ณิชานันท์คือครูอนุบาลที่โสดและโสดมานาน นานจนเธอเองก็งงว่าทำไมถึงโสดมาจนทุกวันนี้ ทั้งที่ก็สวยและรวยมากอยู่นะ แต่จู่ๆ โชคชะตาก็เล่นตลก ส่งลูกศิษย์ตัวน้อยมาทาบทามว่า "ครูมาเป็นแฟนกับพ่อหนูไหมคะ" +++++++ "อะไร ตัวแค่นี้คิดจะเป็นแม่สื่อเหรอเรา" "แม่สื่อ?" เด็กน้อยเอียงหน้ามองพ่อ "คิวปิด" พอบอกแบบนี้เด็กน้อยก็ตาเป็นประกายพยักหน้าหงึกหงัก เพราะเคยเห็นในการ์ตูนและรู้ว่ามันถือลูกศรยิงให้คนรักกัน "อ้อ ก็หนูชอบครูณิชานี่คะ" "แล้วครูคนอื่นล่ะ" "ก็ชอบ แต่น้อยกว่าครูณิชาค่ะ" "ทำไมกันนะ" ตุลาชวนลูกสาวคุยไปเรื่อยอย่างที่ชอบทำเป็นปกติอยู่แล้ว จริงๆ เรื่องครูณิชาก็บ่นให้เขาฟังตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ไปแล้วหนึ่งรอบ "เพราะครูณิชาตลก สวย ใจดี เหมือนนางฟ้าเลยค่ะ" "ขนาดนั้นเลย" "ค่ะขนาดนั้นเลย หนูอยากได้" หนูน้อยกอดอกเอียงหน้ามองพ่อพร้อมกับทำแก้มป่องๆ "อยากได้อะไรครับ" "อยากได้คุณครูณิชามาเป็นแม่ค่ะ"
ตอนที่ 1 มาเป็นแฟนพ่อหนูไหมคะ (1)
“วันนี้เลิกเรียนแล้ว พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะคะเด็กๆ เดินระวังอย่าวิ่งนะคะ” ครูนุ่นเตือนลูกศิษย์ที่ต่างทยอยเดินไปหาผู้ปกครอง แล้วหันมาพูดกับเด็กน้อยหน้าตาน่ารักที่สะพายกระเป๋าและนั่งแกว่งขาเล่นมองเพื่อนๆ กลับบ้านไปทีละคนสองคน “น้องมีน วันนี้พี่เลี้ยงจะมารับเหมือนเดิมใช่ไหมคะ”
“เปล่าค่ะ วันนี้พ่อจะมารับค่ะ”
คุณพ่อ! ครูนุ่นตาโตเดินไปนั่งลงข้างลูกศิษย์ที่น่ารักน่าชังที่สุดในสามโลก โดยเฉพาะพ่อของลูกศิษย์บอกเลยว่า ไม่สิมันใช้คำว่าน่ารักกับผู้ชายคนนี้ไม่ได้ ต้องบอกว่าหล่อวัวตายควายล้ม เจอหน้าแล้วอยากเป็นลมล้มพับใส่อกแน่นๆ
“คุณพ่อจะมารับเหรอคะ งั้นเดี๋ยวครูรอเป็นเพื่อนนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะรอพ่อกับครูณิชาค่ะ” ครูนุ่นที่กำลังจัดเสื้อผ้าหน้าผมถึงกับชะงักมองค้อนลูกศิษย์ตัวน้อยไปทีหนึ่ง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ลุกขึ้นไปดึงครูรุ่นน้องที่เพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่เดือนแต่เด็กๆ ชอบนางมาก ให้ไปนั่งแทนที่ของตัวเอง
“ครูเหรอคะ” ณิชานันท์มองครูรุ่นพี่ที่เล่นใหญ่ขำๆ อะไรที่ทำให้ต้องโอเวอร์แอคติ้งขนาดนั้น
“ค่ะ ครูมารอพ่อเป็นเพื่อนหนูนะคะ”
“เป็นครูไม่ได้เหรอคะ” ยังถามด้วยสายตาอ้อนวอนลูกศิษย์สุดฤทธิ์ ครูในโรงเรียนนี้ใครไม่รู้บ้างว่าพ่อของน้องน่ะงานดีแค่ไหน และไม่ใช่ว่าอยากเจอจะได้เจอนะเอ้อ เหมือนของแรร์ ที่นานๆ จะโผล่มาที ก็ต้องอยากเห็นใกล้ๆ ได้พูดคุยบ้างอะไรบ้าง เผื่อจะตกได้
“ครูณิชาดีกว่าค่ะ”
“ทำไมอะคะ”
“ครูณิชาใจดีค่ะ” ครูนุ่นอ้าปาก ยกมือแตะใบหน้าที่ทำเหมือนกำลังเศร้าของตัวเองไปทั่ว มองลูกศิษย์ตัวน้อยแล้วตัดพ้อ
“ครูไม่ใจดีเหรอคะ”
“ใจดีค่ะ แต่ครูณิชาใจดีกว่าค่ะ ครูณิชาใจดีเท่านี่เลยค่ะ หนูชอบครูณิชาที่สุดค่ะ” น้องมีนลุกขึ้นกางแขนออกกว้างที่สุดเท่าที่แขนของเด็กคนหนึ่งจะกว้างได้ งานนี้ครูนุ่นเลยขอถอยออกไป ทั้งที่ยังไม่ทันได้สู้ก็แพ้แล้ว
“ปากหวานจริงเด็กคนนี้ มาเรามารอคุณพ่อกัน” ณิชานันท์มองรุ่นพี่ที่ทำท่าโบกมือพลางซับน้ำตาแล้ววิ่งเข้าห้องเรียนไปก่อนจะส่ายหน้า
เล่นใหญ่เกินเบอร์จริงๆ
“ฝากชื่นชมคุณพ่อน้องแทนด้วยนะจ๊ะ” คนที่วิ่งเข้าห้องวิ่งออกมาตะโกนบอกแล้วหายเข้าไปอีกครั้ง
“อะ...เอ่อ...ค่ะ” ณิชานันท์เกาศีรษะมองหน้าลูกศิษย์สลับกับห้องเรียนที่รุ่นพี่เพิ่งวิ่งหายเข้าไปอย่างงงๆ “ทำไมพวกเขาดูมีความตื่นเต้นกันจัง” ครูนุ่นเล่นใหญ่สุดออกอาการสุด แต่ครูผู้หญิงอีกสองสามคนไม่ได้ออกอาการมาก แต่ก็ดูกระดี๊กระด๊าผิดปกติ
“เพราะพ่อหนูหล่อค่ะ” เด็กน้อยจีบปากจีบคอพูดขณะเดินไปนั่งลงที่ชิงช้า
“เหรอจ๊ะ”
“จริงค่ะ หล่อมาก หล่อที่สุด”
“อื้อ อย่างนี้นี่เอง เพราะพ่อหล่อ น้องมีนถึงได้น่ารักมากขนาดนี้” ไม่แปลกหรอกเด็กหน้าตาดีขนาดนี้ หน้าตาพ่อแม่ก็ต้องระดับพรีเมี่ยม แต่พวกครูๆ จำเป็นต้องออกอาการขนาดนี้กับสามีคนอื่นเลยเหรอ
“ใช่ค่ะ”
“ชักอยากเห็นเสียแล้วสิ”
“ถ้าเจอแล้วจะตกหลุมรักไหมคะ”
“หือ...” ณิชานันท์ที่กำลังไกวชิงช้าเบาๆ ต้องเลิกคิ้วมองลูกศิษย์ตัวน้อยที่กำลังจ้องเธอไม่วางตาแล้วเปิดยิ้มกว้าง ท่าทางเด็กคนนี้จะหลงพ่อตัวเองสุดๆ เลยสินะ
“ก็น้องมีนเคยได้ยินคุณครูและผู้หญิงหลายคน พอเจอหน้าพ่อแล้วชอบพูดว่าหล่อจนตกหลุมรักเลย ครูณิชาจะตกหลุมรักพ่อหนูไหมคะ”
เอาล่ะสิ เล่นพูดมาอย่างนี้ก็ชักอยากจะเห็นหน้าพ่อของลูกศิษย์ช่างพูดคนนี้เสียแล้วว่าจะสมคำร่ำลือหรือเปล่า แต่เรื่องตกหลุมรักน่ะไม่มีทางหรอกนะจ๊ะเด็กน้อย
เห็นอย่างนี้แต่ครูน่ะพวกเคร่งคุณธรรมนะจะบอกให้ ใส่บาตรทุกเช้า เข้าวัดทุกวันพระ
“ไม่หรอกจ้ะ ครูไม่ชอบผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว”
“มีเจ้าของ...” น้องมีนเอียงหน้าขมวดคิ้ว ณิชานันท์เลยต้องอธิบายต่อ อย่างว่าเด็กก็คือเด็กบางอย่างเข้าใจบางอย่างก็ไม่เข้าใจ
แต่บางทีก็งง คือบางอย่างไม่ควรเข้าใจกลับเข้าใจเสียอย่างนั้น
“หมายถึงพ่อของน้องมีนก็มีแม่ของน้องมีนเป็นแฟนแล้วนี่จ๊ะ”
“ไม่มีค่ะ พ่อน้องมีนโสด เราอยู่กันสองคน ไม่สิมีป้าพี่เลี้ยงด้วย ไม่ๆ มีลุงคนขับรถ ป้าแม่บ้าน ห้าคนค่ะ” เด็กน้อยนับนิ้วแล้วยกขึ้นโชว์
“ครูขอโทษเรื่องคุณแม่ด้วยนะจ๊ะ” ณิชานันท์ยกมือไปลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างรู้สึกผิด และคิดไปว่าเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่าน่ะที่ทำให้น้องโหยหาความรักจากแม่ จึงเอาความรู้สึกนั้นมาให้กับครูผู้ดูแลอย่างเธอ
“ค่ะ น้องมีนยกโทษให้ค่ะ เพราะแม่หนูยังไม่ตาย พ่อบอกว่าแม่อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็น”
“หนูเข้าใจด้วยเหรอคะ”
“เข้าใจสิคะ พ่อบอกว่าหนูเป็นเด็กฉลาด”
ณิชานันท์พยักหน้าอมยิ้มยืดตัวลุกขึ้นไปไกวชิงช้าเบาๆ เหมือนเดิม ช่างเป็นเด็กที่น่ารักและน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน แต่โดยรวมคือน่าเอ็นดูมาก
“ช่างพูดจริงเด็กคนนี้ น่ารักจนอยากเก็บกลับบ้านไปกอด”
“งั้นกลับบ้านกับหนูไหมคะ” ณิชานันท์กะพริบตาปริบๆ จ้องมาจ้องกลับ เอากับเขาสิเด็กคนนี้ เขาว่าพ่อน้องหล่อแกล้งใจง่ายกลับไปด้วยเลยดีไหมเนี่ย
“ครูอยู่บ้านกับใครคะ”
“คนเดียวจ้ะ”
“น่าสงสารจัง เหงาแย่เลยนะคะ”
“ก็มีบ้าง แต่ทำงานไปก็ลืม”
“ครูไม่มีแฟนเหรอคะ”
“ไม่มีจ้ะ” ตอบแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเด็กน้อยทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจะว่าสงสารเธอก็ไม่น่าใช่ “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะคะ”
“ครูสวยค่ะ” แหม เด็กตาถึงน่าให้รางวัล
“คนสวยมักโสด เหมือนพ่อของน้องมีนไง หล่อยังโสดได้เลยจริงไหมจ๊ะ”
“พ่อบอกว่าพ่อหล่อเลือกได้ค่ะ”
“ครูก็สวยเลือกได้เหมือนกันจ้ะ” ไงล่ะ คนมีพ่อหล่อเจอครูคนสวยขิงใส่ ไปไม่เป็นเลย...
“งั้นครูมาเป็นแฟนพ่อหนูไหมคะ”
“จะไปไหน เรามีเรื่องต้องคุยกัน” “แต่มิ้นไม่มี ปล่อยค่ะ มิ้นจะกลับไปทำงาน” หญิงสาวพยายามบิดข้อมือให้หลุดพ้นจากการบีบรัดของมือใหญ่ แต่ก็ไม่สำเร็จยิ่งเธอขัดขืนมือนั้นก็ยิ่งรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ “อย่าหวังว่าจะได้กลับ ถ้าวันนี้เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง” บอกแล้วก็เหวี่ยงร่างบางให้กลับไปนั่งที่โซฟาเหมือนเดิม “เรามีเรื่องต้องคุยกันด้วยเหรอคะ” มินรญาถามแล้วยิ้มเยาะ คำพูดเมื่อวันนั้นยังทิ่งแทงใจจนวันนี้ แม้จะบอกตัวเองว่าอย่าใส่ใจ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ จนกลายเป็นประชดด้วยการยอมคบกับภูมิน “คบกับไอ้หมอนั่นเมื่อไหร่” คูเปอร์ที่ยืนอยู่หันมาถามเสียงเข้ม และเมื่อหญิงสาวยังเงียบ ชายหนุ่มเลยตะคอกใส่อีกครั้ง “ตอบ!" “สามวันที่แล้ว” มินรญาที่เริ่มจะกลัวใจของคนตรงหน้ารีบตอบทันที บอกตรงๆ สมัยก่อนตั้งแต่คบกันมาเธอไม่เคยเห็นชายหนุ่มในโหมดนี้เลยสักครั้ง ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงดูน่ากลัวจนน่าวิ่งหนี “คบกันแค่สามวันแต่มันกล้าขอแต่งงานมันหมายความว่าไง” คูเปอร์ถามเสียงลอดไรฟัน พร้อมกับโน้มตัวเอาแขนทั้งสองข้างไปค้ำที่พนักโซฟา เลยกลายเป็นว่าตอนนี้มินรญาได้โดยกักตัวเอาไว้แล้ว “แล้วพี่คู้ปจะสนใจไปทำไมคะ ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” มินรญาเน้นเสียงหนักในท้ายประโยคอย่างต้องการย้ำสถานะของตัวเอง “เวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยน” คูเปอร์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาหยามเหยียด ไม่เท่านั้นมันยังตามมาด้วยคำพูดที่เสียดแทงใจ “แม้แต่คนที่นอนด้วยกันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งมาแล้วยังพูดออกมาได้ว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน” “มิ้นไม่เคยเปลี่ยน มีแต่พี่นั่นแหละที่เปลี่ยน มิ้นผิดเหรอที่พยายามจะไม่สนใจคนที่ไม่เคยคิดอะไรกับตัวเองมากกว่าคนรู้จัก แม้จะนอนด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง” มินรญาตะโกนใส่หน้ารัวเป็นพร้อมกับผลักอกอีกฝ่ายอย่างฉุนเฉียว “แล้วทำไมต้องแต่งงานกับมันด้วย” “มิ้นจะได้ออกไปจากชีวิตคนใจร้ายอย่างพี่ไงคะ ลืมให้หมดลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งว่ารักผู้ชายใจร้ายอย่างพี่...อุ๊บ...” เสียงตะคอกเมื่อครู่ถึงกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่อชายหนุ่มฉกวูบเปิดปากด้วยปาก และมันก็เป็นวิธีที่ได้ผลมากเลยทีเดียว เมื่อทั้งสองคนต่างรู้สึกว่าอาการฉุนเฉียวรุนแรงเมื่อครู่ค่อยๆ จากหายและมันก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความวาบหวามทราบซ่านรัญจวนใจ “อย่าคิดแม้แต่จะออกไปจากชีวิตพี่” คูเปอร์บอกเสียงนุ่มทุ้มกว่าเดิมพลางประคองใบหน้านวลที่แดงปลั่ง ก่อนจะเอียงหน้าก้มลงไปบดจูบกัดเม้มริมฝีปากอิ่มนั้นอีกครั้ง คราวนี้อารมณ์กรุ่นโกรธได้มลายหายไปจนสิ้น ความหอมหวานที่ห่างหายไปไม่กี่วันกลับทำให้คูเปอร์ที่คะนึงหาอยากจะสูบจะกลืนกินเก็บผู้หญิงคนนี้เอาไว้ไม่ให้ใครหน้าไหนเห็นหรือชื่นชมมันนอกจากตัวเขา
จู่ๆ ก็มีเงินห้าหมื่นมานอนอยู่ในบัญชีของ'กัญชรส'สาวห้าวบ้านิยายที่ตกงานแถมยังถังแตก แน่นอนเธอกดมันมาปลดหนี้ให้ตัวเองแต่ปัญหาก็ดันมาเกิดเมื่อหนุ่มหล่อเจ้าของเงินอย่าง'อิงครัต'มาทวงเงินที่โอนผิดนั้นคืน +++++++++ “แต่ว่า...ตอนนี้ฉันยังตกงานอยู่เลย เรื่องเงินสามหมื่นที่ว่าจะคืน...ฉันขอเวลาหน่อยได้ไหมคะ” ชายหนุ่มเริ่มชักสีหน้า แววจะไม่ได้เงินส่วนนี้คืนเห็นอยู่รำไร จะยกให้เลยก็ใช่ที่ เพราะเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยมากจากไหน เงินสามหมื่นกว่าจะได้มามันก็ไม่ใช่ง่ายๆ “นานแค่ไหน” “ก็จนกว่าฉันจะได้งานน่ะค่ะ” และในชั่วขณะนั้นเอง หางตาของกัญชรสก็เหลือบไปเห็นป้ายประกาศรับสมัครงานติดอยู่ตรงหน้าอู่ ซึ่งมันก็ทำให้นัยน์ตาของหญิงสาวเป็นประกายขึ้นมาทันที “หรือไม่อย่างนั้นคุณก็รับฉันเข้าทำงานที่นี่เลยสิคะ อู่ของคุณเปิดรับอยู่ไม่ใช่เหรอนั่นฉันเห็น” นิ้วเรียวชี้ไปที่กระดาษปิดประกาศ ที่เพิ่งจะถูกนำมาติดเมื่อเช้านี้เอง ด้านอิงครัตรีบหันขวับไปมองตามแล้วก็ต้องร้องเสียงหลง “เฮ๊ย! ไม่ได้ คุณเดินเข้าไปอ่านตำแหน่งที่ผมเปิดรับชัดๆ หรือยัง อู่ผมไม่ได้เปิดรับพนักงานบัญชี พนักงานทำเอกสาร หรือว่าแม่บ้านนะ” “มันไม่ได้ไกลมาก ตัวหนังสือก็ใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มซะขนาดนั้น และที่สำคัญสายตาฉันดีพอ นั่งอยู่ตรงนี้ฉันก็อ่านออกว่าคุณรับสมัครผู้ช่วยช่าง” “นั่นไง คุณเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า คุณเป็นผู้หญิงสมัครไม่ได้หรอก ไปหางานอย่างอื่นทำดีกว่า เรื่องเงินผมรอได้” อิงครัตแนะนำอย่างใจกว้าง ตอนนี้รู้สึกเห็นใจผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้าไม่น้อย ที่คงจะอยากได้งานเพื่อเอาเงินมาคืนเขามาก จนต้องออกปากขอทำงานผู้ช่วยช่าง ที่เป็นงานของคนที่ต้องเรียนด้านนี้มาหรือไม่ก็ชื่นชอบอยากหาประสบการณ์ ซึ่งก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นเพื่อลดความกดดัน เขาจึงไม่อยากเร่งรัดเรื่องเงินที่หญิงสาวเอาไปใช้ แต่ดูเหมือนความหวังดีของเขาจะถูกปฏิเสธ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น อิงครัตแทบอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะให้กับความดื้อดึงของหญิงสาวมาดทอมบอยคนนี้ ให้รู้แล้วรู้รอดไป “ไม่ค่ะ! ฉันยังยืนยันที่จะสมัครเป็นผู้ช่วยช่างที่อู่ของคุณ”
ร้อยรัก ผู้เชื่อมั่นในรัก แต่ไฉนเลยกลับถูกโชคชะตากลั่นแกล้งอยู่ร่ำไป คนที่คิดว่าใช่ กลับไม่ใช่ สุดท้ายยังต้องเข้าพิธีวิวาห์กับน้องชายของเจ้าบ่าว! +++++++++ ‘นี่คุณมานอนบนนี้ตั้งแต่เมื่อไร’ ร้อยรัก ถามเสียงห้วนแล้วก้มสำรวจตัวเองตามสัญชาตญาณ ‘ก็ตั้งแต่เมื่อคืนนั่นแหละครับ’ ‘ฉะ...ฉันนึกว่าคุณจะนอนข้างล่างเสียอีก’ คีรินทร์ หัวเราะขำ แล้วตอบกลับตรงๆ ‘ฝันไปเถอะ เหนื่อยจะตายมีที่นอนนุ่มๆ จะไปนอนที่พื้นเพื่อ...’ ‘ก็...เราไม่ได้เป็นอะไรกัน และคิดว่าคุณจะเป็นสุภาพบุรุษกว่านี้เสียอีก’ ‘ตื่นจากมโนได้แล้วคุณ คนที่แต่งงานกับคุณไม่ใช่ผู้ชายอ่อนโยน แสนดี และเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่ต้องการหรอกนะ มีแต่ผม...ผู้ชายที่สันดานไม่ดีคนนี้แหละ’
“อย่ามาทำเป็นเล่นตัว ได้เวลาทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว” ไมก้าห์ตามไปนั่งคร่อมร่างบางที่ตอนนี้มือทั้งสองข้างของหญิงสาวถูกเขาตรึงไว้เหนือศีรษะด้วยมือข้างเดียวแล้ว “นะ…หน้าที่บ้าบออะไรจะมาทำกันตอนนี้ คุณต้องการกาแฟเพิ่ม ปล่อยฉันสิเดี๋ยวจะไปชงให้ค่ะ” ไออุ่นพยายามพูดคุยอย่างใจเย็น ทั้งที่มาอีหรอบนี้หรือจะต้องการดื่มกาแฟ “ไม่ได้จะกินกาแฟ” “งั้นคุณจะเอาอะไร นี่มันดึกแล้ว จะใช้อะไรฉันก็รอพรุ่งนี้เซ่!” เธอตะโกนสุดเสียงดิ้นสุดฤทธิ์แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากการควบคุมของมือใหญ่ของไมก้าห์ได้ “หน้าที่กลางคืนก็ต้องทำกลางคืนสิ” ไม่พูดเปล่าไมก้าห์ยังก้มลงไปสูดกลิ่นสาวจากซอกคอหอมกรุ่นอย่างพอใจ แม้รูปร่างจะห่างไกลจากสเปกของเขาแต่กลิ่นเนื้อสาวนี้ถูกใจเขาอย่างประหลาด ดูท่ากลิ่นหอมอ่อนๆ ดูจะถูกจริตเขามากกว่ากลิ่นฉุนๆ ของน้ำหอมยี่ห้อดัง “ไม่ ไม่ มันไม่ใช่แบบนี้” ไออุ่นที่ขนลุกซู่บอกเสียงสะอื้น แต่ไมก้าห์ไม่คิดจะสน ผู้หญิงที่ชอบทำตัวอ่อนประสบการณ์เรียกร้องความใจแบบนี้เขาเจอมาเยอะแล้ว ร้อยทั้งร้อยเครื่องร้อนเต็มที่พวกเธอเหล่านั้นก็กลายร่างเป็นแม่เสือสาวพราวสวาททั้งนั้น “แบบนี้แหละถูกต้องที่สุดแล้ว” ตอบเสียงอู้อี้ ก่อนจะลากไล้ปลายจมูกและริมฝีปากไปทั่วลำคอขาวผ่อง ก่อนจะไล้ขึ้นมายังแก้มใสที่…เปียกชื่นน้ำตา และนั่นทำให้ไมก้าห์ที่กำลังเมากับกลิ่นกายสาวถึงนิ่ง แล้วค่อยๆ ยันตัวขึ้น “อย่ามาเรียกร้องความสนใจด้วยน้ำตา” เขาคำรามอย่างไม่สบอารมณ์ ให้ตาย เขาเกลียดที่สุดคือน้ำตาของผู้หญิง “ก็คุณกำลังจะข่มขื่นฉัน ฉันต้องดีใจหรือไง” ตะคอกกลับเสียงสะอื้น “ข่มขื่นเหรอ พูดให้ถูกมันคือหน้าที่ของเธอต่างหาก”
“ไปเสม็ด” เกวิลนทวนคำเสียงตื่นแล้วรีบถามต่อ “ไปกลับหรือค้างคืน” “ค้างคืน” ชมพูนุชตอบอย่างไม่คิดจะปิดบัง นั่นทำให้เกวลินตาโต เดินเข้าไปจับต้นแขนของชมพูนุชเพื่อให้อีกฝ่ายมองหน้าของเธอ “นี่อย่าบอกนะว่าเธอกับแทน...” “แล้วถ้าใช้เธอจะทำไม” ชมพูนุชถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่คนฟังกลับนิ่งไม่ได้ “เธอก็รู้ว่าแทนคือผู้ชายที่ฉันรัก แล้วเธอจะยัง...” พูดยังไม่ทันจบชมพูนุชก็พูดแทรกขึ้นทันควัน “ยังกล้าพูดเหรอว่าแทนคือผู้ชายที่เธอรัก ทั้งๆ ที่เพิ่งกลับมาจากหาผู้ชายอีกคน และอีกอย่างเธอเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าสงสารเขาก็เอาไว้เอง ตอนนี้ฉันเอาเขาไว้แล้วเธอจะมาทวงคืนอีกทำไม”
เบญจากับวายุที่รักกันมาหลายปี จนในที่สุดตัดสินใจจะแต่งงานกัน แต่แม่ของทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบอีกฝ่าย ทำให้ในวันเจรจาสู่ขอล่มไม่เป็นท่า... “พวกเราลองทำอย่างที่ท่านต้องการดูไหมคะ” “ห๊ะ! คุณว่าอะไรนะ...ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม” วายุถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “ไม่หรอกค่ะ เบญคิดอย่างนั้นจริงๆ แม่เบญไม่ชอบคุณ และแม่คุณเองก็...รังเกียจเบญ” ท้ายประโยคน้ำเสียงของหญิงสาวสั่นเครือจนคนฟังใจไม่ดี “ผมขอโทษแทนท่านด้วย ผมรู้ว่าท่านพูดแรงเกินไป” แต่วายุก็ไม่รู้จะพูดอะไรที่มันดูดีกว่านี้ “แต่มันคือเรื่องจริง เรื่องจริงที่ฉันฟังแล้วถึงกับหน้าชา” เบญจาหัวเราะขืนๆ ปาดน้ำตาที่รื่นขึ้นมา ก่อนจะพูดต่อ “เบญรู้ว่าท่านไม่ชอบเบญ แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้...แปดเปื้อนวงศ์ตระกูล” คราวนี้หญิงสาวถึงกลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ปล่อยเสียงสะอื้นออกมาจนวายุตกใจ “เบญ...ผมจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้” “ไม่ต้องหรอกค่ะ เบญไม่เป็นไร คุณอยู่ที่นั่นดีแล้ว ต่างคนต่างอยู่สักพัก บางทีอะไรๆ มันอาจจะเป็นไปในทางที่ดี” เบญจารีบห้าม ไม่อย่างนั้นเชื่อได้เลยว่าวายุมาหาเธอจริงๆ แน่ “คุณต้องการอย่างนั้นเหรอ” วายุครางถามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “บางทีสิ่งที่ท่านเลือกให้มันอาจจะดีก็ได้นะคะ”
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
เว่ยเว่ย นักศึกษาฝึกงานทะลุมิติ เว่ยเว่ยขับเวสป้าตกเหว แต่ดันทะลุมิติตกน้ำอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ที่กำลังหาปลาอยู่ที่บึงน้ำ ลู่เหวินเยียนอาศัยกับมารดาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขา บิดาเสียชีวิตในสนามรบ เขามักจะออกไปล่าสัตว์ป่ามาขาย วันนี้เขามาดูกับดักปลาและบังเอิญเห็นบางสิ่งตกลงมาจากฟ้าต่อหน้าต่อตาเขา คำเตือน นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่ง บุคคล สถาน องค์กรและเนื้อเรื่องทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ทางปัญญาตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ.2537และเพิ่มเติมพ.ศ.2538 ห้ามทำการคัดลอก หรือดัดแปลงเนื้อหาของนิยายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่เป็นผู้แต่งเป็นลายลักษณ์อักษร
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เสียงกระเส่าในยามค่ำคืน ไม่ได้มีแค่เสียงเดียวแต่มีถึงหลายคน สตรีนางน้อยที่อยู่บนเตียงหันมองสตรีที่จูบแม่ทัพปีศาจ นางพึ่งจะเป็นมือใหม่ที่ใหม่จนไม่กล้าทำสิ่งใด ได้แต่มองเขาเสพสมสตรีอื่นต่อหน้านาง เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังไม่หยุด ยิ่งทำให้นางประสาทเสีย หากแต่ว่าหากนางยังนิ่งมองอยู่เช่นนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้จะไม่มีที่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดเลยสิจะรออะไร ใช่ว่านางจะทำไม่เป็นเสียหน่อย
เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง ฟู่หนานเซียวก็ขจัดความหวาดระแวงและความเย่อหยิ่งให้หมดแล้ว และกอดเมิ่งชิงหนิงอย่างแน่น "กลับมาอยู่กับผมดีมั้ย?" เธอเคยเป็นเลขาของเขา และเป็นคู่นอนของเขาในตอนกลางคืนด้วย ใช้ชีวิตแบบนี้กินเวลาสามปี เมิ่งชิงหนิงทำตามที่เขาบอกโดยตลอด ราวกับสัตว์เลี้ยงที่ว่าง่าย จนกระทั่งฟู่หนานเซียวประกาศว่าเขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น เธอจึงตัดสินใจให้พ้นจากความรักที่ไร้ค่าของตนเองและเตรียมจะจากไป แต่ใครจะไปรู้ว่า มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพัวพันของเขา การตั้งครรภ์ของเธอ และความโลภของแม่เธอค่อยๆ ผลักเธอลงสู่นรก สุดท้ายก็โดนทรมานอย่างหนัก เมื่อเธอกลับมาในอีกห้าปีต่อมา เธอก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่งห้าปี
หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจียงหว่านฉือตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทีแรกเธอยังคิดว่าสามีของเธอที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสามปีนั้นมาที่นี่เพื่อดูอาการของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่า ชายคนนั้นกลับเดินไปที่ห้องผู้ป่วยข้างๆ เพื่อดูแลผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขายังต้องการส่งเธอเข้าคุกด้วย "2500 ล้าน เพื่อแลกกับการตบผู้หญิงของคุณหนึ่งฉาด"เจียงหว่านฉือมองไปที่เขาอย่างเย็นชา "เราหย่ากันเถอะ"" เธอรับใช้เขาอย่างอดทนมาเป็นเวลาตั้งสามปี ตอนนี้ เธอขอไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจะกลับไปสืบทอดมรดกมหาศาลของตระกูล