เขากระซิบข้างหูคนตัวเล็กอย่างจงใจ “ปล่อยฉันนะ คุณอย่ามารุ่มร่ามกับฉันแบบนี้นะ” “รุ่มร่ามที่ไหนกันก็แค่กอดเมีย” คนกวนพยายามจะหอมแก้มขาวนวล ทว่าอีกฝ่ายหลบได้ทันเสียก่อน “นี่คุณ” ไม่ได้ห้ามอย่างเดียว ทว่ากำปั่นเล็กทุบเข้าที่หน้าอกเขาเต็มแรง แต่ดูเหมือนคนทุบจะเจ็บมือเองเสียเปล่า ๆ เพราะมันไม่ได้สะทกสะท้านหรือระคายเคืองอะไรกับแผงอกหนาเอาเสียเลย “ถ้ายอมให้หอมก็จะปล่อย” “มันจะมากไปแล้วนะ” เสียงที่ดังลอดไรฟันค่อนข้างเอาเรื่อง “แค่หอมมากไปทีไหนกัน ... โอ๊ย! นี่คุณชาติก่อนเป็นหมาหรือไง” ศิวัฒน์ยังไม่ทันได้กวนโทสะอีกฝ่ายจนสุด ก็ต้องร้องเสียงหลงออกมาเมื่อคนในวงแขนแข็งแรงหันไปกัดเอาที่ต้นแขนนั้นจมเขี้ยว ทำเอาคนที่กำลังคิดว่าตัวมีชัยอยู่ถึงกับต้องปล่อยแขนออกจากเอวบางทันที
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
ในช่วงสามปีที่หลูเฉียนหนิงอยู่ข้างๆ เขา โจวเป่ยจิ้งคิดอยู่เสมอว่าเธอเป็นเพียงผู้ช่วยพิเศษ เธอต้องการเงินเพื่อรักษาอาการป่วยของแม่ และจะไม่มีวันจากตนเองไป ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้เงินแลกกับความต้องการอย่างชัดเจน ในที่สุด เมื่อเขาเกือบจะหลงใหลนั้น หลูเฉียนหนิงก็ไม่อดทนอีกต่อไป "มีคนรักในใจแล้ว ยังนอนกับฉันทุกวัน คุณชั่วชัดๆ" เมื่อข้อตกลงการหย่าถูกโยนต่อหน้าต่อตา โจวเป่ยจิ้งก็ตระหนักว่าภรรยาลึกลับที่เขาแต่งงานเมื่อหกปีที่แล้วกลับคือเธอ? จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ขึ้นชื่อเป็นชายเจ้าชู้อละตามจีบภรรยาทั้งยังเอาเปรียบเธอ! เขาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนด้วยทัศนคติที่เผด็จการและเอาใจเธออย่างเต็มที่ เมื่อทุกคนรังเกียจที่เธอมีภูมิหลังที่ต่ำต้อย เขาก็มอบทรัพย์สินและหุ้นของตระกูลทั้งหมดอย่างตรงๆ และเข้าไปอยู่บ้านของตระกูลหลู จู่ๆ เธอก็กลายเป็นประธานหลู ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินนับไม่ถ้วน และทุกคนอิจฉา แต่โจวเป่ยจิ้งกลับตกลงไปในวังวนที่ใหญ่กว่านั้น...
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"