ฉางเจียอีได้พบกับบุรุษปากร้ายจอมนินทาผู้หนึ่งซึ่งทำให้นางกับเขามีเรื่องราวจนถึงกับลั่นวาจาว่าชาตินี้จะไม่เผาผีกันอีก แต่ชะตาชีวิตกลับเล่นตลกเมื่อนางต้องเข้าไปพัวพันกับเขาเพราะต้องการช่วยพี่ใหญ่ของตนเองให้รอดพ้นจากความทุกข์อันแสนสาหัส ชีวิตนี้ของนางมิใช่ต้องการสิ่งใดมาก นอกจากการใช้ชีวิตอันหรูหราในบ้านของตนเองไปจนตาย ทว่าสวรรค์กลับไม่เมตตานางเพียงนั้นเมื่อทุกอย่างผิดเพี้ยนจากความตั้งใจเพราะมีคนผู้นั้นเข้ามาเกี่ยวพันในชีวิต ให้ตายเถิดเรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่นางคิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสุขนิยม ปมไม่ซับซ้อนจบสวยงามนะคะ กราบขอบพระคุณทุกท่านมากค่ะ
“เร็วเข้าเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
ฉางเจียอีกำลังเร่งให้เสิ่นเสียนบ่าวรับใช้ของตนเองให้คลายเชือกของม้าที่ผูกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่หน้าวัดไป๋หลาง
วันนี้พ่อค้าใหญ่ฉางหลีบิดาของนางพาครอบครัวมาไหว้พระที่วัดไป๋หลางที่ผู้คนในลั่วหยางให้ความศรัทธาอย่างที่สุดเพื่อเป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่
ฉางเจียอีเพิ่งฝึกขี่ม้าได้ไม่นานจึงบังเกิดความฮึกเหิมเพราะก่อนหน้านี้นางเพียงแต่ได้ขี่ม้าวนอยู่ในสนามฝึกขี่ม้าในจวนเท่านั้น บัดนี้เมื่อได้โอกาสออกมาข้างนอกทั้งด้านหลังวัดไป๋หลางยังเป็นทุ่งกว้างเหมาะอย่างยิ่งที่นางจะได้ลองฝีมือ
บ่าวบุรุษที่เฝ้าม้าบัดนี้มีสีหน้าไม่สู้ดี เขามิได้ช่วยฉางเจียอีเพียงแต่ยืนมองเฉย ๆ เกรงว่าหากลงมือช่วยเหลือจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดและทำให้ตนเองมีความผิดจนถูกนายท่านลงโทษ
“คุณหนูอันตรายนะขอรับ”
“ข้าขี่ม้าเป็นแล้วจะอันตรายได้อย่างไร”
ฉางเจียอีถลึงตาใส่บ่าวผู้นั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาซีดเซียวไม่สู้ดีจึงเอ่ยว่า
“ไม่ต้องห่วงข้าจะพามันกลับมาให้เจ้าก่อนที่ท่านพ่อกับท่านแม่จะกลับจวน ไม่เกิดเรื่องกับเจ้าแน่นอนหรือหากเกิดเรื่องข้าก็จะออกหน้ารับแทนเจ้าเอง”
วันนี้บิดาของนางได้เข้าพบกับท่านเจ้าอาวาสแล้วปกติจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวันเพื่อสนทนาธรรม จากนั้นครอบครัวจะรับประทานอาหารเจที่วัดแล้วค่อยกลับจวน
ฉางเจียอีคิดว่าตนเองมีเวลามากพอที่จะไปขี่ม้าอย่างสบายอารมณ์และย่อมกลับมาทันเวลารับประทานอาหารอย่างแน่นอน
สาวใช้ของนางเสิ่นเสียนขี่ม้าได้คล่องกว่าฉางเจียอีนั่นเป็นเพราะบิดาของเสิ่นเสียนมีหน้าที่ดูแลม้าในของสกุลฉาง นางจึงได้ฝึกฝนมาไม่น้อย
ยามนี้สองนายบ่าวขี่ม้าเคียงกันตามเส้นทางเล็ก ๆ ระหว่างทางก็พบชาวบ้านจำนวนไม่น้อยทั้งเดินเท้าและนั่งรถม้า บ้างก็ขี่ม้ามาเพื่อไหว้พระในวันขึ้นปีใหม่
จุดหมายก็คือทุ่งกว้างหลังวัดไป๋หลางพวกเขาเพียงแต่ไปให้ถึงทางแยกข้างหน้าแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะไร้ผู้คนแล้ว
เพราะคนเริ่มมากขึ้นเสิ่นเสียนจึงหันไปบอกกับฉางเจียอีให้ระวังตัว
“ระวังนะคะคุณหนู คนเยอะมากอย่าให้ม้าตื่นตระหนก”
“ไม่เป็นไร ข้าควบคุมได้”
กล่าวยังไม่ทันขาดคำ เบื้องหน้าก็พบคนกลุ่มหนึ่งกำลังฮ้อม้าตรงมาด้วยความรวดเร็ว ฉางเจียอีคิดจะให้ม้าของตนเองหลบไปข้างทางแต่แล้วกลุ่มม้าของคนพวกนั้นกลับเบียดม้าของนางจนตื่นตระหนก
ม้าตัวใหญ่ยกสองเท้าขึ้นร้องฮี้ ฉางเจียอีเกือบจะตกลงจากหลังม้าแล้วดีที่นางทรงตัวเอาไว้ได้ทัน ทว่าหลังจากนั้นมันกลับพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วจนนางตกใจ
มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งหลบไม่ทันทำให้บางคนถึงกับล้มลงไปโชคดีที่ม้าไม่ได้เหยียบจึงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
ฉางเจียอีตกใจยิ่งนัก เพราะม้ากำลังวิ่งด้วยความเร็วที่นางไม่อาจควบคุม นางกรีดร้องอยู่บนหลังม้าไม่ได้ยินเสียงอันใดนอกจากเสียงของลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู
ฉางเจียอีคิดหาวิธีหยุดม้าทว่าสมองกลับขาวโพลนคิดสิ่งใดไม่ออก
แต่แล้วบุรุษผู้หนึ่งก็ขี่ม้ามาประชิดข้างม้าของนาง ฉางเจียอีมองเขาแวบหนึ่งคนผู้นั้นก็กระโดดมานั่งบนหลังม้าตัวเดียวกันกับนางแล้ว
แผ่นหลังของนางพลันอุ่นขึ้นมาเมื่อเขากำลังโอบรอบร่างของนางแล้วจังมือที่กำบังเหียนของนางเอาไว้
เขาร้อง ย๊า ออกมาคำหนึ่ง เริ่มบังคับม้าของนางด้วยความเชี่ยวชาญ เพียงไม่นานฝีเท้าของม้าก็ลดลงจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ ในที่สุด
ฉางเจียอีพ่นลมหายใจยาวเมื่อสักครู่นางรู้สึกว่าตนเองกำลังวิ่งเข้าสู่ความตายด้วยความเร็วที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตภาพต่าง ๆ ในอดีตผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาว่ากันว่าคนเราก่อนจะตายมักจะเห็นภาพในอดีตนางในตอนนั้นก็เห็นเป็นเช่นนั้นเช่นกัน
โชคดีที่มีคนมาช่วยเอาไว้ได้ทัน
“ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือข้า”
เขาไม่ตอบรับคำขอบคุณของนาง กลับเงียบขรึมจนฉางเจียอีประหลาดใจเขาบังคับให้ม้าหยุดเดินพร้อมกับยื่นมือทั้งโน้มตัวมาลูบแผงคอของม้าพร้อมกับกล่าวว่า
“เด็กดี”
แน่นอนว่าการกระทำนี้ของเขาทำให้นางต้องโน้มตัวตามและถูกเขารัดรึงเข้าไปในอ้อมกอด กลิ่นหอมสะอาดของเขาทำให้ฉางเจียอีรู้สึกหัวใจเต้นระรัว ช่วงหน้าอกของเขานี้ก็ช่างแข็งและกว้างให้ความรู้สึกปลอดภัยได้อย่างน่าประหลาด
นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดมาก่อน ความช่วยเหลือของเขานางย่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก
แล้วบุรุษผู้หนึ่งก็ขี่ม้าตามมาในมือของเขาจูงสายบังคับม้าอีกตัวที่บนหลังไม่มีคนขี่ตามมาด้วย
“ซื่อจื่อเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ”
คนผู้นั้นส่ายหน้าตอบน้ำเสียงราบเรียบชัดเจน
“ไม่”
บุรุษร่างสูงที่อยู่ข้างหลังนางเอ่ยหนัก ๆ ฉางเจียอีเห็นหน้าคนผู้มาใหม่ชัดเจนก็จำได้ว่าเขาคือกลุ่มคนนั้นที่เบียดม้าของนางจนทำให้ม้าตกใจ
“ที่แท้ก็พวกเดียวกัน พวกท่านทำให้ม้าของข้าตกใจจนเป็นแบบนี้”
ฉางเจียอีกล่าวโทษคนทันที โม่หนิงหลงที่นั่งอยู่ข้างหลังนางถึงกับส่ายหน้า เขาขยับตัวเล็กน้อยจากนั้นก็เหวี่ยงตัวเองลงจากหลังม้า เขายืนบนพื้นอย่างมั่นคงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนางกล่าวเสียงเย็น
“เป็นเจ้าที่ขี่ม้าไม่เป็นยังจะมากล่าวโทษผู้อื่น ตนเองผิดแท้ ๆ ยังคิดโยนความผิดให้คนอื่นอีก เห็นได้ชัดว่าคนเช่นเจ้าช่างไร้สมอง”
ฉางเจียอีถึงกับพูดไม่ออก เมื่อสักครู่นางยังรู้สึกใจเต้นกับเขาอยู่เลย บัดนี้คนผู้นี้กลับเป็นหนึ่งในตัวต้นเหตุที่ทำให้นางเกือบตายและเขาก็ยังเป็นผู้ที่ช่วยชีวิต
แต่หากไม่ใช่เพราะเขานางก็ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้ นางคิดว่าการที่เขาช่วยนางเอาไว้ย่อมนับว่าเหมาะสมแล้วไม่นับเป็นบุญคุณอันใด
“เจ้าเพิ่งขี่ม้าเป็นไม่ควรเที่ยวขี่ม้าไปทั่วเช่นนี้ เส้นทางมายังวัดไป๋หลางผู้คนพลุกพล่านและใช้ม้าและรถม้าเป็นจำนวนไม่น้อย หากเจ้าบังคับม้าไม่ได้ก็อย่ามาเที่ยวเกะกะทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน”
ฉางเจียอีจ้องเขาเขม็งจู่ ๆ ก็ถูกตำหนิและถูกต่อว่าทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นตัวต้นเหตุแท้ ๆ ก็ทำให้นางมีโทสะ
ดวงตาคมยังจ้องนางอย่างคาดโทษ บุรุษผู้นี้ใบหน้าคมคายหล่อเหลาสะดุดตา ผิวขาวเนียนละเอียด ร่างกายสูงโปร่งสง่างาม สวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มยังสวมกวานสีเงินบ่งบอกว่าเป็นคนชนชั้นสูง
ถึงจะหล่อเหลาสูงส่งแล้วอย่างไร ทำผิดอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบ
ฉางเจียอีลงจากหลังม้า ครานี้เสิ่นเสียนตามมาทันแล้วเสิ่นเสียนย่อมตระหนกเมื่อเห็นคุณหนูของตนกำลังยืนเผชิญหน้ากับคุณชายผู้หล่อเหลาผู้หนึ่งทั้งยังทำท่าจะกัดกินคนผู้นั้น
“ข้าขี่ม้ามาดี ๆ เป็นเพราะพวกท่านทำให้ม้าของข้าตื่นตระหนก มองอย่างไรก็เป็นพวกท่านที่ผิด”
โม่หนิงหลงจ้องใบหน้างามของนางแล้วส่ายหน้า เขาไม่คิดจะโต้เถียงกับสตรีที่ดื้อรั้นไม่ยอมรับผิดคนนี้แล้ว
คงอย่างที่เขาเคยได้ยินมาว่าสตรีที่งดงามมักจะไม่มีสมองนั้น นางผู้นี้เห็นจะเป็นเช่นนี้
เขาหันหลังและคิดจะเดินหนี แต่ฉางเจียอีกลับไม่ยินยอม
“ทำผิดแล้วคิดจะหนีหรือ ท่านต้องขอโทษข้าด้วย”
“ทำคุณบูชาโทษข้าน่าจะปล่อยให้เจ้าตกม้าตายไปเสีย ไม่เห็นบุญคุณก็ช่าง แต่ยังมากล่าวหาคนอื่นเช่นนี้ที่บ้านแม่นางสั่งสอนมาเช่นไร”
“นี่ท่าน”
ฉางเจียอีหัวคิ้วขมวดดวงหน้างามแดงก่ำ โกรธจนอยากกระทืบเท้า นางรีบลงจากหลังม้าคิดจะขวางเขาเอาไว้ไม่ให้หนีแล้วต่อเขาอีกสักหลายคำ ทว่าเสิ่นเสียนเข้ามาขวางหน้านางเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างร้อนรน
“คุณหนู เพราะม้าตื่นทำให้มีคนเจ็บไม่น้อยให้ทำอย่างไรเจ้าคะ”
ฉางเจียอีจ้องเขาราวกับจะกินคน
“เห็นหรือไม่ว่าเพราะท่านจึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้”
เขายกมุมปากน้อย ๆ
“ทักษะการขี่ม้าของเจ้าไม่ได้เรื่องจึงทำให้คนบาดเจ็บ ผู้ใดทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบด้วยตนเองจะมาโยนความผิดให้คนอื่นไม่ได้”
“หากพวกท่านไม่ขี่ม้าไม่ดูตาม้าตาเรือจนเบียดม้าข้าจะเกิดเรื่องเช่นนี้หรือ”
“ข้าขี่มาตามถนนและม้าของผู้อื่นก็หลบหลีกได้เป็นอย่างดี สตรีไร้สมองไร้ฝีมือเช่นเจ้าคงคิดไม่ได้กระมังว่าสมควรจะหลบอย่างไร”
เขากล่าวจบก็กระโดดขึ้นบนหลังม้าของตนเองแล้วจากไปทันใดโดยไม่แม้กระทั่งจะชายตาแลนางอีก
ฉางเจียอีได้แต่ก่นด่าเขาตามหลังด้วยโทสะ
“หน้าตาดีเสียเปล่าแต่กลับเป็นคนเช่นนี้ เพ้ย! กล้าว่าข้าไร้สมองหรือ คนบ้า ข้าขอสาปแช่งท่านให้ได้แต่งงานกับสตรีพิการตาบอด หรือไม่ก็ง่อยเปลี้ยเสียขาทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต คนบ้า!”
หลังจากคนพวกนั้นจากไปแล้ว ฉางเจียอียิ่งโมโหหนักขึ้นเมื่อตนเองต้องเสียเงินทองไปไม่น้อยเพื่อจ่ายค่าทำขวัญชาวบ้านที่ตื่นตกใจเพราะนาง
ด้วยฐานะบุตรสาวของพ่อค้าเสิ่นผู้ร่ำรวยและมีกิจการมากมายที่สุดในลั่วหยาง เงินทองของนางมีมากมายล้นฟ้าย่อมไม่คิดเสียดาย เพียงแต่นางเจ็บใจที่ต้องมาสูญเสียเงินให้กับเรื่องไร้สาระอันเกิดจากการกระทำของคนกลุ่มนั้นที่เป็นตัวต้นเรื่อง
คอยดูเถิดหากนางได้พบเขาอีกครั้ง นางไม่มีวันปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
สาเหตุที่เขาได้ดูแลเด็กคนนี้นั่นเป็นเพราะพ่อแม่ของเอยและพี่ชายของเอยเป็นเพื่อนสนิทของเขา ครอบครัวเอยจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่เอยอายุได้เพียงสิบขวบเท่านั้น ญาติของเอยก็ไม่มีใครเหลียวแลทำให้เขาซึ่งสนิทกับครอบครัวของเอยที่เห็นเอยมาตั้งแต่เล็ก ๆ เกิดความสงสารจึงได้ขอให้พ่อแม่ของเขารับเอยมาเลี้ยงดู และพ่อแม่ของเขาก็ตกลง หลังจากนั้นพ่อแม่ของเขาก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ จึงทิ้งให้เขาและเอยอยู่ด้วยกันที่เมืองไทยตามลำพัง นับตั้งแต่นั้นเขาก็กลายเป็นพี่ชายของเอยเต็มตัว แต่วันนี้เมื่อเอยโตขึ้น เธอกลับไม่เห็นบุญคุณและคิดจะจากเขาไปง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่นับวันเขาจะรักเธอจนกระทั่งถอนตัวไม่ขึ้นและเฝ้ารอเธอเติบโตมานานขนาดนี้ ++++++ “อ๊า...เฮียอย่านะ อย่าทำหนู” สาวน้อยส่งเสียงครางเล็ดลอดออกมาเพราะความเสียวซ่าน และเอ่ยห้ามแต่น้ำเสียงของเธอคล้ายกระตุ้นเขายิ่งขึ้นไปอีก “เอยอยากใช่หรือเปล่า หนูก็ต้องการเฮียใช่ไหม” “ไม่...อย่านะเฮีย หนูไม่ได้ต้องการเฮีย เฮียเป็นพี่ชายหนูนะ” “ต่อไปเฮียจะเป็นผัวหนู แล้วจะเอาหนูแรง ๆ ให้หนูไปไหนไม่ได้ต้องร้องหาเฮียเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้เอยหวาดกลัว แต่ในความรู้สึกนี้กลับมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างประหลาด หญิงสาวผลักเขาออกเมื่อธนเดชดึงชุดนอนของเธอจนขาด แต่แรงของเขามีมากกว่าตอนนี้เธอจึงยืนเปลือยต่อหน้าเขา เอยยืนน้ำตาไหลพราก เมื่อเขาเห็นเขาจึงเหยียดยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ “ฉันเกลียดแก อื้อ อื้อ”
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
เซียวหนานอยู่ในระดับต่ำสุดขององค์กรลับที่แผ่ขยายสายข่าวไปทุกแว่นแคว้น นางเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาที่ถูกเก็บมาให้เป็น นกกระจอกสืบข่าว เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นที่วรยุทธ์ต่ำต้อยและต้องทำงานเอาตัวเข้าแลกเพื่อหาข่าวให้กับเบื้องบน ดังนั้นนกกระจอกเช่นนางจึงมีมากมายแทรกซึมเข้าไปในจวนขุนนางต่าง ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สิ่งที่นางฝึกฝนมาตลอดหลายปีมานี้ก็คือการเอาใจบุรุษ บำรุงร่างกาย ฝึกฝนศาสตร์ทั้งห้าให้เชี่ยวชาญ และฝึกวิชาเสพสังวาสให้บุรุษติดใจ แม้ว่าจะไม่เคยทำกับบุรุษจริง ๆ แต่ขนาดของแท่งหยกของบุรุษนางล้วนได้สัมผัสมาแล้วจากแท่งหยกของเทียมและแท่งหยกบุรุษของจริงที่นางไม่เคยเห็นหน้าว่าคนพวกนั้นคือผู้ใด เพราะพวกนางต้องมอบกายให้กับเหยื่อคนแรกที่นับว่าส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่อาจร่วมประเวณีกับบุรุษอื่นก่อนที่จะได้รับมอบเหยื่อจากนายใหญ่
องค์หญิงใหญ่รั่วเสียน ต้องปกป้องบัลลังก์ของน้องชายที่ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียงแค่ 4 ขวบ ดังนั้นนางจึงต้องหาทางมัดใจเสนาบดีกัวผู้กุมอำนาจราชสำนักเอาไว้ให้ได้ ทว่าบุรุษผู้นี้กลับไม่ต้องการแต่งงานกับนาง เขายังทำตัวดั่งบิดาหาบุรุษไว้ให้นางอีก รั่วเสียนจึงต้องฝึกฝนการยั่วยวนเขาเพื่อหาวิธีมัดใจบุรุษผู้นี้เอาไว้ให้ได้ และนางก็ต้องตกใจเมื่อเสนาบดีกัวกลับมีถึงสองคน! +++ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายจีนโบราณประเภทนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ เป็นเรื่องแต่งขึ้นจากจินตนาการไม่ได้อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ใด ๆ ดังนั้นภายในจะมีฉาก เนื้อหา เน้นหนักที่เรื่องเพศระหว่างชายหญิง มีการร่วมรักกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป (3P) และอาจมีความไม่สมเหตุสมผลบ้าง ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
คำโปรย หลังจากบิดามารดาเสียชีวิต จูเมยได้ถูกท่านอาบุญธรรมรับเลี้ยง ท่านอาผู้เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและเมตตา ได้กลายเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งในชีวิตนาง หัวใจที่อ่อนโยนของจูเมยเริ่มเต้นแรงเมื่ออยู่ใกล้ท่านอา แต่ท่านอาคิดอย่างไรกับนางกันแน่? หรือว่าความรักนี้เป็นเพียงความรู้สึกที่นางมีอยู่เพียงฝ่ายเดียว? เมื่อหัวใจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน จูเมยกลับรู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึกนี้ "ท่านอา...อย่าดีต่อข้ามากนักได้หรือไม่" นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักจีนโบราณ มีดราม่าเล็กน้อยช่วงเริ่มต้น จบสุขนิยม ไม่มีนอกกายนอกใจ เป็นความรักฟิน ๆ ระหว่างท่านอาและหลานสาว(บุญธรรม)ตัวน้อยของตนเอง
เรื่องย่อ จื่อเม่ยเป็นนักเขียน และได้เข้าไปอยู่ในนิยายที่ตัวเขียนเขียนเอาไว้ในฐานะตัวประกอบในนิยายที่ออกมาเพียงสองตอนก็ตาย นางถูกตัวร้ายกักขังเอาไว้ในจวน เจื่อเม่ยรู้ว่าเขาต้องตายและจำทำให้นางตายไปด้วย นางจึงต้องหาวิธีหนีจากเขาเพื่อเอาตัวรอด! นิยายเรื่องนี้เป็นแบบสุขนิยมนะคะ พระเอกจะธงแดงในตอนแรก ๆ เพราะนางเป็นตัวร้ายตามเนื้อเรื่องนะคะ หลังจากนั้นก็รักเมียที่สุดในโลกค่ะ ไม่มีนอกกายนอกใจค่ะ แนะนำตัวละคร จื่อเม่ย นักเขียนที่ย้อนไปอยู่ในโลกนิยายในร่างของอนุจื่ออิน จื่ออิน อนุของตัวร้ายที่ออกมาแค่สองตอนก็ตาย และคนที่จื่อเม่ยมาใช้ร่างกาย ซีเฉิน / องค์ชายสี่ /ซีอ๋อง ตัวร้ายที่ต้องตายในตอนจบ ซีหลาน บุตรชายอายุ 5 ขวบของตัวร้าย รั่วหนิง พระชายาที่ซีเฉินไม่เคยเหลียวแล เหล่าหลง และ เหล่าอี้ องครักษ์ฝาแฝดของซีเฉิน ผู้จงรักภักดี ซีกุ้ยเฟย แม่ของซีเฉิน นางมีความแค้นที่ฝ่าบาทเคยทอดทิ้ง จึงคิดจะแก้แค้นทุกคนและสั่งสอนให้ซีเฉินบุตรชายชิงบัลลังก์ หยางโจวซือ / องค์ชายหก / หยางอ๋อง พระเอกของเรื่องที่จื่อเม่ยวางเอาไว้ในนิยาย
เจียงซุ่ยแต่งงานกับยู่จินเฉินมาเป็นเวลาสามปี เธอยอมทำงานบ้านทุกอย่างเพื่อเขา ทั้งซักผ้า ทำอาหาร และถูพื้น แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้หัวใจของเขาสลายลงได้ เธอเริ่มตระหนักและตัดสินใจหย่ากับผู้ชายที่เธอรักสุดหัวใจมาเป็นเวลาสามปี เพื่อให้เขาได้ไปอยู่กับผู้หญิงที่เขารักจริง หลังจากที่เธอหย่าแล้ว คนในแวดวงไฮโซล้วนรอดูเรื่องตลกของเธอและล้อเล่นกับเธอว่า"เจียงซุ่ย ทำไมถึงหย่ากับคุณยู่น่ะ" เจียงซุ่ยยิ้ม"เพราะฉันจะกลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลไง ผู้ชายอย่างเขาไม่คู่ควรกับฉันหรอก" อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอ วันรุ่งขึ้น ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลกปรากฏตัวในข่าวและกลายเป็นว่าเป็นภรรยาเก่าขอยู่จินเฉินด้วย ทุกคนล้วนตกตะลึงไปหมด เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้งหลังจากการหย่าร้าง ยู่จินเฉินมองไปที่ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดคนนั้นซึ่งกำลังถูกรายล้อมไปด้วยหนุ่มหล่อไฮโซมากมาย ใบหน้าของเขาก็มืดมนลงทันที "คุณเจียง คุณรวยขนาดนี้ ควรหาแฟนที่มีฐานะเสมอกันสิ อย่างผมนี่ ผมยอมให้ทุกอย่างที่ผมมีให้คุณนะ"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี
ในคืนวันเกิดอายุยี่สิบสองปี ลี่เฉี่ยนโลว่ถูกแฟนหนุ่มวางยา และไปมีอะไรกันกับซือจิ้นเหิง ผู้ชายลึกลับคนหนึ่งตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นเธอพบว่าครอบครัวเธอถูกทำลายจนไม่มีอะไรเหลือ เธอแต่งงานกับจิ้นเหิง ได้รับการคุ้มครองจากเขา และใช้เขาเพื่อแก้แค้น "ฉันเป็นภรรยาที่ถูกกฎหมายของเขา" แม้ว่าแม่สามีของเธอจะไม่ยอมรับ แม้ว่าแฟนสาวที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาจะตามมาอยู่ด้วยกัน เธอก็ยังคงยืนยันอยู่อย่างนั้น เธอแท้งโดยบังเอิญ แต่เขากลับเข้าใจผิดว่าเธอไม่อยากมีลูกกับเขา และด้วยความเข้าใจผิดต่าง ๆ อีกหลายหย่าง เธอเลือกที่จะกระโดดลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย หลายปีต่อมา เมื่อเธอกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เขาถึงกับตกตะลึง ชายคนนี้ได้สิ่งที่ต้องการจากเธอแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังรังควานและทรมานเธอต่อไป
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง