ห้าปี!
คือเวลาที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่อย่างภูภูมิไม่ได้กลับมาเหยียบเมืองไทย ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตตามเหมืองทองต่างๆ แทบจะทั่วทุกมุมโลกและตอนนี้ก็ปักหลักคุมเหมืองทองอยู่ที่แทนซาเนีย ซึ่งที่นั่นเป็นเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง
ก็ว่าได้
เหตุผลที่ตัดสินใจไปทำเหมืองทองที่นั่นก็สั้นๆ ง่ายๆ เพราะเขาอยากเป็นนักล่าทองคำในตำนานเหมือนที่บิดาเคยทำสมัยยังหนุ่มๆ จำได้ว่าแค่เห็นรูปบิดาตอนนั้นภูภูมิก็อุทานออกมาว่าเท่สุดๆ และนั่นคือความฝันวัยเด็กที่แม้จะเติบโตก็ไม่เคยจางหาย กระทั่งมองเห็นโอกาสทำเหมืองทองที่ต่างประเทศ ทันทีที่บิดารู้ท่านก็สนับสนุนเต็มที่เช่นกัน
ภูภูมิขยับแว่นกันแดดบนใบหน้าเล็กน้อย ฐานแว่นรองรับกับสันจมูกโด่งได้อย่างลงตัว ยิ่งมีแว่นก็ยิ่งทำให้เขาดูหล่อและโดดเด่น ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วเดินออกไปขึ้นรถจากนั้นจึงตรงกลับบ้าน เขากลับมาเมืองไทยเพื่อพักผ่อนกับครอบครัวแต่ก็ยังหอบงานเล็กๆ น้อยๆ กลับมาทำด้วย
ทันทีที่เจอหน้าลูกชายคนเล็กมารดาอย่างอำพรถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างดีใจ พอภูภูมิเปรยว่าหิวและอยากกินอาหารรสมือแม่ อำพรก็กุลีกุจอชวนแม่บ้านออกไปตลาดซื้อของเพื่อกลับมาเตรียมอาหารมื้อใหญ่ นั่นจึงปล่อยให้พ่อกับลูกชายได้คุยกัน
“เป็นไงบ้าง”
“สนุกดีครับคุณพ่อ”
“ใช่ไหม ถ้ายังหนุ่มพ่อคงไปด้วยแต่ตอนนี้น่าเสียดายที่ร่างกายมันไม่เอื้ออำนวย” สมัยหนุ่มๆ รังสรรค์ใช้ร่างกายได้คุ้มค่า เขาชอบผจญภัยและทำงานหนักไม่เคยถนอมร่างกายพอแก่ตัวมามันเลยพากันประท้วง ปวดตรงนั้นบ้างเมื่อยตรงนี้บ้าง ยังโชคดีที่ไม่เป็นโรคร้ายแรง
“ดีแล้วครับ คุณพ่ออยู่รอเลี้ยงหลานดีกว่า”
“นั่นสิ ไม่รู้หลังแต่งงานบีมกับหนูขิมจะมีลูกกันเลยหรือเปล่า” คนเป็นพ่อเอ่ยถึงลูกชายคนโตที่เวลานี้คุมงานอยู่ภาคเหนือ นานๆ จะลงมากรุงเทพฯ สักครั้ง มาแต่ละครั้งก็อยู่ได้แค่ไม่กี่วันเพราะงานยุ่ง เห็นภาพแล้วก็นึกถึงตัวเองสมัยหนุ่มๆ เพราะชีวิตนอกจากภรรยาก็มีแต่งานเช่นกัน
“พี่บีมบอกจะมีเลยนะครับคุณพ่อ”
“เป็นอย่างนั้นก็ดีสิ” รังสรรค์ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขที่จะได้อุ้มหลานในเร็ววันนี้ เขากับภรรยามีลูกชายสามคนซึ่งเป็นฝาแฝด คนเป็นพ่อเป็นแม่ต่างเฝ้ารอให้ลูกๆ มีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝา
หลังจากรอมาหลายปีในที่สุดภูเมฆลูกชายคนโตที่เป็นถึงพ่อเลี้ยงภาคเหนือก็กำลังจะแต่งงาน ภูตะวันนายหัวภาคใต้ก็กำลังมีความรักเว้นก็เสียแต่ภูภูมินายเหมืองทองคำน้องคนสุดท้องกระมังที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะสลัดความโสดทิ้งในเร็วๆ นี้
“มีคนที่ชอบบ้างไหม”
“ผมหรือครับคุณพ่อ” ภูภูมิชี้นิ้วมาที่ตัวเอง เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคคำถามอะไรทำนองนี้จากบิดา
“ใช่ ลูกนั่นแหละ”
“ยังครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล
“พี่สองคนก็มีคู่กันหมดแล้ว เอางี้ไหมให้แม่เขาหาผู้หญิงให้”
“ไม่ครับไม่ ผมไม่เอาแบบนั้นเด็ดขาด รู้แหละว่าคุณแม่หวังดีแต่ผมขอปฏิเสธครับ” ภูภูมิส่ายหน้าไปมารัวๆ ต่อให้นั่นคือความหวังดีแต่ก็ยังปฏิเสธอยู่ดี
“ปฏิเสธอะไรบาส” เสียงของอำพรที่กลับมาจากจ่ายตลาดเอ่ยถามขึ้น แค่มองตาเธอก็รู้ว่าสามีและลูกกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ เพราะไม่อยากถูกซักรังสรรค์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยตอบภรรยากลับไป
“ลูกปฏิเสธถ้าคุณจะหาผู้หญิงให้เหมือนเบส”
“ไม่ดีเหรอ ดูอย่างเบสสิตอนนี้มีความรักสดใสไปแล้ว ไม่นานก็คงแต่งงานอีกคน” อำพรมองหน้าลูกชายคนเล็ก พลันก็คิดว่าผู้หญิงแบบไหนถึงจะเหมาะสม อันที่จริงเธอไม่ได้ตั้งใจจับคู่ให้ภูตะวันแค่ส่งนับพันดาวไปเพื่อสืบอะไรให้เท่านั้น ไปๆ มาๆ ทั้งสองกลับมีใจให้กันซึ่งเธอก็สนับสนุนไม่ได้คัดค้าน
“ดีครับแต่ผมยังไม่พร้อมจริงๆ”
“แรกๆ เบสก็พูดแบบนี้”
“ขอร้องนะครับคุณแม่ ผมขอหาเมียเองนะครับ” ภูภูมิแทบจะลงไปกราบมารดา เพราะเขาอยากเลือกคู่ชีวิตด้วยตัวของเขาเองจริงๆ ไม่ต้องการแม่สื่อแม่ชัก
“จ้ะๆ แม่ไม่ใจร้ายกับลูกชายคนเล็กหรอก แต่ถ้าปีสองปีนี้บาสยังโสดเราค่อยมาคิดกันอีกทีนะลูก”
“คุณแม่” แรกๆ เหมือนจะเข้าใจกันดี ก่อนที่มารดาจะทำให้คนฟังร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก อำพรส่งยิ้มอบอุ่นให้ลูกชายคนเล็กของนาง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีหรือต่อให้ลูกๆ จะโตเป็นผู้ใหญ่มีหน้าที่การงานให้รับผิดชอบกันหมด ทว่าในสายตาของคนเป็นแม่อย่างเธอก็ยังมองว่าเป็นเด็กเสมอ
“แม่เข้าครัวก่อนดีกว่า” อำพรเอ่ยบอกแล้วเดินตรงไปยังห้องครัวด้านหลังของบ้านที่เวลานี้แม่บ้านกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของสำหรับปรุงอาหาร
เย็นวันนั้นสามคนพ่อแม่ลูกชายคนเล็กก็นั่งกินข้าวพร้อมกันในรอบหลายปี ก่อนที่ภูภูมิจะกำชับขอให้พ่อและแม่อย่าพึ่งบอกบรรดาพี่ๆ ว่าเขาอยู่เมืองไทยแล้วเพราะอยากไปเซอร์ไพรส์ถึงที่นั่นเอง
อำพรตักกับข้าวใส่จานให้ภูภูมิตลอดเวลาส่วนลูกชายก็กินเอากินเอาอย่างเอร็ดอร่อย ภูภูมิเป็นคนกินเก่งมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นน้องก็จริงแต่รูปร่างโตกว่าพี่ชายฝาแฝดอีกสองคนเสียอีก เป็นเด็กเจ้าเนื้ออ้วนกลมกอดอุ่นแต่พอโตเป็นหนุ่มความเจ้าเนื้อก็ค่อยๆ หายไปแล้วความหล่อเหลาไม่แพ้พี่ชายก็เข้ามาแทนที่