นริศราคือเด็กสาวที่ถูกพ่อแม่ขายให้มาเฟีย เธอตกเป็นเด็กรับใช้และแม่บ้าน สิบปีต่อมาเธอกลายเป็นสาวแรกแย้มที่สวยสะพรั่ง แถมยังชอบถูกเจ้านายสั่งให่แก้ผ้าอยู่บ่อยๆ ทว่าเค้ากลับไม่กล้าทำอะไรล่วงเกินเธอเลย นั่นมันเพราะอะไรกันนะ?
นริศราคือเด็กสาวที่ถูกพ่อแม่ขายให้มาเฟีย เธอตกเป็นเด็กรับใช้และแม่บ้าน สิบปีต่อมาเธอกลายเป็นสาวแรกแย้มที่สวยสะพรั่ง แถมยังชอบถูกเจ้านายสั่งให่แก้ผ้าอยู่บ่อยๆ ทว่าเค้ากลับไม่กล้าทำอะไรล่วงเกินเธอเลย นั่นมันเพราะอะไรกันนะ?
ทาสรับใช้เจ้านายมาเฟีย
ตอน เพราะเธอเป็นเหมือนดอกไม้งาม
สายลมเย็นพัดผ่านทะเลสาบกว้าง คลื่นน้ำกระเพื่อมไหวขณะแสงแดดระยิบระยับทอประกายกับเกลียวคลื่น
นกน้อยบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือคฤหาสโบราณกลางแม่น้ำใหญ่ รูปทรงตัวอาคารดั่งปราสาทหินโรมัน มีเสาสูงยาวเด่นสง่าตระกาลตา สีขาวของตึกดูเหลืองซีดจนบ่งบอกถึงความเก่าแก่ประมาณหกชั่วอายุคน มีชายฉกรรจ์เดินตรวจตราโดยรอบเกาะกลางแม่น้ำ ทุกคนมีสีหน้าถมึงทึง
เด็กสาวร่างบางแก้มโตกำลังจัดแจงอาหารจากมือเชฟฝรั่งเศสเรียงรายลงบนโต๊ะศิลาอันกว้างขวาง ปากสีชมพูขมุบมิบขณะชายหางตามองเจ้าแมวสก๊อตติชสีเทาตัวผู้
"วันนี้เค้าจะลงมาทานข้าวกี่โมงกันนะโอลาฟ"
เงี๊ยว! เจ้าแมวตัวอ้วนฉุส่งเสียงร้องขณะก้มดมปลาแซลม่อนย่างถ่าน
"อย่านะ อยากโดนคุณเอสตีเหรอ" นริศราถลึงตาดุเจ้าขนฟู มันกระโจนหนีลงจากโต๊ะอาหารไปนั่งอยู่บนเปียโนราวกับว่ากลัวเจ้านายของสาวใช้เป็นอย่างมาก เพียงแค่ได้ยินชื่อของเค้า
ฟู่วส์! จมูกจิ้มลิ้มถอนหายใจแรงเมื่ออาหารเรียงรายเรียบร้อยบนโต๊ะ ร่างบางย่างเดินมาริมหน้าต่างและดวงตากลมแป๋วก็มองทอดออกไปยังทะเลสาบสีเขียวมรกต
สิบปีมาแล้วที่เด็กสาวโดนพ่อกับแม่ขายให้กับบ้านมาเฟียตระกูลหนึ่ง เธอเริ่มทำงานบ้านมาตั้งแต่อายุเก้าขวบ บัดนี้เธออายุย่างเข้ายี่สิบจึงถูกเลื่อนขั้นให้เป็นเสมียนและผู้ดูแลส่วนตัวของมาเฟียหนุ่มนามว่าเอส มาเฟียหนุ่มใหญ่วัยสามสิบหกปี
หน้าที่ของเธอคือดูแลเสื้อผ้าหน้าผมและอาหารการกินของเค้าทุกอย่าง และยังต้องคอยนับเงินสดที่ลูกน้องชาวแก๊งนำมาส่งในทุกๆวันด้วย เงินสีเทาเหล่านั้นล้วนมาจากบ่อน ซ่องโสเภณี และสนามม้าสนามมวย
ปุ้ง! ๆ ๆ เสียงกระสอบทรายบนชั้นดาดฟ้าทำให้สติของเด็กสาววัยแรกแย้มกลับมาสู่ปัจจุบันกาล
"จะเก้าโมงแล้ว ต้องไปเรียกคุณเอส" นริศราเอ่ยขณะมองนาฬิกาข้อมือสีทองอร่ามบนข้อแขนเล็ก มันคือของขวัญเพียงชิ้นเดียวจากเจ้านายของเธอ
แปะ! ๆ ๆ รองเท้าผ้ากระทบพื้นขณะเรียวขาเล็กสวยสลับก้าวขึ้นบันใดอย่างเร่งรีบ แฮ่ก! ๆ ๆ หน้าอกน้อยกระเพื่อมสั่นขณะที่ลมหายใจร้อนพวยพ่นออกทางปากสีชมพูเรียวบาง
ร่างเพรียวขาวสะท้อนแสงแดดยามสายเมื่อขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้า ผ้ากันเปื้อนลายการ์ตูนกับใบหน้าเล็กเรียวทำให้สาวใช้ดูเด็กลงไปอีกมากโข ราวกับเด็กมัธยมต้นก็ไม่ปาน
เปรี้ยง! ๆ ๆ ดวงตากลมแป๋วเบิกโพลงเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มร่างใหญ่กำลังเปลือยท่อนบนซ้อมกระสอบทรายอยู่กลางแดดจ้าบนชั้นดาดฟ้า
"คุณเอสคะ ถึงเวลาทานข้าวแล้วนะคะ" เสียงเล็กแหลมดังแว่วเข้าหูหนุ่มร่างใหญ่ผิวแทน ใบหน้าคมคายหันขวับมาพลันใด
"ทำไมต้องมาเรียก ฉันไม่ใช่ลูกเธอนะ" หนุ่มใหญ่วัยเกือบพ่อบ่นเสียงดัง กระนั้นก็ยอมถอดนวมออกจากกำปั้น
อึก! เด็กสาวกลืนน้ำลายเหนียวแทบไม่ลงคอ ตามองจ้องยังหยดเหงื่อบนปลายจมูกโด่งที่กำลังหยดติ๋งๆลงบนหน้าอกล่ำกว้าง เห็นเต็มสองตาว่ามันกลายเป็นสายธารไหลลงสู่กล้ามท้องซิกแพคที่นูนแน่นเป็นลอนๆแล้วหายวับไปตรงขอบกางเกง
"ยืนบื้ออะไรอยู่ได้ รีบเอาของลงไปสิ" หนุ่มใหญ่ตวาดดังก่อนจะหันหน้าไปมองสมาร์ทโฟนและเสื้อผ้าที่กองอยู่บนโต๊ะ
"ค่ะ วันนี้ต้องมีประชุมหนูเลยรีบขึ้นมาเรียกค่ะ" เด็กสาวตอบขณะวิ่งอ้อมร่างสูงใหญ่ไปเก็บเสื้อผ้าและมือถือกอดไว้ที่หน้าอก เธอรีบก้าวตามหนุ่มหล่อมาดเข้มลงไปยังห้องโถงชั้นล่าง
มาเฟียหนุ่มรุ่นที่หกลงมานั่งที่โต๊ะอาหารทั้งที่ยังเปลือยท่อนบนอล่างฉ่าง แขนท่อนใหญ่ขยับไปมาจนเห็นมวลมัดกล้ามแน่นหนาและเส้นเลือดเส้นเอ็นปูดๆ
แปะ! ๆ ๆ สาวรับใช้วิ่งมายืนข้างกายเจ้านาย มองไปตามผิวหนังชุ่มเหงื่อของเค้าแล้วชวนให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย โดยเฉพาะใบหน้าอันหล่อเข้มบาดใจนั้น
"เค้ก นี่ใครทำเค้กวะ บอกแล้วว่าไม่ชอบ" จู่ๆน้ำเสียงที่ฟังดูโหดร้ายผิดกับหน้าตาก็ตวาดลั่น
โพล๊ะ! สมาร์ทโฟนในมือเด็กสาวร่วงหล่นลงพื้นทันทีที่เธอตกใจสะดุ้ง
"ขะคือ ฉันเห็นว่าท่านใช้แรงเยอะก็ควรทานอาหารที่มีคาร์บเยอะๆน่ะค่ะ" นริศรายืนห่อตัวเล็กขณะตอบเสียงสั่น
"แต่เค้กมันมีน้ำตาล ยัยโง่" เจ้านายหน้าหล่อรุ่นพ่อหันมาเงยหน้าสบตาดุ
"ไม่มีนะคะ ใช้น้ำตาลเทียมและครีมเทียมด้วยค่ะ" เด็กสาวตอบอย่างใสซื่อ
"แต่ฉันไม่ชอบเค้ก" หนุ่มหล่อตวาดและเอื้อมจับเค้กสีขาวขยำจนเละเทะคามือ
"เอาไปวางบนขาเธอแล้วแก้ผ้า ไปนั่งบนเปียโนโน่น"
น้ำเสียงหนุ่มใหญ่ฟังดูเยือกเย็นน่ากลัว แต่การลงโทษแบบนี้มันไม่ใช่ครั้งแรก นริศราจึงก้มหน้าจ๋อยขณะเดินไปยืนหน้าเปียโน เธอค่อยๆถอดผ้ากันเปื้อนออก ตามด้วยเสื้อและกระโปรงสาวใช้ที่ถูกโยนลงมากองกับพื้น
หึ! ๆ มาเฟียหนุ่มแสยะยิ้มและหัวเราะอย่างชอบใจ ขณะมองเรือนร่างเปลือยเปล่ากำลังปีนขึ้นไปนั่งบนเปียโนเค้าก็ตักอาหารกินไปด้วย
"อ้าขาออก จะเอามือปิดทำไม มันไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อย ฉันเห็นของเธอมาตั้งกี่ครั้งแล้ว หึ! ๆ ๆ ๆ"
มาเฟียหนุ่มสั่งไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี
ฮือ! ๆ ๆ เด็กสาวนั่งร้องไห้กระซิกๆขณะยกสองมือออกจากเนินหน่าวและอ้าสองขาออกกว้าง จากมุมมองนี้ไปยังโต๊ะอาหารเธอรู้สึกว่าเจ้านายตัวเองช่างไม่ต่างอะไรกับฆาตกรโรคจิต จะผิดต่างก็แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย
อึก! หนุ่มใหญ่กลืนน้ำลายเหนียวลงคอขณะจ้องมองมายังง่ามขาขาวที่นั่งอยู่บนแป้นกดเปียโน
ตริ๊ง! ๆ ๆ เสียงโน๊ตดนตรีดังระรัวเมื่อร่างบางนั่งสั่นเทาขณะที่ตูดกดกับแป้นเปียโน เนินหน่าวที่นูนโหนกไร้เส้นขนกำลังเผยให้ชายหนุ่มรุ่นพ่อได้เห็นถึงร่องกลีบสีชมพูที่ปิดแนบมิดชิดสนิทเนื้อ
อื่ม! มาเฟียหนุ่มซดน้ำแกงขณะมองจ้องร่องสาวสีชมพูอมแดงอย่างตาค้าง รู้สึกว่าเค้าจะกินอาหารอร่อยขึ้นกว่าปกติ
"เค้กล่ะ เอามันป้ายกับขาเธอสิ" เสียงดุดังก้องจนมือน้อยต้องรีบหยิบเค้กก้อนเหลวๆมาปัายกับขาข้างขวาของตัวเอง
เมี๊ยว! เจ้าโอลาฟส่งเสียงร้องขณะทำจมูกฟุตฟิตๆ มันกระโจนลงจากหลังเปียโนมาก้มเลียขาขาวของสาวใช้แผล็บ! ๆ
อือออ! เด็กสาวหยุดร้องไห้แต่กลับกลายเป็นร้องครางกระเส่า รู้สึกแสบแปล๊บๆตรงลิ้นแมวที่เลียขาอ่อน ทว่าไม่กล้าจะยกมือปัดป้องเจ้าเหมียวเพราะกลัวเจ้านายดุ
"นริศรา เธอรู้ไหมว่าเธอน่ะสวยมาก"
"แต่โง่"
ฮือ! ๆ ๆ เด็กสาวร้องโฮครั้งใหญ่ด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อตำใจ เจ้าเหมียวที่เลียขารีบกระโจนหนี
ฮือ! ๆ ๆ เด็กสาวยกมือน้อยปาดน้ำตาขณะที่นั่งอ้าขากว้างอยู่บนเปียโน ตริ๊ง! ๆ ๆ เสียงโน๊ตดังทุกครั้งที่ตูดงอนขาวสั่นกระเพื่อม
"นี่ เอามือออกให้ฉันได้มองใบหน้าสวยๆของเธอเสียที"
"จะน้อยอกน้อยใจอะไรนักหนา เธอต้องขอบคุณพ่อกับแม่เธอมากกว่าที่ไม่เอาเธอไปขายให้ซ่อง ป่านนี้จะเป็นยังไงคิดดูสิ"
"ฮือ! ๆ ๆ แล้วคุณทำแบบนี้กับฉันทำไม ทำทำไม" เด็กสาวเอาสองมือออกจากหน้าและกำหมัดแน่นจนสั่น เปล่งเสียงดังตวาดสวนเจ้านายอย่างท้าทาย
"ถ้าหนูผิดจะตีหนูก็ได้ ทำไมต้องสั่งให้หนูแบบนี้ ทุกครั้งเลย ฮือ! ๆ ๆ" น้ำเสียงสาวใช้อ่อนลงพลันใดที่เธอเรียกตัวเองว่าหนู
"หึ! ๆ ๆ ก็เพราะว่าเธอเป็นเหมือนดอกไม้ที่สดสวยยังไงล่ะ"
"อย่างเธอไม่ควรต้องโดนใครเด็ดดมหรือล่วงเกิน"
"คนสวยอย่างเธอต้องสวยอยู่บนช่อดอกไม้ให้ฉันได้มองทุกครั้งไป"
หนุ่มใหญ่เอ่ยขณะมองเต้านมขาวไล่ลงมายันเนินหน่าวและร่องสาวที่แดงระเรื่อขึ้นทุกขณะ
อึก! กำปั้นน้อยคลายออกขณะที่มือเล็กเรียวสั่นเทา คำพูดที่เพิ่งได้ยินกับหูเมื่อครู่ช่างรู้สึกดีพิลึก ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าเจ้านายกำลังชมหรือดูถูกอยู่กันแน่
แนวทาสสวาท ล่อลวง เปิดซิง รุนแรง ซาดิสม์ หลอกเอา คนสวน รุมคุณหนู nc 3p
นิยายอีโรติก แนวเรื่องจริง นอกใจ มีชู้ เผลอใจ ไม่ตั้งใจ nc 18+ รวมเรื่องสั้นแนวนอกใจ นอกกาย สายบาป เป็นเรื่องแต่งเสริมเรื่องจริง สั้นๆจบในตอน มีหลายแนว หลายเหตุการณ์ สำหรับผู้ใหญ่ อายุ18ปีขึ้นไป
นิยายผู้ใหญ่ แนวฮาเร็มชาย นางเอกเป็นคุณหนูวัย18ปี เธอชอบยั่วคนสวน คนขับรถ ใจแตก มั่วสวาท nc 18+
ในยุคก่อนสงครามโลก ยังมีการค้าทาส ในดินแดนแถบเอเชียที่ไม่ระบุชื่อและสถานที่ตั้ง มีปราสาทแห่งหนึ่งตั้งตะหง่านอยู่ริมหน้าผาบนเขาสูง เจ้าปราสาทคือสามีนางเอก เขาเป็นขุนนางชั้นสูง เขาชอบซื้อทาสชายหลากเชื้อชาติมาเลี้ยง ใช้งานพวกเขาหนัก และมักจะให้นางเอกมีอะไรกับคนแปลกหน้าพวกนั้นเพื่อให้เขานั่งดูอย่างมีอารมณ์
นางเอกแต่งงานกับสามีแก่ เขาเป็นเสี่ยเจ้าของร้านทองที่รวยมาก ทว่านกเขากลับไม่ขันและอ่อนปวกเปียก นานๆจะมีเซ็กกับเมียรัก เดือนละครั้งสองครั้ง นางเอกทนความอยากไม่ไหวแต่ก็ไม่อยากมีชู้ ไม่อยากนอกใจสามี เธอจึงแอบมีอะไรกับเจ้าแสนรักที่เลี้ยงไว้ในบ้าน
เรื่องสั้นแนวมีชู้ fwb ลับๆ นอกใจ แอบแซ่บ 3p 4p หลายบุคคลหลากเหตุการณ์ จบในตอนสองตอน
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
© 2018-now MeghaBook
บนสุด