พระเอกซึ่งเป็นหมอเจ้าของโรงพยาบาล และ เป็นมาเฟีย เขาถูกบังคับให้หมั้นกับนางเอก เธอเป็นนักเขียนนิยายอยู่ในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อนแล้ว
สำนักพิมพ์ you and me
แทนขับรถยนต์หรูสีขาวเข้ามาจอดหน้าสำนักพิมพ์ you and me หลังจากขับรถออกมาจากงานแต่งมิลินใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็มาถึงซึ่งเวลาในขณะนี้สองทุ่มครึ่ง
" ขอบใจอีแทนที่มาส่ง" หวานกล่าวขอบคุณเพื่อนรักด้วยสีหน้าวิตก ทีแรกเธอกะจะขับรถกลับมาก่อนแต่แทนขออาสาขับมาส่งเพราะทั้งคู่ตอนไปก็ไปด้วยกันอีกอย่างแทนเองก็เป็นห่วงเธอที่ขับรถกลับดึก ๆ มันอันตราย
" เออ เลิกทำหน้างั้นได้แล้วเดี๋ยวหน้าก็เหี่ยวหรอก "
" อีแทนมึงนี่ปากหมา ฉันเครียดอยู่นะ!! "
" เออ ๆ ๆ ขอโทษไปได้แล้วกูรอที่รถ "
" ขึ้นไปด้วยกันไหม ?"
" อยากให้ขึ้น? "แทนเลิกคิ้้วถามอย่างกวนประสาทเพื่อนสาว
" อือ ฉันกลัวร้องไห้แล้วไม่มีใครปลอบ " หวานก้มหน้าตอบอย่างเศร้าใจและเธอยังกังวลกับเรื่องงานอีก
" อือก็ไป ไม่อยากเห็นคนแถวนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่ง เออแล้วก็เลิกได้แล้วนะไอ้ขี้แงเวลาแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เนี่ยหัดลองนั่งนิ่ง ๆ แล้วลองคิดหาวิธีแก้ปัญหาอื่นแทนการมานั่งร้องไห้ ปกติมึงก็ดูเข้มแข็งนะ "
" แกไม่ได้ด่าฉันใช่ไหม ?"
" กูแนะนำมึงไม่ใช่ด่า อย่าทำตัวโง่!"
"อีแทน!! "หวานแหวใส่เพื่อนรักทันทีอย่างไม่สบอารมณ์กับคำด่าของเพื่อนรัก
" รีบไม่ใช่เหรอ ยังจะมามองกูอีกจะไปไหมเนี่ย! "
"อือลง" หวานตอบแทนด้วยน้ำเสียงอ่อนก่อนจะเปิดประตูรถก้าวขาเรียวเล็กลงแล้วเดินเข้าไปในสำนักพิมพ์พร้อมกับแทนเพื่อนของเธอ
"หวาน ทันทีที่ทั้งสองมาถึงแพรวเธอเป็น บก. ของสำนักพิมพ์จึงเอ่ยเรียกพร้อมกับเหลือบสายตามองชายหนุ่มที่เดินมาพร้อมกับเธออย่างสงสัยว่าเป็นใคร
" ได้เรื่องว่ายังไงบ้างคะ?"
"มิ้มได้ข้อมูลบางส่วนมาแล้วว่าคอมหวานถูกแฮก "
" แล้วรู้ไหมว่าเป็นใคร? "
" เท่าที่พี่ดูจากแหล่งที่มา มันแฮกจากสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ร้านกาแฟ XXX แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นใครต้องลองเจาะข้อมูลดูอีกที กราฟพูดขึ้นพร้อมกับหมุนโน๊ตบุ๊คมาให้ทุกคนดูภาพเส้นทางของแฮกเกอร์ "
" ค่ะ พี่กราฟ "
"หวานมีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า "แพรวเอ่ยถาม
"หวานก็ไม่รู้เหมือนกันพี่แพรว "
"พี่ว่าคนที่จ้างแฮกเกอร์เอาข้อมูลนี่ต้องเป็นคนที่ต้องการผลงานของหวานมากแน่ ๆ "
"แล้วเราพอมีวิธีไหนที่จะแจ้งความเอาผิดกับสำนักพิมพ์ฝั่งนู้นได้ไหมคะ"
" ได้จ้ะ ต้องรวบรวมข้อมูลงานเขียนของเราไว้ให้มากที่สุด "
" ก่อนอื่นมึงหาคนทำก่อนไหมอีหวาน" แทนโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ก็ยังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ ทำให้ทุกคนหันไปมองตามเสียงพูดของแทน
"เดี๋ยวพี่จะเป็นคนหาข้อมูลของแฮกเกอร์และคนทำเองครับ "
" บอกให้เฮียกูจัดการดีกว่าเร็วกว่าเยอะ " คราวนี้แทนเงยหน้าขึ้นพูดอีกครั้งพร้อมกับจ้องมองไปที่กราฟด้วยสายตาดุดันก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก เขาพอจะมองออกว่ารุ่นพี่ของหวาน นั้นคิดเกินกว่าเพื่อนร่วมงาน
" ไม่อยากรบกวน "
" นั่นสิหวานเดี๋ยวพี่ช่วยหาเองอีกอย่างงานของเราคู่แข่งเยอะ "
"มึงอยากรู้ภายในหนึ่งวัน หรือมึงจะรอ ไม่รู้ว่าจะได้วันไหนไอ้คนทำมันคงทิ้งข้อมูลให้ค้นหาได้ง่าย ๆ หรอกนะ "
" ว่าไงหวาน? " มิ้มเพื่อนของเธอถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของเธอ อือ งั้นเดี๋ยวให้คุณเทวินช่วยก็ได้ค่ะพี่กราฟ หวานกล่าวกับรุ่นพี่ด้วยสีหน้าเกรงใจเมื่อต้องปฏิเสธความช่วยเหลือ
" งั้นพี่กราฟก็ช่วยมิ้มรวบรวมข้อมูลเอาผิดพวกนั้น "
กราฟพยักหน้าตอบรับแค่นั้น ก่อนจะตวัดสายตาไม่พอใจที่ถูกขัดมองไปที่แทน แต่แทนเองก็ได้แต่แสยะยิ้มร้ายมุมปากอย่างสะใจ
" หวานรู้จักคุณเทวินด้วยเหรอ? " แพรวเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเธอไม่คิดว่าหวานจะรู้จักกับนักธุระกิจใหญ่และมีอำนาจอย่างเทวินที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงธุระกิจ
" ค่ะ คุณเทวินเป็นสามีของเพื่อนหวานเองที่แต่งงานวันนี้ "
" ว้าว ไม่คิดเลยว่าที่หวานไปงานแต่งวันนี้จะเป็นงานแต่งของคุณเทวิน " มิ้มโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หวานเธอก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ ให้เพื่อนเธอเท่านั้นก่อนจะเอ่ยขอบคุณทุกคน
" ขอบคุณทุกคนมากนะคะ "
" ไม่เป็นไรหวานยังไงเราก็ทำงานที่เดียวกัน " แพรวตอบรับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับตบไหล่หวานเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ
" แล้วนั่นใครหวาน? " เมื่อจบการสนทนาเรื่องงาน มิ้มเธอจึงเอี่ยวหน้ากระซิบถามหวานพร้อมกับเบี่ยงสายตาไปทางแทนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงเก้าอี้ข้าง ๆ หวานแวบหนึ่ง
" อ๋อเพื่อน ลืมแนะนำเลยค่ะนี่แทนเพื่อนหวานเอง "
เธอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับแทนพร้อมกับสะกิดแขนแทนให้สนใจเธอและคนอื่น ๆ ที่นั่งประชุมกันอยู่กลางห้องทำงาน เขาจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ทุกคนอย่างขอไปทีก่อนจะกับมาเล่นโทรศัพท์ต่อทำให้หวานถึงกับยิ้มแห้งให้ทุกคนทันทีที่เพื่อนเธอทำเป็นไม่สนใจ และ ทุกคนก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ---
ครืนนน ครืนนนน
ระหว่างที่เธอกำลังจะกลับบ้านหลังคุยงานเสร็จโดยมีแทนขับรถมาส่งเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น หวานจึงหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าสะพายข้างของเธอขึ้นมาเมื่อเห็นเป็นเบอร์ของผู้เป็นพ่อเธอจึงช่างใจอยู่นานแต่ก็ยังไม่กดรับสาย
" ใครโทรมาทำไมไม่รับ? "
" พ่อ "
" ก็รับสิมึงจะมัวแต่จ้องโทรศัพท์ทำไม? "
" ไม่อยากรับคงโทรมาเรื่องแต่งงาน ฉันเบื่อ " หวานพูดขึ้นด้วยสีหน้าเครียดอีกครั้งเมื่อพูดถึงเรื่องแต่งงานก่อนจะทำการปิดเครื่องโทรศัพท์โดยไม่รับสายจากนั้นจึงเก็บเข้ากระเป๋าสะพายข้างของเธอ เธอได้แต่ถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่อย่างเบื่อหน่าย
" เฮ้อออ! "
" ทำใจซะยังไงมึงก็ต้องได้แต่งอยู่ดี "
" มึงหาคำพูดดีกว่านี้ได้ไหมอีแทน! " หวานแหวใส่เพื่อนรักอย่างหงุดเหงิดอีกครั้ง
" ก็มันจริง " แทนตอบแค่นั้นจากนั้นทั้งคู่ก็เงียบจนมาถึงบ้านหวาน
" ขอบใจที่มาส่ง "
" อือ เข้าบ้านได้แล้วอย่าคิดมากแล้วแอบร้องไห้อีกล่ะ "
" ร้องแน่ " เธอทิ้งท้ายคำพูดแค่นั้นใส่เพื่อนรักอย่างไม่จริงจังนักด้วยใบหน้าอมยิ้มก่อนจะเปิดประตูก้าวขาลงจากรถและเดินเข้าบ้านแต่ก็ไม่วายที่จะเอี่ยวหลังมาโบกมือบ้ายบ่ายให้เพื่อนรักที่กำลังจะขับรถออกไป
" ฉันจะทำให้พี่เธอรู้จักการสูญเสียเหมือนที่มันทำกับพี่ชายฉัน คนทรยศ อย่างมันต้องตาย หรือการตายสำหรับมันจะง่ายไป เธอคิดว่าไงล่ะ ? " "อย่าทำอะไรพี่ชายลินเลยนะคะ "
เขาแต่งงานกับเธอเพราะผลประโยชน์ แต่เธอแต่งงานกับเขาเพราะรัก อีกทั้งพี่สาวยังเป็นแฟนเก่าของเขา....
" ถ้าฉันยังไม่เบื่อเธอก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ...นอกจากเธอจะนอนถางขาให้ฉันเอาจนกว่าฉันจะเบื่อไปเอง! "
“โดนกูเปิดบริสุทธิ์ตั้งแต่คืนเข้าหอ จนถึงตอนนี้มี คxx ของไอ้ตัวไหนกระแทกส่วนนั้นของมึงบ้างแล้วล่ะ?”
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"