/0/14685/coverbig.jpg?v=abdf66e185cb3eb31eeb3c2a784e90f0)
นลินถูกบังคับให้ขายตัวโดยที่พ่อกับแม่ของนลินวางยาสลบนลินแล้วส่งเธอขึ้นเตียงโดยที่เธอไม่ยินยอมเพื่อแลกกับเงินมูลค่าห้าล้านบาท เพราะพี่สาวป่วยหนักเป็นโรคหัวใจขั้นร้ายแรงและเป็นธาลัสซีเมียเลยต้องใช้เงินรักษาด่วน
นลินถูกบังคับให้ขายตัวโดยที่พ่อกับแม่ของนลินวางยาสลบนลินแล้วส่งเธอขึ้นเตียงโดยที่เธอไม่ยินยอมเพื่อแลกกับเงินมูลค่าห้าล้านบาท เพราะพี่สาวป่วยหนักเป็นโรคหัวใจขั้นร้ายแรงและเป็นธาลัสซีเมียเลยต้องใช้เงินรักษาด่วน
ความรู้สึกที่ราวกับถูกฉีกกระชากทำให้หญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างของชายหนุ่มร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อเธอถูกชายหนุ่มพรากความบริสุทธิ์ของตนเองไปด้วยความดิบเถื่อน
“ เจ็บมั้ย”
ในความมืดกึ่งสว่างชายหนุ่มร่างกายกำยำถามเธอออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่เธอกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นในคำถาม
“ เจ็บ ฉันเจ็บมาก”
ร่างกายไม่เคยผ่านมือชายใดถูกเขาย่ำยีเสียจนแหลกสลาย ถูกเขาเด็ดดอมด้วยความหยาบคาย ไม่มีความทะนุถนอมใดๆทั้งสิ้น
“ ในเมื่อรู้ว่าเจ็บแต่ทำไมถึงยังมาขายให้ฉัน ยัยโง่ ฉันรังเกียจผู้หญิงอย่างเธอที่สุด”
เมื่อถูกฤทธิ์ยาควบคุมก้องภพกลับไม่ได้สนใจใยดีเธอเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นบ่อนรองรับให้เขาเองก็แล้วทำไมเขาจะต้องสงสารเธอด้วยละ?
“ ฉันมีทางเลือกได้หรือไง”
หยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาที่ใสบริสุทธิ์ ใบหน้าที่งดงามบริสุทธิ์เหมือนดอกกุหลาบที่ถูกเขาย่ำยีศักดิ์ศรีทำให้ชายหนุ่มรู้สึกบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความยั่วยวนที่เป็นธรรมชาติทำให้เขารู้สึกถูกใจเล็กน้อย
“ ทุกคนมีทางเลือกของตัวเองเสมอ แต่เธอกลับยอมรับชะตากรรมไม่แม้แต่จะลุกขึ้นสู้ คนอย่างเธอไม่คู่ควรที่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น”
“ นั่นสิ มีใครบ้างที่อยากจะช่วยคนที่ขึ้นชื่อว่าตัวซวยอย่างฉัน”
“ พูดมาก เธอคิดว่าคำพูดพวกนี้จะทำให้ฉันรู้สึกสงสารหรือไง เพราะฉันรู้สึกสมเพชเธอมากกว่า”
กลิ่นหอมฟุ้งที่ออกมาจากร่างกายของเธอมากขึ้นอีกสี่ส่วนจนทำให้ชายหนุ่มแปลกใจและเหมือนถูกกระตุ้น แต่กลิ่นหอมนี้กลับทำให้เขารู้สึกอยากดอมดมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ชายหนุ่มมองสายฝนที่ด้านนอกในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่ากลิ่นตัวของเธอเหมือนกลิ่นของสายฝน ที่ให้ความสดชื่นของไอเย็นและความสงบสะอาดจากการชำระล้างทำให้ร่างกายของเธอบริสุทธิ์มากขึ้น
นลินหญิงสาวอาภัพที่อยู่ใต้ร่างของชายหนุ่มร้องไห้ทั้งน้ำตาเมื่อนึกถึงเรื่องราวของตัวเองที่ทำให้เธอมาถึงจุดนี้ได้
บ้านมณีเปรม
น้ำเสียงผู้หญิงล่วงเลยวัยกลางคนพูดขึ้น“ บ้านก็จะถูกยึด ค่ารักษาพยาบาลก็ไม่มี ฉันแทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว”
บรรยากาศในบ้านบนโต๊ะอาหารขนาดกลางเต็มไปด้วยความอึดอัด เมื่อพูดถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาลูกสาวคนโตที่มากถึงห้าล้านบาท
ทุกคนที่อยู่รอบโต๊ะอาหารทรงกลมไม่เล็กไม่ใหญ่ต่างมองดูหญิงสาววัยเยาว์แฝดน้องคนเล็กที่ชื่อนลิน ด้วยสายตาเบื่อหน่ายและรำคาญใจ
นลินเธอมีใบหน้าสวยและน่ารัก แต่ทว่าดวงตาคมดุหางตาเฉี่ยวขึ้นทำให้ดวงตาของเธอดูเจ้าเล่ห์งดงามอย่างไม่มีที่ติ
นลินเข้าใจได้ในทันทีว่าทุกคนในบ้านต้องการอะไรจากเธอ เพราะทุกครั้งก็เป็นแบบนี้มาตลอด
หลังจากที่บริษัทของคุณพ่อล้มละลายเพราะติดการพนันจนทำให้คุณพ่อเส้นเลือดในสมองแตก ถึงแม้ว่าจะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ไม่สามารถทำงานได้อีก
การล้มละลายครั้งนี้ทำให้ตระกูลมณีเปรมกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงเมอล่าประเทศซีโมน
ส่วนริสาคุณแม่ของเธอหลังจากแต่งงานก็ไม่ได้ทำงานและดูแลภายในบ้านแทน แล้วตอนนี้แม่ของเธอก็ติดการพนันไม่ต่างจากประสิทธิ์คุณพ่อของเธอ
นลินมองมือตัวเองที่ทั้งหยาบกร้านและมีแผลที่เกิดจากการทำงาน ในใจก็อยากจะร้องไห้ เมื่อนึกถึงความเหนื่อยล้าแทบขาดใจกว่าจะผ่านมาได้ในแต่ละวัน
“ หนูจะพยายามรับงานให้มากขึ้นค่ะ พี่สาวไม่ต้องกลัวนะคะ หนูจะไม่ยอมปล่อยให้พี่สาวเป็นอะไรอย่างแน่นอน หนูสัญญาค่ะ”
“ พี่เชื่อ นลินจะต้องทำได้อย่างแน่นอน”
ใบหน้าที่ซีดเซียวของนรายิ้มให้กับคำพูดของน้องสาว เพื่อให้กำลังใจเช่นเคย
ริสาถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดเมื่อได้ยินคำพูดของนลิน ลูกสาวคนเล็กที่ไม่ได้เรื่องของเธอ
“ แกจะสัญญาอะไรนักหนา ใช่ว่าแกจะทำได้ทุกครั้ง ปากก็อ้างจะทำงานให้มากขึ้นแล้วแกจะหาเงินได้มากขึ้นได้ซักเท่าไหร่กัน กว่าแกจะหาเงินได้ครบห้าล้านพวกเราต้องรอแกอีกกี่สิบปี จนถึงตอนนั้นแกก็คงไม่มีวันได้เห็นหน้าพี่สาวของแกแล้ว นังลูกโง่!เกิดมาเสียข้าวสุกจริงๆ”
นลินหน้าหงายเมื่อถูกแม่ของเธอชี้นิ้วแล้วผลักหน้าผากแรงๆจนเธอเกือบจะตกเก้าอี้
ยังดีที่เธอมีปฏิกิริยาว่องไว ถึงได้จับโต๊ะอาหารไว้ได้ทัน ปากเล็กเป่าลมออกมาเบาๆด้วยความใจหาย ‘ โล่งอกไปที’
นลินเผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนออกมาด้วยความยากลำบาก ในใจก็รู้สึกน้อยใจมากที่แม่ของเธอรักพี่สาวมากกว่า..
“ แต่หนูก็พยายามแล้วนะคะ ทุกวันนี้หนูก็ทำงานจนตัวเป็นเกรียวจนไม่มีเวลาว่างเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ แถมยังต้องมาทำโปรเจกต์เรียนจบให้พี่สาวอีกด้วย”
“เหอะ! แกยังกล้าที่จะพูดถึงเวลาส่วนตัวอีกอย่างงั้นเหรอ ทำไมแกถึงไม่ไปตายแทนพี่แกเลยล่ะ ถ้าแกจะมีความคิดเห็นแก่ตัวแบบนี้ แกไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลยจริงๆ”
ริสากรอกตาแล้วพูดออกมาอย่างไม่แยแสกับลูกสาวตัวดีของเธอ เธอน่าจะฆ่าลูกไม่รักดีคนนี้ให้ตายตั้งแต่ตอนคลอด เด็กคนนี้จะได้ไม่อกตัญญูแบบนี้ นิสัยเลวเหมือนคนนั้นไม่มีผิด
“คุณแม่จะให้หนูทำยังไงกันล่ะคะ หนูก็มีแค่สองมือเท่านั้น อาการป่วยของพี่สาวก็ไม่ใช่ว่าหนูไม่เคยใยดี ถ้าพี่สาวไม่ดื่มแอลกอฮอล์หลังจากที่ถ่ายไขกระดูกสามวันแรก ป่านนี้โรคธาลัสซีเมียของพี่สาวก็คงจะหายขาดไปนานแล้ว หนูทำเต็มที่แล้วค่ะ แต่ก็น่าเสียดายจริงๆ”
นราที่ได้ยินคำพูดของน้องสาวในใจก็รู้สึกกรุ่นโกรธเป็นอย่างมาก ที่น้องสาวฟ้องแม่ของเธอแบบนี้
แต่ถึงอย่างนั้นในดวงตาและสีหน้าของเธอกลับแสดงความเศร้าออกมาให้ทุกคนเห็น เพราะเธอก็ทำผิดจริงๆ
“ นลินพี่ขอโทษนะ ถ้าหากวันนั้นพี่ไม่รู้สึกแย่เพราะอาการป่วย พี่ก็คงไม่เผลอดื่มแอลกอฮอล์กับเพื่อนจนทำให้ไขกระดูกที่เธอให้กับพี่ต้องเสียเปล่าแบบนี้”
นราบีบมือน้องสาวด้วยความรู้สึกผิดเต็มอกกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ พี่อย่าคิดมากเลยค่ะ ถึงยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว”
นลินที่เห็นพี่สาวคิดมาก เธอก็กลัวว่าโรคหัวใจของพี่สาวจะกำเริบขึ้นมาอีก
“คุณแม่คะ คุณพ่อคะ แค่นี้นลินก็เหนื่อยมากพอแล้วอย่าทำให้น้องสาวลำบากใจอีกเลยค่ะ”
ริสายื่นไปจับมือนราด้วยความสงสาร
“ ให้นลินลำบากแค่นี้จะเป็นอะไรไป ในเมื่อแม่คลอดนลินออกมาด้วยความยากลำบากจนเกือบหมดลมหายใจไปแล้วครั้งหนึ่ง”
“ แต่แม่คะ…”
“ ลูกไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น เชื่อแม่ อีกอย่างนลินก็แข็งแรงดี ไม่ได้เจ็บป่วยมาตั้งแต่เด็กเหมือนลูก เห็นได้ชัดว่านลินเอาเปรียบลูกตั้งแต่อยู่ในท้อง ไม่อย่างนั้นนลินจะแข็งแรงอยู่คนเดียวได้ยังไง”
นลินบีบมือตัวเองแน่นเมื่อคุณแม่ของเธอหยิบยกประโยคนี้ขึ้นมาพูดอีกแล้ว
นลินจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแม่ของเธอใช้คำพูดพวกนี้มาทำให้เธอรู้สึกผิดกี่ครั้งแล้ว แล้วยังนำเรื่องนี้มากดดันและมาบีบบังคับเธอทุกครั้งอีกด้วย
นลินได้แต่ก้มหน้าก้มตา เพื่อกักเก็บอารมณ์และความรู้สึกที่แสดงออกมาบนใบหน้าของตัวเอง ไม่ให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเองอีก
เธอรู้ว่าความอ่อนแอและความเสียใจของเธอมันใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนในบ้าน ไม่เหมือนกับพี่สาวของเธอ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดีไปหมดในสายตาของคุณพ่อกับคุณแม่
ความเก็บกด และความอัดอั้นตันใจจากการถูกกดขี่จากครอบครัว เธอก็ได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกพวกนี้เอาไว้ในใจด้วยความขมขื่น สุดท้ายนลินก็ไม่อาจทำอะไรได้
“ถ้าสมองน้อยนิดของแกไม่สามารถที่จะหาทางออกอะไรได้ ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้แกก็เตรียมตัวทำตามวิธีของฉันก็แล้วกัน”
มังกรผู้ที่ย้อนกลับอดีตหลังจากที่โดนแฟนเก่าฆาตกรรม เขากลับมาพร้อมกลับระบบ
เมื่อข้าคือพระชายาของอ๋องผู้โหดเหี้ยม และเป็นหมากอันยอดเยี่ยมในมือของไทเฮา ข้าก็แค่อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข แต่ดูเหมือนว่าคนอื่นอยากให้ข้าใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นให้เป็น
กว่าจะรู้ตัวว่ารักก็ถึงตอนต้องจากกันแล้ว หลับตาลงในความมืดมิดยังคงเห็นภาพฝันที่เป็นเขา ด้วยสถานะและสถานการณ์ต่างๆมันเหมือนเป็นเส้นขนานที่ไม่อาจบรรจบสำหรับพวกเรา ทั้งรักทั้งทุกข์ระทม ท่านคือเหตุผลที่ทำให้ข้าต้องจมอยู่ในห้วงรักที่ไม่มีสิ้นสุด
เมื่อลลิตานั้นได้ย้อนเวลากลับไปในยุค 80 พร้อมกับหม้อสมบัติ และที่ทำให้เธอคาดไม่ถึงก็คือเธออยู่ในร่างของนางร้าย
จะทำยังไงเมื่อเชฟสาวที่อยู่ๆก็โดนลูกหลงตายแบบไม่รู้เรื่อง จากเหตุปล้นธนาคาร
จะทำยังไงเมื่อนักวิจัยสาวผู้เก่งกาจย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กสาวบ้านนายุค70
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
นายพายุ ศิระภาคิณ อายุสามสิบปี นักธุรกิจหนุ่มประธานบริษัทส่งออกผ้าไทย วีรกรรมที่เขาทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน กำลังจะย้อนกลับมา เมื่อนางสาวแพรไหม โภสิกุล ดีไซเนอร์สาวอายุยี่สิบเก้าปี ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เธอนั้นหายออกไปจากมหาวิทยาลัย กว่าสิบปี โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทำให้ท่านประธานหนุ่มเริ่มอยากรู้ชีวิตของเธอ เมื่อครั้งหนึ่งเรือนร่างอันบอบบางอรชรเคยหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขามาแล้ว ถ้าหากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง มันก็ไม่แปลกหากเธอนั้นยังโสดแพรไหมจะยังต้องการเขาอยู่หรือไม่ ในเมื่อเธอคิดว่าพายุนั้นเป็นแค่ผู้ชายที่พรากความบริสุทธิ์ไปจากเธอเท่านั้น ซึ่งเวลานี้เธอก็ยังคงมองเขาในด้านลบอยู่ดี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม "แม่ของหนูชื่ออะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหน บอกฉันได้ไหม" พายุถามพร้อมกับจ้องลงไปที่ดวงตาแป๋วของเด็กหญิงตรงหน้า เมื่อเขามั่นใจว่าสายตาจะไม่โกหก "แม่ของหนูชื่อแพรไหม!" เด็กหญิงพูดออกมา พร้อมกับจ้องสายตาคมของผู้เป็นบิดาอย่างไม่กะพริบตา เพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไม่ได้โกหก “ฮ่ะ!” พายุอุทานออกมาเสียงดัง ขณะที่หัวใจของเขานั้นเต้นแรง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิต "ถ้าคุณไม่เชื่อ พาหนูไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้นะคะ" เด็กหญิงพูดออกมาพร้อมกับมีใบหน้าที่เศร้าหม่น เมื่อเธอคิดว่าบิดาคงไม่เชื่อในสิ่งที่เธอนั้นพูดออกมา "ไม่จำเป็น!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง เพื่อยืนกรานที่จะตรวจดีเอ็นเอ จนทำให้คนฟังนั้นหวาดกลัว เพราะใยไหมคิดว่าบิดานั้นไม่เชื่อใจเธอ "หนูขอโทษที่มารบกวน หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ" ใยไหมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ประหนึ่งว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ เมื่อเธอได้สัญญากับผู้เป็นมารดาเอาไว้ หากถูกปฏิเสธแล้วไซร้ จะขอกลับไปไม่กลับมาหาชายตรงหน้าอีกเลยตราบชั่วชีวิต "แล้วหนูจะไปไหน นั่งลงก่อนสิ" พายุพูดพร้อมกับจับร่างเล็กของลูกสาวนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง "ที่บอกว่าไม่จำเป็น นั่นเป็นเพราะว่าพ่อเชื่อว่าหนูเป็นลูกของพ่อโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ใยไหมไม่รอช้าโผเข้าไปกอดผู้เป็นบิดาอีกครั้งในทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ "ไม่ร้องนะครับคนเก่งของพ่อ" พายุพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มใสของลูกสาวออกจนสิ้น ในขณะที่ตัวของเขาเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน "หนูขอเรียกพ่อว่าคุณป๋านะคะ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดออกมาอย่างรื่นหู คุณป๋าที่เด็กหญิงพูดนั้น ทำให้พายุอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ทำไมถึงต้องเรียกพ่อว่าคุณป๋าด้วยละ หืม" พายุเอ่ยถามลูกสาวออกมา ขณะที่เขายังคงกอดเด็กหญิงเอาไว้ ด้วยความรักความผูกพันของสายใยระหว่างพ่อลูก ที่มันพันผูกจนมาสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ "มาดาม ไม่ชอบให้หนูมีพ่อ หนูก็จะมีคุณป๋าแทนยังไงล่ะคะ" คำตอบของลูกสาวทำให้พายุยิ้มไม่หุบครั้งแล้วครั้งเล่า เธอช่างเป็นเด็กฉลาดและร่าเริง ผิดกับแพรไหมมารดาของเธอ ที่ชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ตลอดเวลา "ทำไมถึงเรียกแม่ว่ามาดาม ตอนนี้แม่แต่งงานไปแล้วหรือยัง" เวลานี้พายุลุ้นคำตอบจากลูกสาว หรือแพรไหมจะแต่งงานกับฝรั่งตาน้ำข้าวไปแล้ว ใยไหมถึงได้เรียกเธอว่ามาดาม "แม่ยังไม่มีใคร มีแค่ลุงดนัยที่ชอบมาข้องแวะ แต่หนูไม่ชอบเขาเลย เพราะเขาชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาดามอยู่เรื่อย" คำตอบของลูกสาวช่างอิ่มเอมใจ เมื่อแพรไหมไม่มีใครเขาก็พร้อมจะสานสัมพันธ์ แต่งานนี้คงจะยากหากผู้ชายคนนั้นมาข้องแวะ แต่เขามีลูกสาวที่ยืนเคียงข้างแล้วจะกลัวอะไร "ถ้าพ่ออยากจะจีบแม่ต้องทำยังไง" "โอ้! เจ๋งเป้งมากค่ะคุณป๋า เดี๋ยวหนูจะช่วยเอง" ใยไหมพูดออกมาด้วยความดีใจ นั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนามาแสนนาน อยากให้บิดามารดาได้ลงเอยกันสักที "ลูกรับปากพ่อแล้วน๊า... " พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก "แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อนค่ะ คุณป๋า" ใยไหม ผละออกจากอกกว้างของผู้เป็นบิดา พร้อมกับหยิบคุกกี้ตรงหน้าเข้าปาก "หิวหรือยัง ไปทานข้าวก่อนดีไหม" พายุเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นลูกสาวนั้นหยิบคุกกี้เข้าปากคำโต "เดี๋ยวค่อยไปทานก็ได้ค่ะ แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน เรื่องที่หนูเป็นลูกสาวของคุณป๋า ห้ามให้ใครรู้ ทุกอย่างจะเป็นความลับระหว่างเราได้ไหมคะ" พายุทำหน้าสงสัยกลับไปให้เด็กหญิง เธอกำลังคิดจะทำอะไร ใครหลายคนคงดีใจหากได้เป็นลูกสาวของท่านประธาน "ทำไมเป็นลูกสาวพ่อมันไม่ดีตรงไหนเหรอ ลูกถึงไม่อยากให้ใครรู้" พายุเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความน้อยใจ เมื่อลูกสาวไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นบิดาของเธอ "เป็นลูกสาวของป๋าดีที่สุดแล้ว แต่หนูไม่อยากให้ใครมองมาดามในทางไม่ดี ทุกคนต้องรู้แน่ สาเหตุที่มาดามต้องออกจากมหา'ลัยกลางคัน" คำบอกเล่าของใยไหมเป็นเหมือนดังคมหอก ที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของพายุ เด็กหญิงตรงหน้าช่างมีความคิดแบบผู้ใหญ่ เธอถูกเลี้ยงมาแบบไหนทำไมถึงได้ฉลาดอย่างนี้ แพรไหมคงดูแลอบรมลูกสาวมาอย่างดี ต่างจากเขาผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยได้เหลียวแล "พ่อขอโทษนะ ที่ไม่เคยได้ดูแลหนูเลย ต่อจากนี้ไปพ่อจะไม่ทิ้งหนูกับแม่ให้อยู่กันตามลำพังอีกแล้ว" คำพูดของผู้เป็นบิดากำลังทำให้เด็กหญิงหัวใจพองโต เธอดีใจที่ผู้เป็นพายุไม่ปฏิเสธ แถมเขายังคิดที่จะสานสัมพันธ์กับมาดามของเธออีกครั้ง คงไม่มีอะไรทำให้เด็กหญิงมีความสุขเท่าสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต "ก่อนอื่นคุณป๋า ต้องจีบมาดามให้ติดก่อน หนูบอกเลยว่างานหิน มาดามดื้อจะตาย ขนาดลุงดนัยตามจีบหลายปี มาดามยังปฏิเสธทุกครั้ง แต่ลุงดนัยก็ตื้ออยู่ได้" ใยไหมพูดพร้อมกับทำหน้างอ ออกมาได้อย่างน่ารัก "ป๋ามีลูกสาวคอยช่วยจะกลัวอะไร ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวป๋าจะไปส่งที่บ้าน" พายุพูดออกมาด้วยสายตาที่มีความหวัง เขาคงไม่ต้องใช้นักสืบ ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้หญิงสาวเดินเข้ามาในชีวิตของเขาเอง แถมอยู่ดี ๆ ก็ได้ลูกสาวมาหนึ่งคน ที่น่ารักซะจนทำให้เขานั้นอยากไว้หนวด
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
เมื่อย้อนเวลามาอยู่ในยุคโบราณที่ผู้ชายล้วนมีสามภรรยาสี่อนุ จื่อรั่วอิงจึงมองหาบุรุษที่จะทำให้นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและได้รู้ว่ามีอ๋องผู้หนึ่งไร้ภรรยาและตาบอดเขาคือคนไม่มีใครเอา"สวรรค์ให้ทางรอดข้าแล้ว" นิยายเรื่องนี้เป็นแนวสุขนิยม ปมเบา ๆ ไม่หนัก นะคะ พระเอกมีเมียเดียว พระเอกสายซึนคลั่งรักนางเอกแต่ไม่รู้ตัว นางเองจอมตื๊อเพื่อทำให้สามีรักสามีหลงขนความฮามาพร้อม ๆ กับบ่าวรับใช้และครอบครัว แนวขบขัน สายฮา สายตลกไม่ควรพลาดค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
หลังจากเมา เธอก็ได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง เธอต้องการความช่วยเหลือจากเขา ส่วนเขาหลงเสน่ห์รูปร่างที่ดีและความสวยงามของเธอ พอเวลาผ่านไป เธอก็ตระหนักได้ว่าเขามีคนอยู่ในใจแล้ว เมื่อรักแรกของเขากลับมา เขาก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ละคืนเหวินม่านอยู่ในห้องว่างเปล่าด้วยคนเดียว แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เธอได้รับมาก็มีแต่เช็คใบหนึ่งและคำกล่าวลาเท่านั้น เดิมทีคิดว่าเธอจะร้องไห้โวยวาย แต่ไม่คาดคิดว่าเธอหยิบใบเช็คแล้วจากไปอย่างไม่ลังเล: "คุณฮั่ว ลาก่อน!"... พอพบกันอีกครั้ง เธอก็มีคนอยู่ข้างกายแล้ว เขาพูดด้วยตาแดงก่ำ: "เหวินม่าน ผมคบกับคุณมาก่อนนะ" เหวินม่านยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า "ทนายฮั่ว คนที่บอกเลิก นั่นคือคุณเองนะ! ถ้าอยากจะเดทกับฉัน คุณต้องต่อคิว..." วันถัดมา เธอได้รับเงินโอนหนึ่งแสนล้านพร้อมแหวนเพชร ทนายฮั่วคุกเข่าข้างหนึ่ง: "คุณเหวิน ผมอยากจะแทรกคิว"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด