“ระหว่างกูกับความถูกต้อง มึงจะเลือกอะไร” “ผมเลือกความถูกต้อง และก็จะเอาคุณด้วย”
กาลครั้งหนึ่งมีราชสีห์เจ้าป่าที่พลาดท่าติดบ่วงของนายพราน
ทว่ากลับมีเจ้าหนูแสนดีบังเอิญมาพบเลยช่วยปลดปล่อยราชสีห์จากพันธนาการ
เเต่! แต่! เเต่!
เจ้าหนูตัวนี้คงไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่า อย่าปล่อยเสือเข้าป่า มิเช่นนั้นมันจะนำพาหายนะมาให้
.
.
.
.
.
.
“ฮ่าๆ มึงนี่มันโคตรโง่เลยวะ ไม่ยอมอ่านสัญญาเอง แล้วยังมีหน้ามาว่ากูเอาเปรียบ กูให้เวลาอีกสองวันถ้ามึงไม่ย้ายออก มึงจะได้เป็นผีเฝ้าที่ตรงนั้นแหละ ไอ้โง่เอ้ย!”เสียงชายหน้าคมเข้มคุยโทรศัพท์ดังลั่นห้องทำงานใหญ่ กลางชุดสูทดำที่ถูกเปิดโล่งเพื่อความสะดวก เผยให้เห็นกล้ามอกอันหนักแน่นที่ถูกประดับประดาสวยงามด้วยรอยสักคำว่า“GREEDY”(ความโลภ) เป็นคำที่มีความหมายตรงตัวและเหมาะสมกับเขาเป็นที่สุด
“ท่านเมธีคะ”หญิงสาวผมบลอนด์ในชุดเดรสแดงพร้อมปากสีแดงจัดเป็นเงา เดินเข้ามาสู่สายตาหน้ากลัวของชายหนุ่ม
“มีอะไรเจนิเฟอร์!”นักธุรกิจหนุ่มขมวดคิ้วทำท่าทีไม่สบอารมณ์ใส่หญิงสาวตรงหน้า ต่างกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแสนน่ากลัวเมื่อสักครู่
“ดิฉัน อยากจะ ขอลาพักร้อนนะคะ”หญิงสาวพูดร้องขอด้วยท่าทางตะกุกตะกัก ไม่กล้าสู้สายตาสีมรกตที่กำลังก้าวเดินเข้าหาเธอ ทุกก้าวที่ย่างกราย ทำเอาหัวใจของหญิงสาวสั่นไหวราวกับจะถูกอีกฝ่ายควักออกไปทั้งเป็น
“คำขอของเธอขึ้นอยู่กับว่าเธอจะทำให้ฉันสนุกได้มากแค่ไหน คืนนี้ไปเจอฉันที่ห้อง”มือหนาสากลูบไล้ใบหน้าแสนสวยของหญิงสาว แล้วบีบเข้าไปยังแก้มสีอิฐอ่อน ก่อนจะเอื้อมหน้าเข้าใกล้อย่างสนใจในร่างกายของเธอ สิ้นกิริยาชวนขนลุก เขาก็ติดกระดุมจนครบทุกเม็ดแล้วเดินออกไปจากห้องกว้าง หลงเหลือแค่ใบหน้าถอดสีกับร่างเรียวบางที่ตอนนี้กำลังวิตกกังวลและครุ่นคิดเป็นอย่างหนักว่าจะยอมรับเงื่อนไขของปีศาจตนนี้ดีไหม เพราะเธอเองก็รู้ดีว่าถ้าหากทำให้อีกฝ่ายเพลิดเพลินไม่ได้ จะมีจุดจบยังไง
ขณะเดียวกันนั้น ที่บริษัทใหญ่ชั้นล่างของชายนักธุรกิจ
กรึบ! ประตูเลื่อนอัตโนมัติเริ่มทำงาน แผ่นกระจกใสสองบานเบิกกว้าง เปิดเส้นทางให้เด็กหนุ่มร่างสูงสัญจรผ่านไป เขาก้าวเดินต่ออย่างไม่ลดละ ผ่านพ้นผู้คนมากมาย จนมาถึงแผนกบุคคลซึ่งเป็นเป้าหมาย ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าพนักงานผู้ดูแล
“ผมมาสมัครงานครับ”หนุ่มน้อยหน้าตายในชุดสูทขาเขิน แม้เขาจะไม่ชอบใส่เสื้อผ้าที่เป็นพิธีแต่ก็ต้องฝืนทนเพื่องานพิเศษที่อยากทำ เด็กหนุ่มยื่นใบสมัครพร้อมประวัติส่วนตัวให้พนักงานสาว หลังจากนั้นก็ค่อยๆฉีกยิ้มกว้างส่งไปหาเธอ ซึ่งภายในใจของเขาไม่เชื่อว่าวิธีการยิ้มที่พี่ชายแนะนำมานี้มันจะได้ผล แต่ลองดูสักหน่อยก็คงไม่มีอะไรเสียหาย...อย่างมากก็แค่เสียหน้า
“เอ่อ...เป็นอะไรหรือเปล่าคะสีหน้าคุณดูไม่ดี...”
“ป่าวครับ ผมสบายดี”เด็กหนุ่มหุบยิ้มทันทีโดยไม่รีรอให้หญิงสาวพูดจบ ดูเหมือนว่าวิธีที่พี่ชายแนะนำมาจะใช้ไม่ได้ผลตามที่เขาคาดไว้
พนักงานสาวพยักหน้าน้อมรับแม้จะไม่เข้าใจ แต่ด้วยหน้าที่ เธอจึงรีบดูใบสมัครสลับกับประวัติส่วนตัวของอีกฝ่าย พิจารณาสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับเขา
“คุณปานตะวันใช่ไหมคะ ประวัติคุณดีมากเลยนะคะ ไอคิวคุณสูงมาก! สูงถึง250 เกรดการเรียนก็4.00ตลอด สมรรถนะร่างกายก็ดีเยี่ยม ไม่มีข้อบกพร่องเลยสักนิด” ประโยคคำชมที่บ่งบอกถึงข้อดีมากมายของเด็กหนุ่ม ซึ่งถ้าไม่รับเขาเข้าทำงาน บริษัทนี้คงอดได้คนเก่งมากความสามารถไป ประกายแห่งความหวังได้เริ่มจุดขึ้นในหัวใจของปานตะวัน
“แต่ขอโทษนะคะคุณปานตะวัน ทางบริษัทของเราไม่รับพนักงานที่อายุต่ำกว่ายี่สิบปีค่ะ” แม้ตะวันจะครบเครื่องในทุกด้านและเป็นการยากที่ใครจะปฏิเสธ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านวัยวุฒิ ทำให้นายตะวันต้องอดได้งานนี้ไปตามระเบียบ
“แต่ผมพร้อมทำงานแล้วนะครับ ผมทำได้ทุกอย่างเลย!”ตะวันแสดงความมุ่งมั่นเป็นครั้งสุดท้าย ถึงมันจะดูออกไปทางดื้อด้านซะมากกว่า เขาอยากได้งานนี้มาก แต่ถึงจะมากขนาดไหน มันก็ไม่อาจทำให้พนักงานเปลี่ยนกฎของบริษัทเพื่อรับเขาเข้าทำงานได้อยู่ดี ประกายแสงสว่างแห่งความหวังค่อยๆดับลงภายใต้ใบหน้าที่เยือกเย็นของเด็กหนุ่ม
“เชิญค่ะ”พนักงานผายมือไปทางเดิมที่ตะวันผ่านมา มืออีกข้างของเธอก็ขยำใบสมัครแล้วโยนมันทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใยดี ก่อนจะใช้หางตาชำเลืองมองไปยังตะวัน ทำตัวราวกับอยู่กันคนละชั้นกับเด็กหนุ่ม เธอเดินไปคุยโทรศัพท์ต่อ ไม่สนใจอีกฝ่ายที่นั่งมองการกระทำทั้งหมด
ตะวันเดินคอตกเข้าไปเก็บประวัติของเขาที่ถูกโยนทิ้งอย่างไร้ค่าขึ้นมา สุดท้ายแม้จะถูกกระทำราวกับอากาศธาตุ เขาก็เลือกที่จะกลับไปนั่งรอพนักงานคนนั้นดังเดิม
“อ้าว! นี่คุณยังไม่ไปอีกเหรอ ก็บอกไปแล้วไงว่าเราไม่รับ จะไปไหนก็ไป”พนักงานสาวพูดไล่ทันทีที่คุยโทรศัพท์เสร็จ ทางตะวันก็ยังคงนั่งจ้องหน้าไม่ไปไหน ก่อนจะเอ่ยความลับที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับต้องสั่นกลัว
ตึกตักตึกตักตึกตัก!(เสียงหัวใจของพนักงานสาว)
“คุณช่วยแนะนำหน่อยได้ไหม ว่าผมต้องนอนกับใครถึงจะได้เข้ามาทำงานที่นี่ ใช่คุณxxxคนที่คุยด้วยเมื่อกี้หรือเปล่า”สิ้นคำพูดของเด็กหนุ่ม เขาก็ลุกขึ้นพร้อมใช้หางตาชำเลืองมองกลับไปยังพนักงานสาวเหมือนกับที่เขาถูกกระทำ อีกหนึ่งความสามารถของนายปานตะวันที่เขาไม่ได้กรอกใส่ใบสมัคร คือเขามีหูที่ดีกว่าคนทั่วไปหลายล้านเท่า จึงได้ยินทุกการสนทนาหรือแม้แต่เสียงหัวใจที่เปลี่ยนไปของพนักงานคนนั้น ถึงจะเป็นการเสียมารยาท แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมีมารยาทกับคนที่ไม่มีมารยาทกับเราก่อน การมาสมัครงานในครั้งนี้ ทำให้ตะวันตระหนักได้ทันทีว่า การจะได้ในสิ่งที่ต้องการมานั้น ใช้แค่ความสามารถและวิธีการที่ถูกต้อง...มันคงไม่พอ
กรึบ! เสียงประตูอัตโนมัติเปิดให้ตะวันผ่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นและประกายเพลิงแห่งความหวังมันได้ดับสูญไปจากจิตใจของเขาเป็นที่เรียบร้อย
“บ้าเอ้ย!”ตะวันสบถดังลั่นหน้าบริษัท พร้อมกับขย้ำประวัติของตนที่อุตส่าห์เก็บมาจนยับยู่ยี่แทบจะขาดเป็นชิ้นๆ ก่อนจะขว้างมันทิ้งไป ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นมาทั้งหมด ทว่ามันดันไปโดนรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลเข้าอย่างไม่ได้เจตนา
ตี๊ด! ตี๊ด! ในทันใดนั้นเสียงรถหรูสีดำคันนั้นก็ดังขึ้น
“ซวยแล้วไง! วันนี้เป็นวันเชี้ยอะไรวะ!”ตะวันสบถคำหยาบออกจากปาก ซึ่งปกติมันเป็นพฤติกรรมที่หาได้ยากจากชายคนนี้ คงเพราะความเกรี้ยวกราดทะยานสูงจนทะลุเพดานความอดทน ทำให้ตะวันเริ่มควบคุมสติตัวเองไม่ค่อยอยู่
ตี๊ด! ตี๊ด!
ถึงอย่างนั้นเสียงที่ดังมาก็ไม่หยุดสักที
ตี๊ด! ตี๊ด!
มันดังเป็นจังหวะที่แปลกไปจากรถทั่วไป
ตี๊ด! ตี๊ด!
เสียงแบบนี้มันไม่ใช่เสียงสัญญาณกันขโมยของตัวรถแน่นอน เพราะถ้าเทียบกันจริงๆแล้ว เสียงมันเบาผิดปกติ ซึ่งน่าจะมีแค่ตะวันเท่านั้นที่จะได้ยิน
ตะวันจ้องเขม็งรถคันนั้นด้วยความสงสัย แต่ไม่กล้าเข้าไปดูเพราะไม่รู้ว่ารถคันนั้นเป็นของใคร แล้วทำไมมันถึงส่งเสียงแบบนั้น เด็กหนุ่มทำได้แค่ยืนมองรถคันนั้นไม่ทิ้งห่างไปไหน ทำให้เขาไม่ทันระว...
“เกะกะ!” ชายหนุ่มร่างใหญ่เดินชนไหล่ผ่านตะวันไป เขาหมายมุ่งจะขึ้นรถคันนั้นด้วยความเร่งรีบ โดยไม่ดูลู่ดูทางเเละไม่แม้จะหันกลับมาขอโทษเลยสักคำ
“เดี๋ยวก่อนครับ!”ตะวันรีบคว้าแขนอีกฝ่ายห้ามไม่ให้ไปจากเขาทันทีที่เขาได้ยินเสียงรถที่เริ่มแปลกไป
ตูม!
แรงระเบิดอัดกระเเทกชายทั้งสองให้ล้มลงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ประจวบเหมาะกับเสี้ยววินาทีที่ตะวันดึงอีกฝ่ายเข้ามาประชั้นชิด ทำให้ตอนนี้ตะวันถูกชายคนนั้นนอนซบอยู่กลางอกพร้อมกับแขนที่โอบล้อมตามสัญชาตญาณ เป็นการปกป้องไม่ให้อีกฝ่ายได้รับอันตราย
ช่วงเวลาหลังจากรถคันนั้นระเบิดได้ไม่นานนัก เด็กหนุ่มตัวสูงโปร่งฟื้นคืนสติกลับมาก่อนเป็นคนแรก ตะวันรีบหันกลับมาดูคนในอ้อมกอดทันที เขาพบว่าชายผู้ไร้มารยาทยังคงนอนหายใจอยู่บนตัวเขา กลิ่นน้ำหอมเบาบางล่องลอยกระทบจมูกของเด็กหนุ่ม สอดแทรกเสียงหัวใจและไอเย็นจากร่างหนาของอีกฝ่าย ใบหน้าแสนคมเข้มที่ยากจะละทิ้งการจ้องมองนั้น มันทำให้ปานตะวันจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกของความรู้สึกอันยากเกินกว่าจะพรรณนา
ทันใดนั้น ฉากโรแมนติกดั่งละครหลังข่าวในพระราชสำนักก็ได้จบลง เมื่อดวงตาสีมรกตสุดน่ากลัวเบิกกว้าง ฉุดกระชากปานตะวันให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ณ ห้วงเวลาที่เชื่องช้าประดุจถูกหยุดไว้ ข้อมูลมากมายของอีกฝ่ายก็เริ่มหลั่งไหลย้อนเข้ามาในหัว ตะวันรู้ได้ทันทีว่า ชายคนนี้เเหละคือเป้าหมายของเขา
เมื่อชายผู้ไร้มารยาทฟื้นคืนสติ เขาเริ่มพยายามดิ้นรนให้พ้นพันธนาการจากวงแขน รีบลุกขึ้นปัดตัวพรางหันไปมองยังกองเพลิง ไม่สนใจชายที่นอนอยู่เบื้องล่างเลยสักนิด
“คุณเป็นอะไรไหม”ตะวันไตร่ถามทันทีที่ลุกขึ้นมาได้ ก่อนจะหันกลับมาตรวจสอบร่างกายตนเอง
“ไม่”
“เห้อ! โชคดีไป”ตะวันถอนหายใจดัง เพราะเขาคงต้องเสียใจมากแน่ๆ หากช่วยชีวิตอีกฝ่ายไว้ไม่ได้
“ล้านหนึ่ง เเล้วทำเป็นว่าเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น”ชายหนุ่มหันมายื่นข้อเสนอ สีหน้าและคำพูดของเขาช่างเย็นชาไม่แยแสเเม้กระทั้งคนที่พึ่งจะช่วยชีวิตตัวเองไว้
“อะไรนะ!?”คิ้วสองข้างของตะวันพุ่งเข้าจรดกันแล้วรีบหันหน้ามองมายังอีกฝ่ายทันที
“หูหนวกหรือไงวะ”
“เเค่พูดว่าขอบคุณมันยากนักเหรอครับ หรือคุณกลัวจะมีเหรียญออกมาจากปากแดงแดงนั่น”
“ก็จะจ่ายแทนคำขอบคุณอยู่นี่ไง ไอ้เด็กสี่ตาสีผมประหลาด”
ต่างฝ่ายต่างต่อล้อต่อเถียงกันไม่ลดละ จากสีหน้าเฉยเมยของบุรุษทั้งสอง แปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจจนเห็นได้ชัด อารมณ์ที่รุนแรงผ่านดวงตาสีขจีเข้ม เข้าปะทะกับดวงตาสีพิลึกอันอยู่เหนือกว่า
“หรือจะเอาเป็นอย่างอื่น ตำแหน่งเหรอ? ที่ดินไหม? หรืออะไรดี อะไรที่ชาตินี้คนอย่างมึงไม่มีวันหามาได้ กูจะเอามันมากองอยู่ตรงหน้าให้ แค่อย่าเสนอหน้าเสร่อๆมาให้กูเห็นอีกตลอดชีวิต”ชายหนุ่มก้าวเดินเข้าหาตะวันด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว พร้อมกับคำพูดเย้ายวนชวนบาทา ให้มาประทับอยู่บนหน้าซะเหลือเกิน
“ผมไม่สนใจข้อเสนอ ของไอ้ปีศาจโลภมากอย่างคุณหรอกครับ คุณเมธี!”ตะวันกดความโกรธไว้ใต้รองเท้า ก่อนจะเดินเข้าประจันหน้ากับอีกฝ่าย แม้ชายหนุ่มตรงหน้าจะมีร่างกายแข็งแรงกำยำกว่าเขา แต่เรื่องส่วนสูงทางตะวันกลับกินขาด
“ก็ดี อย่ามาทวงบุญคุณทีหลังแล้วกัน” เมธีเดินกระแทกไหล่ผ่านตะวันไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันรุนแรงมากกว่าครั้งก่อน คงเพราะเขาเองก็พยายามระงับโทสะไว้เช่นเดียวกัน ขณะนั้น ดวงตาสีมรกตดุร้ายของเมธีก็ได้หันกลับไปสบตาตะวันชั่วระยะ ก่อนที่ทั้งสองจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยความไม่สบอารมณ์ทั้งคู่
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะปล่อยให้คุณตายซะ”คำพูดอันโหดร้ายจากปากของเด็กหนุ่ม ที่ทั้งชีวิตเขาไม่เคยคิดจะพูดมันใส่ใคร คำพูดนั้นทำให้ชายนักธุรกิจต้องหยุดชะงักแล้วหันกลับมาสนทนาด้วยเป็นครั้งสุดท้าย
“มึงทำพลาดเองนะไอ้หนู”
เมธีหันมาชำเลืองมองด้วยหางตาเป็นนัยยะ ทิ้งรอยยิ้มมุมปากแสนชั่วร้าย ฝังมันลึกเข้าไปยังความทรงจำของเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินจากไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับปานตะวัน...
“ไม่ได้ยินเสียงหัวใจ...สงสัยคงจะเป็นปีศาจจริงๆสินะ”ตะวันพูดถึงอีกฝ่ายเพียงลำพัง
ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิด หรือเขาไม่ได้คิดอะไรเลยกันแน่ ถึงได้ไปช่วยชีวิตชายที่คนทั้งโลกต่างหวาดกลัว การกระทำของเขาในครั้งนี้ มันจะทำให้เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เฉกเช่นเจ้าหนูน่าโง่ในนิทาน...
กระผม:คนประหลาด
ขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่เสียสละเวลาเข้ามาอ่านนิยายของผมนะครับ
ขอขอบพระคุณจากใจจริง
ป.ล.หากกระผมเขียนผิด เขียนไม่ดี สามารถชี้แนะ สามารถแนะนำได้นะครับ
เพราะนักอ่านคืออาจารย์ของผม
ขอบพระคุณครับ
(ก้มกราบ🙇♂️)
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
สำหรับเขาผู้หญิงก็เป็นได้แค่ที่ระบายความใคร่ เขาไม่เคยมีความรักไม่เคยรักใคร แต่พอได้มาเจอเธอ เพื่อนของน้องสาวเขา ใจที่ด้านชากลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง…
หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจียงหว่านฉือตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทีแรกเธอยังคิดว่าสามีของเธอที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสามปีนั้นมาที่นี่เพื่อดูอาการของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่า ชายคนนั้นกลับเดินไปที่ห้องผู้ป่วยข้างๆ เพื่อดูแลผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขายังต้องการส่งเธอเข้าคุกด้วย "2500 ล้าน เพื่อแลกกับการตบผู้หญิงของคุณหนึ่งฉาด"เจียงหว่านฉือมองไปที่เขาอย่างเย็นชา "เราหย่ากันเถอะ"" เธอรับใช้เขาอย่างอดทนมาเป็นเวลาตั้งสามปี ตอนนี้ เธอขอไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจะกลับไปสืบทอดมรดกมหาศาลของตระกูล
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย