ตอนมีชีวิตอยู่ก็ยากจนแสนเข็ญ เมื่อตกตายไป ยังต้องเข้ามาอยู่ในร่างของคุณหนูตกอับที่อาภัพรัก ถูกคู่หมายทิ้งร้าง จนนางเฝ้าถามฟ้าดินว่าเหตุใดไม่ปล่อยให้นางตายไปเสีย ตายแล้วตายเลยมิได้หรืออย่างไรกัน!!! เรื่องย่อ ผู้จัดการร้านเหล้าชื่อดัง กลับต้องกลายมาเป็นคุณหนูตกอับแห่งสกุลเหอ เหอหลี่น่า ทั้งที่ตายตกไปแล้ว เหตุใดยังฟื้นตื่นขึ้นมาอีกเล่า วิบากกรรมอันใดที่เคยก่อ จึงต้องมาใช้ชีวิตลำบากลำบนเช่นนี้ ครอบครัวถูกโกง ผู้คนมินับหน้าถือตา คู่หมายที่ให้คำมั่นกันไว้ก็แต่งสตรีอื่นเข้ามาแทนที่ คอยดูเถิด ข้าจะเป็นเศรษฐีนีของแคว้นให้ดู เหอหลี่น่า VS จ้าวหวังหย่ง “ทาบทาม หมายถึงแต่งงานน่ะหรือ” “ใช่” “ไม่ต้องๆ ข้ามิได้คิดมาก แต่ท่านต้องรีบไปซื้อยาห้ามครรภ์มาให้ข้า” “เหตุใดต้องดื่ม ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่าง” “ข้าจะดื่ม แล้วข้าก็จะไม่แต่งด้วย!”
“นั่นใครน่ะ” แผ่นหลังของสตรีร่างอวบอ้วน สวมชุดยาวเฟื้อย เป็นสิ่งเดียวที่ลีน่าเห็นอยู่ตอนนี้ ทั่วบริเวณที่เธอมองไป มีเพียงหมอกสีขาวปกคลุมจนหนาตา
“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร”
“ฮึก! ฮื้อ ฝากด้วยนะเจ้าคะ ฝากท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย และเอินเอินของข้าด้วย” ใบหน้าน่ารักหันกลับมามองลีน่าทั้งน้ำตา
“ฝากอะไรกัน พ่อแม่ใครพ่อแม่มันสิ แล้วนั่นเธอจะไปไหน เดี๋ยวสิ เดี๋ยวๆ” ไม่ทันที่ลีน่าจะวิ่งเข้าถึงตัว หญิงสาวก็จางหายไปกับหมอกขาว และสติของลีน่าก็เลือนหายไปด้วยเช่นกัน
ฮึก! อึก! อึก! อัก
ตากลมลืมขึ้น สติเริ่มฟื้นคืนมาอีกครา แต่สิ่งที่ลีน่ารับรู้ คืออาการของคนที่ขาดอากาศหายใจ แรงดึงรัดที่ลำคอ ทำให้เธอไม่สามารถสูดหายใจเข้าไปได้
“ชะ ช่วย อึก!”
ร่างอวบอ้วนค้างเติ่งอยู่กับผ้าขาวที่ถูกผูกเป็นบ่วง ปลายเท้าห้อยอยู่เหนือพื้น ข้างกันนั้นมีเก้าอี้ไม้ล้มอยู่
ลีน่าไม่รู้เลยว่า เธอตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร รู้เพียงว่าตอนนี้จะต้องหาทางรอดให้ได้เสียก่อน มือทั้งสองถูกยกขึ้นมาจับบ่วงผ้าเอาไว้ ใช้แรงที่มีดึงตัวขึ้น แต่ด้วยแรงที่เหลืออยู่น้อยนิด จึงไม่สามารถดึงตนเองขึ้นได้นานนัก
เฮือก! ฮ้า~ กระนั้นลีน่าก็ยังสูดหายใจเข้ามาเต็มปอด เท้าทั้งสองพยายามเตะไปทั่ว เผื่อว่าจะโชคดี…
เพล้ง!และแล้วสิ่งที่เธอทำก็เป็นผล แจกันที่วางอยู่ไม่ไกล ตกลงมาแตก จะเพราะสิ่งใดที่ทำให้แจกันหล่นลงมา เธอไม่ได้สนใจสักนิด ขอเพียงมีคนได้ยินเท่านั้นก็พอ
“คุณหนู เกิดอันใดขึ้นเจ้า- กรี๊ดดดดดดด ช่วยด้วย! ช่วยคุณหนูด้วย” หญิงสาวร่างเล็กเดินเข้ามาเห็นสภาพของผู้เป็นนาย ก็กรีดร้องเรียกให้คนมาช่วย หญิงผู้นั้นรีบเข้าไปยกตัวลีน่าขึ้น พอให้เธอโล่งใจว่าอย่างน้อยก็มีคนมาช่วย โดยมิได้สนใจสรรพนามที่สตรีผู้นี้ใช้เรียกเธอเลย
“เสียงดังอันใดกะ- หลี่เอ๋อร์! หลี่เอ๋อร์ ท่านพ่อ ท่านแม่มาช่วยข้าที”
“หลี่เอ๋อร์! ลูกพ่อ” ลีน่ารู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาทันที เมื่อมีชายหนุ่มเข้ามายกตัวเธอให้สูงขึ้น ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะปีนโต๊ะขึ้นไปปลดปมผ้า ทำให้ร่างอวบร่วงลงมากองกับพื้น พร้อมกับชายหนุ่ม
เสียงร้องไห้คร่ำครวญและแรงกอดรัด เป็นสิ่งสุดท้ายที่ลีน่าสัมผัสได้
อะไรล่ะเนี่ย ฝันหรอ หรืออะไรกันแน่
“อะ โอ้ย!” มืออวบยกขึ้นจับบริเวณลำคอขาว ที่บัดนี้ขึ้นสีแดงช้ำจนน่ากลัว ลีน่าจำได้ว่าตนเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ แต่ก็มีคนมาช่วยเธอไว้ได้ทัน
‘อ่า~ ดูเหมือนจะรอดแล้วสินะ’
“หลี่เอ๋อร์ฟื้นแล้วขอรับท่านพ่อ ท่านแม่” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น ดึงสติให้ลีน่าหันมองไปทางต้นเสียง ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเธอตอนนี้ เป็นภาพที่มีชายสองคน และหญิงอีกสองคน กำลังยืนมองเธอ ด้วยสีหน้าและแววตาเศร้าโศก
“หลี่เอ๋อร์ เหตุใดจึงทำเช่นนี้ลูก แม่ปวดใจยิ่งนัก ฮื้อออ” หญิงวัยกลางคนร้องห่มร้องไห้ ปานจะขาดใจ…
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน คนพวกนี้เป็นใคร งงไปหมดแล้วนะ’ ลีน่าได้แต่มองคนนั้นที คนนี้ที
“พอเถิดน้องหญิง อย่าได้คาดคั้นลูกนักเลย” ชายหญิงคู่นี้ ดูเหมือนจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ทำไมถึงเรียกเธอว่าลูกกันล่ะ
“นั่นสิขอรับ ท่านแม่อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย”
“ขอโทษ แคกๆ นะคะ พวกคุณเป็นใครคะเนี่ย” ลีน่าสะบัดหน้า ไล่ความมึนงง จะคิดว่าเธอกำลังฝันอยู่ มันก็เหมือนจริงเกินไป
ลีน่าแน่ใจว่าตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่ จนอายุย่างเข้าสามสิบปี เธอไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าผู้คนเหล่านี้มาก่อน ไหนจะเรื่องการแต่งตัว ที่เหมือนพวกนักแสดงซีรีส์จีนย้อนยุคนี่อีก
“ละ หลี่เอ๋อร์ นี่พี่อย่างไรเล่า พี่เหิงของเจ้า”
“เหิงไหนอีกล่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้ชื่อหลี่เอ๋อร์ด้วย ฉันชื่อลีน่า ลอ อี ลี นอ อา นา ไม้เอก น่า…ลีน่า” มืออวบชี้ไปที่ปากของตัวเอง ก่อนจะขยับปากสะกดคำให้คนตรงหน้าฟัง
ทั้งคำพูดและท่าทีที่หญิงสาวแสดงออก ทำให้ครอบครัวสกุลเหอหวั่นใจ โดยเฉพาะเหอเข่อซิงผู้เป็นบิดา
จากกิริยาและท่าทางของบุตรสาว นอกจากจะแปลกประหลาดไปจากเดิม นางยังทำราวกับมิรู้จักพวกเขาอีก หากเป็นเช่นนี้ การเร่งเข้าหา อาจจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
“เอ่อ อาเหิงอย่าพึ่งไปเร่งรัดน้องเลย นางอาจจะยังสับสนมึนงง หากได้พักผ่อนสักหน่อยคงจะดีขึ้น เอินเอินฝากเจ้าดูแลนางที” ชายที่ดูจะมีอายุมากที่สุดเดินออกไปจากห้อง ตามไปด้วยชายหนุ่มที่ชื่อพี่เหิง และหญิงวัยกลางคน
“ดะ เดี๋ยวสิ อย่าพึ่งไป พาฉันกลับบ้านก่อน” ลีน่าลุกขึ้นจากเตียง หมายจะวิ่งตามทั้งสามออกไป แต่กลับเสียหลักล้มไปกับพื้น
ตุบ!!!
“ทำไมหนักแบบนี้เนี่ย”
“ระวังเจ้าค่ะ คุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ”
“ก็จะไปหาพวกเขานะสิ-” ลีน่าชะงักนิ่ง เมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่ ภาพที่สะท้อนอยู่ตอนนี้ เป็นหญิงสาวร่างอวบอั๋น ใบหน้าน่ารัก พวงแก้มขาว กลมใหญ่ราวกับซาลาเปาก้อนโต
สองมือยกขึ้นโบกไปมา เงาในกระจกก็ทำตาม ลีน่าจงใจเปลี่ยนเป็นชูมือสองนิ้ว เงานั้นก็ทำตาม!!!
“ย้ากกกกกกก อะไรวะเนี่ย” ทำไมหน้าเธอเปลี่ยนไป รูปร่างก็ด้วย
“คุณหนูเจ็บที่ใดเจ้าคะ ฮึก คุณหนูของบ่าว”
“ฉันชื่ออะไร”
“ฮึก หมายถึงนามของคุณหนูหรือเจ้าคะ คุณหนูเหอหลี่น่าเจ้าค่ะ” หญิงสาวตัวจ้อยตอบทั้งน้ำตา แม้ว่าคำพูดที่คุณหนูของนางเอ่ย จะแปลกไปบ้าง แต่นางก็พอจะคาดเดาได้ว่าคุณหนูถามถึงเรื่องใด
“เหอหลี่น่า” เมื่อได้คำตอบ ลีน่าก็ถอยมานั่งบนเตียงอย่างหมดแรง ในหัวพยายามนึกถึงเหตุผลและที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดนี้
ลีน่า สาวใหญ่วัยสามสิบปี เธอเป็นลูกครึ่งไทย-จีน มีครอบครัวแสนอบอุ่นจนกระทั่งอายุได้ห้าขวบ พ่อชาวจีนของเธอ ก็ทิ้งเธอและแม่ไปกับหญิงอื่น ลีน่าเลยต้องอยู่กับยายและแม่นับจากนั้นมา
หลี่น่า เป็นชื่อที่พ่อใช้เรียกเธอ แต่นับจากที่พ่อจากไป ก็ไม่มีใครเคยเรียกเธอแบบนั้นอีก
หลังจากทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยจนจบปริญญา เธอก็ได้งานเป็นผู้จัดการอยู่ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง จนมีเงินทองมากพอ จะส่งให้แม่และยายใช้ ทว่าหลังจากที่ลีน่าทำงานได้ไม่กี่ปี ยายกับแม่ของเธอก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากนั้นเธอก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด มีเพียงเพื่อนที่ทำงานเท่านั้นที่พอจะไปมาหาสู่กันได้
ลีน่าจำได้ว่า เธอไปทำงานตามปกติเหมือนทุกวัน อยู่ตรวจสอบความเรียบร้อยจนร้านปิดอย่างที่เคยทำ
“พวกแกมาเก็บขวดเหล้าตรงนี้ไปด้วย”
“ได้ครับ” แน่นอนว่าการทำงานในสถานที่ ที่มีแต่คนมึนเมาย่อมต้องมีเรื่องให้ปวดหัวบ้าง แต่เธอก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง จนกลายเป็นเจ้ใหญ่ที่น้องๆ ต่างเคารพ
อ่า~ ที่จริง เพราะเธอทำงานที่นี่มานานแล้ว
“เจ้ลี ผมเอาขวดไปทิ้งก่อนนะ” ไอ้โจพนักงานในร้านตะโกนบอก พร้อมกับยกถุงขยะเดินออกไปทางหลังร้าน
“ฉันชื่อลีน่าจ้า ลี-น่า เรียกซะเป็นป้าแถวบ้านเลยนะ” ลีน่าตะโกนด่าไปโดยมิได้คิดอะไร มือทั้งสองก็วุ่นวายอยู่กับการช่วยพนักงานในร้านเก็บกวาด ด้วยตำแหน่งของเธอ จะไม่ทำก็ไม่มีใครว่า แต่เธอก็อยากช่วย เพราะยังไม่อยากกลับคอนโด
“เอ้า! อีกถุงก็ไม่เอาไป ไอ้โจนะไอ้โจ” แม้จะบ่น แต่เธอก็เลือกจะหยิบถุงไปทิ้งเอง เมื่อเดินออกไปตรงที่ทิ้งขยะ ก็พบว่าไอ้โจกำลังถูกกลุ่มวัยรุ่นสี่ห้าคน รุมทำร้ายอยู่
“พวกมึงทำอะไร คิดจะหมาหมู่หรอวะ” กับพวกถ่อย ไม่จำเป็นต้องพูดดีด้วย
“อีแก่ มึงไม่เกี่ยว อย่าหาเรื่องใส่ตัว” ลีน่าถึงกับหน้ามืดครึ้ม
“อีแก่งั้นหรอ กูพึ่งจะสามสิบโว้ย!!!”
ตอนนั้นเธอจำได้เพียงว่า ตัวเองเข้าไปถีบไอ้คนปากหมานั่น จากนั้นเหตุการณ์ก็ชุลมุน มีพนักงานที่ร้านออกมาช่วยพวกเธอ ตัวเธอเองก็ต่อยตีกับพวกวัยรุ่นไปหลายหมัด
แต่แล้ว…ปัง!!!
เสียงปืนดังลั่น พร้อมกับอาการเจ็บจี๊ดที่กลางอก หลังจากนั้นเมื่อเธอได้สติขึ้นมา ก็พบหญิงสาวร่างอวบ แล้วก็โผล่มาที่นี่
นี่หมายความว่า…
“ฉันโดยยิงตาย แล้วมาติดอยู่ในร่างนี้หรอ บ้าปะ! ใครมันเล่นบ้าอะไรเนี่ย”
“คุณหนู…?”
“ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันตาย ฮื่อออ ทำไม~ ตายแล้วตายเลยไม่ได้หรอวะ โมโหโว้ย!!!” ลีน่าในร่างของคุณหนูเหอหลี่น่าดีดดิ้น งอแง อยู่บนเตียงนอน จนบ่าวรับใช้มิรู้จะปฏิบัติตนอย่างไร
“คุณหนูเจ้าคะ”
“ฮื่อออ เกิดมาก็ลำบาก ตายแล้วยังไม่ตายจริงอีก ชีวิตฉัน!” ทั้งเบะปากร้องไห้ ทั้งทุบอกตนเองอย่างช้ำใจ
“คุณหนูอย่าทุบตีตนเองเลยเจ้าค่ะ ฮึก” ลีน่าคร่ำครวญจนพอใจ ก็นอนนิ่ง หอบหายใจหนัก เพราะอาการเหนื่อย ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ชินกับร่างกายที่อ้วนท้วมสมบูรณ์เช่นนี้ ชีวิตก่อนผอมแห้งแรงน้อย จนจะปลิวไปกับลม
“เธอ- ไม่สิๆ ต้องใช้เจ้ากับข้าเหมือนในซีรีส์สินะ”
“…?”
“เจ้าบอกอีกทีสิ ว่าฉัน- ข้าชื่ออะไร”
“นามว่า เหอหลี่น่า เจ้าค่ะ” ลีน่าพยักหน้าเข้าใจ แม้ในใจจะไม่ยินยอม แต่ก็คงต้องยอมรับว่าจากนี้จะต้องใช้ชื่อ เหอหลี่น่า
“แล้วธะ- เจ้าล่ะ” บ้าเอ้ย! พูดยากจริง ไอ้ตอนฟังซีรีส์ก็ไม่เห็นจะยากขนาดนี้
“บ่าวนามว่า เอินเอิน เจ้าค่ะ คุณหนูจำมิได้หรือเจ้าคะ ฮึก”
“…แล้วสามคนที่เข้ามาเมื่อกี้ล่ะ”
“เอ่อ คุณหนูหมายถึงสามคนเมื่อครู่หรือเจ้าคะ เป็นท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ชายของคุณหนูเจ้าค่ะ”
“ครอบครัวสินะ”
“เกิดอันใดขึ้นกับคุณหนูเจ้าคะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” ดวงตาแดงก่ำของเอินเอิน ทำให้หลี่น่านึกหนักใจ ว่าจะบอกเรื่องคุณหนูเหอหลี่น่าคนเดิมกับหญิงสาวตรงหน้าดีหรือไม่
“ข้า…ความจำเสื่อมน่ะ เหมือนในละครไง แบบว่าจำอะไรไม่ได้เลย” ไม่บอกแล้วกัน บอกไปก็มีแต่จะทำให้ทุกคนคิดว่านางเป็นบ้า
“จะ เจ้าคะ? ความจำเสื่อมคืออันใดเจ้าคะ”
“เห้อ เข้าใจยากจริง เอาเป็นว่าตอนที่ข้าร่วงลงมาบนพื้น หัวข้าไปกระแทกกับพื้นดังเปาะ!ทีนี้ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย ความจำมันหายไปหมดเลย” พูดไปก็ทำท่าทางประกอบไปด้วย ให้อีกฝ่ายเข้าใจมากขึ้น
“คะ ความจำหดหายหรือเจ้าคะ” เด็กสาวยกมือปิดปาก นัยน์ตาฉายแววเวทนาผู้เป็นนายเหลือทน
“อืม ฉะ- ข้าความจำหดหาย ทีนี้ต้องพึ่งเจ้าแล้ว เล่าเรื่องราวของข้าให้ฟังทีเถิด”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูเป็น-” ยังไม่ทันที่เอินเอินจะเอ่ยเล่าสิ่งใด เสียงเอะอะโวยวายด้านออกก็ดังขึ้น
เคร้ง! ตุบ! ปัง!!!
“เอินเอิน รีบพาหลี่เอ๋อร์กับท่านแม่ไปหลบเร็วเข้า” จู่ๆ พี่เหิงของหลี่น่า ก็พามารดาเข้ามาในห้องด้วยท่าทีร้อนรน
“เจ้าค่ะ!” ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลี่น่าถูกดึงเข้าไปหลบในห้องลับ ทั้งที่นางยังคงสับสนมึนงงอยู่
หลบอะไรอีกละเนี่ย แล้วเสียงข้าวของแตกนั่นคือสิ่งใด!!?
บิดามารดาสิ้นใจไปอย่างกะทันหัน ครอบครัวที่เหลือก็กดขี่ราวมิใช่ลูกใช่หลาน ชุนลี่มี่จึงต้องพาน้องชายออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยพรที่สวรรค์มอบให้ ......................................................................................................................................................................... หลังจากบิดาตายจาก สองพี่น้องก็ใช้ชีวิตในสกุลชุนอย่างยากลำบาก แต่ทั้งสองก็ยังอดทนเรื่อยมา ทว่าเรื่องครานี้มันหนักหนาเกินทน ชุนลี่มี่ "ข้าขอตัดขาดกับพวกท่าน ต่อจากนี้พวกท่านมิต้องเลี้ยงดูข้า ข้ามิต้องแทนคุณท่าน อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกันอีก" . . "ท่านยาย ในนิมิตหลานเห็นเขากำลังควบขี่..." "ขี่ม้าหรือ" "มิใช่เจ้าค่ะ" "แล้วขี่สิ่งใดเล่า หรือจะเป็นกระบือ วัว ลา- " "เป็นข้าเจ้าค่ะ”
ในเมื่อเป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากสนม แล้วต้องถูกกดขี่เช่นนี้ ข้าจะทำทุกอย่างให้ไปอยู่จุดที่สูงกว่า มีอำนาจมากกว่า แม้แต่เสด็จพ่อก็ต้องไว้หน้าข้าส่วนหนึ่ง เรื่องย่อ : จวิ้นซิงเยียน องค์หญิงอันดับสี่ของราชวงศ์จวิ้น ที่ประสูติจากสนมขั้นกุ้ยเฟย แม้จะมีอำนาจเหนือผู้อื่น แต่ก็มิมากไปกว่าเหล่าพี่น้องที่ประสูติจากฮองเฮาหรือสนมขั้นหวงกุ้ยเฟย นางและน้องสาวจึงถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ และนั่นเป็นบ่อเกิดของความเคียดแค้นและทะเยอทะยาน "หากมิอยากถูกกดขี่ ก็กระทำตนให้สูง" นั่นเป็นคำสอนที่จวิ้นซิงเยียน ยึดถือมาโดยตลอด และนางจะทำให้ แม้แต่องค์กษัตริย์ของแผ่นดินคิดจะทำสิ่งใดก็ต้องไว้หน้านางอยู่บ้าง จวิ้นซิงเยียน x ชายเสเพลผู้หนึ่ง “อย่ากระทำตน เช่นคนอดอยากปากแห้งหน่อยเลย ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าหอนางโลมบ่อยยิ่งกว่าเข้าห้องสุขาเสียอีก” “ถ้าเป็นถ่ายหนักก็ใช่อยู่ แต่หากถ่ายเบา ข้าเข้าห้องสุขาบ่อยกว่าเข้าหอนางโลมนะ”
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
รูรักอันบริสุทธิ์เมื่อถูกปลายลิ้นร้อนของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกดูเหมือนว่าจะตอบสนองได้เป็นอย่างดี ร่องของนางขมิบรัว สะโพกของนางยกขึ้นยังเด้งเข้าไปหาปากร้อน ฝ่าบาทเก่งกาจยังสามารถแยงลิ้นเข้าไปในรู อันซูเซี่ยถูกทาขี้ผึ้งหอมรอบปากทาง ขี้ผึ้งนี้นอกจากจะมีรสชาติดีส่งเสริมรสน้ำรักของนางแล้วยังมีคุณสมบัติอันวิเศษ แม้จะเป็นหญิงพรหมจรรย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด และเผลอทำร้ายฝ่าบาทจนบาดเจ็บ อี้หลงดูดแบะขาของนางให้กว้างขึ้นแล้วรวบขึ้นไปให้ขาชี้ฟ้า จากนั้นมุดใบหน้าลงมาอย่างหลงใหล “หอมอร่อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนดื่มสุราไม่เมามาย อ้า ข้าชอบยิ่ง หอยของฮองเฮาช่างใหญ่โต ดูโคกเนื้อโยนีแทบจะล้นริมฝีปากของข้า สีแดงเช่นนี้คงไม่เคยผ่านสิ่งใดมาก่อน บริสุทธิ์ยิ่งนัก ซี้ด” นางดิ้นเร่าอยู่ในปาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรนอกจากเชื่อฟังในคำของฝ่าบาท “อืม อร่อยยิ่งนัก อ้า ข้าไม่ไหวแล้วขอดูหน้าฮองเฮาของข้าหน่อยเถิด” ดูเหมือนว่าร่องรักของนางยังขมิบ นางไม่อยากให้เขาเงยหน้าขึ้นจากตรงนั้นด้วยซ้ำ อยากถูกปลายลิ้นเลียเช่นนั้นจนกว่านางจะได้รับการปลดปล่อย “อ้า ฝ่าบาทเพคะ อย่าหยุดเพคะ อื้อ” นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ มี 2 เล่มจบ เป็นนิยายแบบพล็อตอ่อน เน้นฉากรักบนเตียงของตัวละครเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไม่เหมาะสำหรับสายคลีนใส ๆ นะคะ หากใครไม่ชอบอ่าน NC เยอะ ๆ กรุณาเลื่อนผ่าน เพราะเรื่องนี้เน้น NC เป็นหลักค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"