“โดนกูเปิดบริสุทธิ์ตั้งแต่คืนเข้าหอ จนถึงตอนนี้มี คxx ของไอ้ตัวไหนกระแทกส่วนนั้นของมึงบ้างแล้วล่ะ?”
บทนำ
หนึ่งปีที่แล้ว
“ผมไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน นอกจากเมจิแฟนผม!” ชายหนุ่มโพล่งขึ้นเสียงดุดัน ใบหน้าอันหล่อเหลาฉายแววเกรี้ยวโกรธ นัยน์ตาคมกริบจ้องผู้เป็นพ่อตาเขม็ง
“แต่แกต้องแต่งกับลูกสาวของคุณทัศ เขามีพระคุณกับครอบครัวเรา!”
“หึ ๆ มีพระคุณ?” เจ้าของใบหน้าหล่อแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมาอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้ากวนอารมณ์ ตามด้วยประโยคอันร้ายกาจ “แต่ไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ จนต้องเอาลูกสาวมาเร่ขายเพื่อชดใช้แทนเนี่ยนะ ยัยเด็กนั่นก็คงระริกระรี้อยากแต่งงานกับผมจนตัวสั่น ถึงได้ยอมพ่อตัวเองเอาง่าย ๆ”
“หุบปากเน่า ๆ ของแกซะ! ยังไงแกก็ต้องแต่งงานกับหนูมีนา ถ้าแกยังดื้อด้าน ทุกอย่างที่เป็นของแกหรือแม้กระทั่งผู้หญิงคนนั้น ฉันจะทำลายมันทิ้งให้หมด แกเองก็รู้จักนิสัยฉันดีนะ เพราะฉะนั้นก็คิดเอาเองว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง!” ชายวัยกลางคนยื่นคำขาดด้วยถ้อยคำข่มขู่ และเมื่อจบประโยค จึงเดินหนีไปทันที ปล่อยให้ลูกชายได้ไตร่ตรองถามไถ่ตัวเอง
ฮัททสึกำหมัดแน่นจนเส้นเอ็นปูดนูนขึ้นมา พลางกัดกรามดังกรอด~ จนเห็นเป็นสันกรามเด่นชัด อารมณ์เดือดดาลภายในใจปะทุหนักกว่าเดิมเมื่อฟังประโยคของผู้เป็นพ่อ หัวใจแกร่งบีบรัดแน่นจวนปวดหนึบยามที่ต้องห่างเหินจากคนรัก หนำซ้ำยังถูกบังคับแต่งงานกับเด็กที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี คราวนี้คงจนมุมแล้วจริง ๆ หากผู้เป็นพ่อไม่ใช้คนรักเข้ามาต่อรองก็อย่าหวังว่าตนจะยอม
วันแต่งงาน (ประเทศญี่ปุ่น)
“อึก~ฮืออ~” หญิงสาวในชุดแต่งงานชิโรมุคุสีขาว สวมกอดผู้เป็นแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนักในห้องรับรองบ้านของฝ่ายเจ้าบ่าว “นา...ไม่อยากแต่งงาน...อึก~”
“แม่ขอโทษนะลูกที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย“ ฝ่ามือหยาบของผู้เป็นแม่ลูบหลังปลอบประโลมลูกสาวด้วยหัวใจที่แทบแตกสลาย ยามเห็นหัวแก้วหัวแหวนต้องเจ็บปวดร้องไห้เพราะต้องฝืนใจ” ลูกสาวของแม่เก่งอยู่แล้วเนอะ แม่เชื่อว่าทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้นนะลูกรัก“ สองมือประคองใบหน้าหวานที่เลอะเปรอะเปื้อนด้วยเม็ดน้ำตาขึ้นมา พลางใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน
แกร๊ก~
ขณะเดียวกันบานประตูก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมกับร่างใหญ่ของชายวัยกลางคน “หยุดร้องได้แล้วยัยมีนา พิธีงานแต่งใกล้เริ่มแล้ว”
“ไม่ร้องแล้วนะลูก”
หญิงสาวพยักหน้าให้ผู้เป็นแม่อย่างเข้าใจ แววตาคู่สวยเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง จากนั้นเธอจึงเดินคล้องแขนผู้เป็นพ่อเข้ามาในพื้นที่แท่นบูชาหน้าบ้านฝ่ายชาย เพื่อทำตามขนบธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่น ณ สถานที่ตรงนี้ ไม่มีแขกคนอื่นร่วมด้วย มีเพียงเหล่าลูกน้องที่ยืนเฝ้าตามจุดบริเวณบ้าน เพราะงานถูกจัดขึ้นเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น เนื่องจากเจ้าสาวยังอายุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ จึงยังไม่ต้องการจัดงานให้เอิกเกริก
“ไปรับน้องมานั่งสิ” เมื่อลูกชายยังนิ่งเฉยเอาแต่นั่งทำหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ ผู้เป็นพ่อจึงเดินเข้ามากระซิบสั่ง
ฮัททสึไม่ตอบแต่ดันตัวลุกขึ้นเต็มความสูง สาวเท้าเข้าหาเจ้าสาวด้วยท่าทางขึงขัง แววตาคมจ้องมองหญิงสาวตาเขม็ง พลางกัดฟันแน่นข่มอารมณ์จนเห็นสันกรามปูดนูนชัดเจน แม้ว่าเธอคนนั้นจะสวยน่ารักมากแค่ไหนก็ตาม แต่กลับไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มหลงใหลได้เลยแม้แต่น้อย
หมับ!
“อ๊ะ!” มือใหญ่กระชากต้นแขนเล็กออกจากท่อนแขนแกร่งของชายวัยกลางคนแล้วบีบรัดอย่างแรง จนหญิงสาวต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บแปลบราวกับกระดูกจะแตกหัก เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกในงานแต่ง ชายหนุ่มก็แสดงท่าทางป่าเถื่อน โดยไม่สนใจสายตาของใครหลายคู่ที่จ้องมองมา
ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวหนักกว่าเดิม เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาดุดันคู่นั้น จนเผลอลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอโดยอัตโนมัติ หนำซ้ำดวงตาสุกใสยังเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตาจวนจะหลั่งไหลออกมาเต็มที
“เจ็บไหมลูก” ทัศเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่สามารถต่อว่าลูกชายของเจ้าหนี้ได้ แม้ภายในใจจะเจ็บแค้นแทนลูกสาวมากเพียงใดก็ตาม
มีนาไม่ได้ตอบสิ่งใด เพียงแต่ก้มหน้าหลบสายตาผู้เป็นพ่อเท่านั้น
“แม่ง! ” ฮัททสึสบถถ้อยคำหยาบคายออกมาอย่างรำคาญ ทั้งที่มือใหญ่ยังบีบต้นแขนของหญิงสาวแน่น “ทำตัวน่าสงสารอยู่ได้ รำคาญสัส!”
“แกอย่ามาทำตัวต่ำทรามนะไอ้ฮัท!” คาทสึทนไม่ไหว รีบเร่งเข้ามาปรามลูกชายตัวดี
ฮัททสึดันลิ้นกับกระพุ้งแก้มอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วปล่อยมือออกจากต้นแขนหญิงสาว โดยไม่ตอบโต้ผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเดินตรงไปที่หน้าแท่นพิธีเช่นเดิม คาทสึจึงส่ายหัวเอือมระอา
“ขอโทษคุณทัศ คุณปรีดา แล้วก็หนูมีนาด้วยนะครับ”
“ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ เจ้าฮัทคงเครียดเรื่องงานน่ะค่ะ” จีน่าแก้ต่างให้ลูกชายต่อจากสามีด้วยความเกรงใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นลูกหนี้ก็ตาม แต่พวกเขาก็เคยช่วยชีวิตเธอและสามีเมื่อหลายปีก่อนครั้งไปคุมงามที่บริษัทประเทศไทย
“ผมเข้าใจครับ”
“หนูมีนาไม่เป็นอะไรนะลูก”
“ค่ะ” มีนาตอบรับอย่างสุภาพ ทั้งที่ภายในใจเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและสิ้นหวัง ไม่ทันได้ใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นก็ต้องมีสามีเป็นตัวเป็นตนตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปี หนำซ้ำยังต้องมารับมือกับสามีที่ดูท่าทีเขาคงเกลียดและไม่ชอบเธอมากเช่นกัน ดูจากการกระทำรวมถึงวาจาเมื่อสักครู่
เวลาต่อมา...
เมื่อทำพิธีข้างต้นเสร็จเรียบร้อยจึงดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้าย ที่ทั้งคู่ต้องสวมแหวนแต่งงานให้กัน
“ฮัททสึหยิบแหวนในกล่องใส่ให้น้องสิลูก” จีน่าบอกเจ้าลูกชาย เมื่อฮัททสึเอาแต่นั่งทำหน้าถมึงทึงบ่งบอกถึงความไม่เต็มใจอย่างเปิดเผย แต่ก็ยอมหยิบแหวนจากกล่องตามคำของผู้เป็นแม่
กึก!
มีนานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เมื่อถูกมือใหญ่กระชากมือเพื่อสวมแหวน หนำซ้ำยังบีบแน่นราวกับต้องการให้แหลกละเอียด เธอได้แต่ข่มอาการเหล่านั้นไว้แล้วเงยหน้าจ้องคนใจร้ายอย่างเกลียดชัง โดยที่อีกคนไม่แม้แต่จะชายตามองมาที่เธอ
“มีนาสวมแหวนให้พี่เลยลูก” ปรีดาบอกลูกสาว
มีนาหยิบแหวนและสวมให้ฮัททสึ ก่อนจะจิกเล็บลงหลังมือเพื่อเป็นการเอาคืน ทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นจ้องเขม็งส่งสายตาอำมหิตมาให้ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เธอก็ไม่สนใจเลือกที่จะเบือนหน้าหนีแทน
หลังจากจบสิ้นพิธีตามแบบฉบับชาวญี่ปุ่น ทุกคนจึงเข้ามารวมตัวกันอยู่ในห้องอาหารเพื่อพูดคุยกันตามประสา
“ตามที่ตกลงกันไว้นะครับ เมื่อไหร่ที่หนูมีนาอายุครบสิบแปดปี ผมจะให้ทั้งสองย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังเดียวกันที่ประเทศไทย หลังจากที่เจ้าฮัทไปรับตำแหน่งประธานบริษัทที่นู่น” คาทสึย้ำข้อตกลงอีกครั้งกับครอบครัวอีกฝ่าย ซึ่งครอบครัวของพวกเขาต่างก็พูดภาษาไทยกันได้อย่างคล่องแคล่ว
ในขณะที่ลูกชายและลูกสะใภ้เอาแต่นั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครหยิบจับอาหารตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งสีหน้าทั้งคู่อมทุกข์ไม่ต่างกัน
“ครับ คุณคาทสึ” ทัศตอบรับ
“ระหว่างนี้ผมจะให้เจ้าฮัททสึรับตำแหน่งรองประธานที่นี่หนึ่งปี รอจนกว่าหนูมีนาจะอายุครบสิบแปด ผมจะส่งตัวเจ้าลูกชายผมไปที่เมืองไทยทันทีครับ” คาทสึอธิบายต่อ
“สำหรับผมยังไงก็ได้ครับ ตามที่ตกลงกันไว้เลย”
“จีว่าเรามาทานข้าวกันดีกว่าค่ะ” ภรรยาของคาทสึเอ่ยขึ้นทุกคนจึงพยักหน้ารับ “ ฮัทลูก ตักอาหารให้น้องสิคะ”
ฮัททสึตักอาหารให้ภรรยาตัวเองที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างไม่เต็มใจ
มีนาระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ อย่างอ่อนจิตอ่อนใจ พยายามกล้ำกลืนฝืนทนยอมจำนนกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ เธอต้องเข้มแข็งเข้าไว้เพื่อตัวเองและครอบครัว
#เวลาต่อมา...
หลังจากส่งบ่าวสาวเข้าหอตามธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศไทย ซึ่งต่อจากธรรมเนียมประเทศญี่ปุ่น จึงเหลือเพียงฮัททสึและมีนาอยู่ในห้องด้วยกันสองคน
“ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย”มีนาพึมพำถามตัวเองอยู่บนเตียงใหญ่ด้วยความกระวนกระวาย หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำจนรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว ซึ่งฮัททสึหนีเข้าห้องน้ำตั้งแต่เข้ามาแล้ว
แกร๊ก~
ระหว่างนั้นบานประตูห้องน้ำก็เปิดออก พลันให้หญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดสะดุ้งตัวโหยงตกใจกับเสียง แล้วหันขวับมองด้านหลังโดยอัตโนมัติ ก็เจอกับร่างสูงของฮัททสึที่ยืนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนส์สีดำ เซตผมหน้าม้าขึ้นอย่างหล่อเหลาเตรียมตัวออกไปเที่ยว ทั้งที่เป็นคืนเข้าหอของตัวเองแท้ ๆ
“มองทำไม!?” เจ้าของใบหน้าหล่อตะคอกถามอย่างไม่สบอารมณ์ ครั้นสบเข้ากับนัยน์ตาคู่งามที่ฉายแววหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่าค่ะ”
ฟิ้ววว~
แหวนแต่งงานถูกชายหนุ่มโยนมากลางเตียงใหญ่”ฉันให้ เผื่อเธอจะได้เอาไปขายแลกเป็นเศษเงิน”
“ฉันไม่ได้ต้องการ!” มีนาอึ้งอยู่สักพักก่อนจะดันตัวลุกโต้เถียงอย่างไม่พอใจ ยามที่ถูกเขาพูดเชิงดูถูก
“แล้วแต่มึงดิ” ฮัททสึไหวไหล่ ก่อนจะเดินออกไปทันทีโดยไม่สนใจท่าทางของหญิงสาว ทำเอามีนาถึงกับกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ ในหัวอยากจะฟาดคนปากหมาหยาบคายด้วยรองเท้าแตะซะเต็มประดา
" ฉันจะทำให้พี่เธอรู้จักการสูญเสียเหมือนที่มันทำกับพี่ชายฉัน คนทรยศ อย่างมันต้องตาย หรือการตายสำหรับมันจะง่ายไป เธอคิดว่าไงล่ะ ? " "อย่าทำอะไรพี่ชายลินเลยนะคะ "
เขาแต่งงานกับเธอเพราะผลประโยชน์ แต่เธอแต่งงานกับเขาเพราะรัก อีกทั้งพี่สาวยังเป็นแฟนเก่าของเขา....
" ถ้าฉันยังไม่เบื่อเธอก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ...นอกจากเธอจะนอนถางขาให้ฉันเอาจนกว่าฉันจะเบื่อไปเอง! "
พระเอกซึ่งเป็นหมอเจ้าของโรงพยาบาล และ เป็นมาเฟีย เขาถูกบังคับให้หมั้นกับนางเอก เธอเป็นนักเขียนนิยายอยู่ในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อนแล้ว
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
หลัวเจิง ผู้ตกจากที่สูงกลายเป็นทาสที่ต่ำต้อย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพบวิธีฝึกในตัวเองให้กลายเป็นอาวุธโดยบังเอิญ สงครามการต่อสู้เริ่มขึ้นทันที และพึ่งพาความเชื่ออันแรงกล้าในการไม่ยอมจำนน เขาพยายามแก้แค้นและไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่ นักรบจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าโลกและโลกก็ปั่นป่วน อาศัยร่างกายที่เปรียบได้กับอาวุธวิเศษ หลัวเจิงเอาชนะศัตรูจำนวนมากบนเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ ในที่สุดเขาจะทำสำเร็จหรือไม่?
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ