เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
-Intro-
-Intro-
จะฝันก็ไม่แปลก แต่หากว่าฝันถึงเรื่องเดิม ๆ กับคนที่เขาเห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็มั่นใจว่าเป็นคนเดิมทุกครั้ง เป็นความฝันที่มันเริ่มจะถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
เขาควรจะทำยังไงดี หาทางให้ลืมเลือนไปโดยเร็วที่สุด หรือค้นหาต้นตอของความฝันนั้น
“ยอดรัก”
อีกแล้ว...เสียงร้องเรียกนำทางมาอีกแล้ว เขากำลังจะเริ่มความฝันเฉกเช่นเดิมอีกแล้วสินะ หากครั้งนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมาที่ปกติแล้วเขาจะหลับสนิทและฝันเป็นเรื่องเป็นราวที่ก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่มันมีความรู้สึกอบอุ่นที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดทิ้งไว้เสมอ เพราะค่ำคืนนี้เขาไม่ได้นอนหลับสนิทอย่างที่ผ่านมา ในครั้งนี้มันเหมือนกับว่าเขาอยู่ในห้วงของความฝันที่กึ่งมีสติอยู่บ้างเล็กน้อย แล้วความฝันมันก็เริ่มต้นเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
“ยอดรัก”
คนถูกเรียกที่ตอนนี้ได้สติไปมากกว่าครึ่งพยายามที่จะลืมตาตื่น เพื่อที่เขาจะได้คุยกับคนนั้นที่ร้องเรียกและทำบางสิ่งบางอย่างกับร่างกายของเขาให้รู้เรื่องสักที...อย่าตามมาหลอกมาหลอนกันอีกได้ไหม แต่ที่ทำได้คือนอนกระสับกระส่ายเพราะทำอย่างไรก็ไม่อาจลืมตาตื่นขึ้นได้ แล้วเสียงที่ร้องเรียก “ยอดรัก” ก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“ได้ยินแล้ว จะเรียกทำไมนักหนา” เขาเพียงแค่คิดเท่านั้นแต่เหมือนคนที่ร้องเรียกจะล่วงรู้ ถึงได้หัวเราะออกมา มันยิ่งทำให้เขาโมโห “มีอะไรก็รีบพูดมา คนจะหลับจะนอน อ๋อ...พูดจบแล้วก็รีบไปไกล ๆ แล้วก็ไม่ต้องมาเรียกหา มาเข้าฝันกันอีกนะ เหนื่อย”
พอเขาบอกไปอย่างนั้นรอบกายก็เงียบสนิทจนเขาได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ก่อนความเย็นจะคืบคลานเข้าหาพร้อมกับร่างหนาที่หยุดยืนอยู่ตรงปลายเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง
แม้เขาจะไม่ได้ลืมตาตื่น แต่กลับรู้สึกว่าเห็นใบหน้าที่เหมือนมีแสงตกกระทบจนเห็นได้ไม่ชัดเจน ทว่ากลับได้เห็นลำคอหนาไล่ลงมาจนถึงแผ่นอกกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ลับหายไปในขอบกางเกงผ้าเอวต่ำ
“ไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง ทำไมถึงเหนื่อยได้ล่ะ”
เขาได้แต่ออกอาการฮึดฮัด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้...เขาเป็นผู้ถูกกระทำนะสิ แม้ร่างกายจะเจ็บปวดไปบ้างแต่ก็มีความสุขสมหวังอยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็ก่อนที่จะพบกับความปวดร้าวใจจนน้ำตาไหลออกมาทุกครั้ง
“ก็ลองมาเป็นผมดูบ้างไหมล่ะ” เขาเอ่ยออกไป อีกฝ่ายก็หัวเราะกลับมาขณะเดินมาทรุดกายลงนั่งบนเตียง
อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง แต่ทำไมเขาถึงยังเห็นใบหน้าผู้ชายตรงหน้าไม่ชัดสักครั้ง อยากจะลุกขึ้นเพื่อจะได้มองใบหน้าของคนที่ฝันถึงอยู่บ่อยครั้ง แต่เรี่ยวแรงกลับไม่มีและสิ่งที่ทำได้คือการมองร่างแข็งแกร่งขยับเข้ามาหาเรื่อย ๆ เมื่อมือแกร่งวางลงบนข้อเท้า หัวใจเขาก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง ในหัวเริ่มคิดถึงภาพที่ตนเองเปลือยเปล่า ถูกอีกฝ่ายคลอเคลียแนบชิด เสียงลมหายใจที่หอบพร่ากับน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่เอื้อนเอ่ยใกล้ใบหู หรือแม้กระทั่งยามที่ปากหนาขบเม้มบนผิวกาย ที่จะมีร่องรอยเหลือให้เห็นทุกครั้งในตอนที่ตื่นนอน
“ไม่ล่ะ...เป็นอย่างนี้นะดีแล้ว” ไม่เพียงเอ่ยตอบเสียงนุ่มทุ้ม เขายังโน้มใบหน้าลงไปแนบริมฝีปากบนข้อเท้าคนตัวเล็กกว่าที่ตอนนี้มองมาด้วยสายตาสั่นไหวและเต็มไปด้วยความเขินอาย
“คิดถึงนะ”
“ถ้ามาแล้วทำเช่นนี้ตลอด ก็ไม่ต้องคิดถึงกันหรอก” เพราะยอดรักโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจะแข็งกระด้างปากหนาที่ขบเม้มผิวกายเนียนเรียบอยู่หยุดชะงัก พร้อมกับสายตาเข้มดุที่เหลือบขึ้นมอง
“ก็ยังเจอกันแบบคนทั่วไปไม่ได้นี่น่า”
“แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันล่ะ หลายปีแล้วนะที่ผมฝันอยู่แบบนี้” น่าจะเรียกได้ว่าเขาเริ่มฝันถึงผู้ชายคนนี้ตั้งแต่รู้ความแหละ แต่ช่วงนั้นความฝันก็เป็นแบบทั่วไปที่เหมือนกับเพื่อนสนิทได้พบเจอกัน เมื่อเขาโตขึ้น มีความต้องการทางร่างกายตามประสาหนุ่มวัยรุ่น ความฝันก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไป แรกเริ่มเขาหวาดกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ยอมให้อีกฝ่ายปลุกเร้าความต้องการจนกลายเป็นเหมือนกับสิ่งเสพติดที่เฝ้าถวินหาในทุกค่ำคืน
“ไม่นานแล้วล่ะ กลัวแต่ถ้าพบเจอกันจริง...ยอดรักจะกลัวผมหรือเปล่า”
“ทำไม”
“เพราะผมไม่เหมือนคนอื่น”
“ก็คงจะกลัว...มั่ง” ยอดรักตอบกลับไปอย่างไม่มั่นใจ เพราะการได้เจอกันแบบนี้ทำให้เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาเช่นเขา แต่จะแตกต่างกันอย่างไรเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ทว่าระหว่างเจอกันแบบนี้กับการได้เห็นหน้า...อย่างไหนมันจะดีกว่ากัน “แต่ได้เจอกันอย่างคนปกติทั่วไป ดีกว่าเรามาเจอกันในฝันแบบนี้หรือเปล่าล่ะ”
“ก็น่าจะดีกว่านะ เวลาที่ผมทำแบบนี้” มือแกร่งวางลงบนหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมวลเนื้อนุ่มนิ่มของคนตัวเล็กกว่า นิ้วยาวคืบคลานสอดเข้าไปในกางเกงที่อีกฝ่ายนุ่งเพื่อจะได้สัมผัสกับเจ้ายอดรักน้อย ๆ ที่ตอนนี้เริ่มตื่นตัว “มันจะต้องดีกว่าการตกอยู่ในความฝันมากมายอยู่นะ”
“ฮื่อ...ก็คงจะดีกว่าจริง ๆ นั่นแหละ” ยอดรักกัดฟันตอบไปเมื่อถูกมือแกร่งลูบไล้พุงที่เต็มไปด้วยหมู่มวลเนื้อนุ่มนิ่มเรื่อยลงไปปลุกเจ้าตัวน้อยที่หลับอยู่ให้ค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา
“คิดถึงมากเลย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน” ริมฝีปากหนาขบเม้มกัดผิวเนื้อเนียนเรียบ พลางสองมือแกร่งลูบไล้ไปบนลำตัวของคนตัวเล็กที่เขารู้สึกว่าผอมกว่าครั้งก่อนที่ได้พบเจอกัน...ในความฝัน จนคิดไว้ว่าถ้าได้เจอหน้ากันจริง ๆ จะขุนอีกฝ่ายให้อ้วนให้มากกว่านี้ จะได้มีเนื้อมีหนังเพื่อที่เขาจะได้กอดรัดอย่างไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายเจ็บตัว
“ก็แล้วใครกันล่ะที่หายไปนะ” ยอดรักอดที่จะพูดด้วยความน้อยใจไม่ได้
“ไม่ได้อยากจะหายไป แต่มีธุระต้องไปจัดการนะสิ”
จะว่าไป...เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าคนตรงหน้ามีอาการเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าอยู่นะ “แล้วทำไมถึงไม่พักล่ะ มาเจอกันแบบนี้จะไม่เหนื่อยกว่าเก่าหรือไง”
“คิดถึง”
เพียงคำสั้น ๆ กับน้ำเสียงที่อบอุ่นและอ่อนโยน ทำให้ยอดรักใจเต้นระรัว เผลอยิ้มออกมาขณะยื่นมือไปสัมผัสกับใบหน้าที่ไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็มองไม่ชัดสักครั้งอย่างแผ่วเบา เพราะเขาเองก็คิดถึงและเป็นห่วงอีกฝ่ายเช่นกัน
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
เพราะครอบครัวเกิดเรื่องไม่ดี เขมกรจึงตัดสินใจทำการแลกเปลี่ยนกับใครบางคน...จากนั้นเขาก็กลายมาเป็นคุณชายเกาหยุนเอ๋อร์ที่ไร้ความทรงจำ ที่...ก่อเรื่องราวไว้นั่นคือ การป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนว่าจะเป็น “ฟูเหรินของซ่งหยวนเจ๋อ” อีกฝ่ายคงจะโกรธเขาอยู่นะ ถึงได้ตามติดไม่ยอมห่าง หรือว่าเขาเข้าใจอะไรผิดไป เพราะการตามติดของซ่งหยวนเจ๋อทำให้เขาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่คงเท่าอีกฝ่ายที่เดี๋ยวก็เลี้ยงอาหารเขา เดี๋ยวก็ให้เขาขี่หลัง นั่นก็มิหนักเท่ากับคอยป้อนอาหารเขานะสิ... หยุนเอ๋อร์...” ซ่งหยวนเจ๋อเอ่ยเรียกเสียงเข้มแต่นุ่มนวล ขณะทอดสายตาที่อบอุ่นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนสบกับดวงตาของเกาหยุนเหลียง “ไม่...ดื้อนะ” หากมิใช่ถูกซ่งหยวนเจ๋อกอดกระชับเอวเอาไว้...เกาหยุนเหลียงรู้เลยว่าเข่าตนเองจะต้องอ่อนยวบทรุดลงไปกองอยู่บนพื้นแน่นอน ไหนจะหัวใจที่มันเต้นราวกับจะทะลุออกมาจากอกอีกเล่า ทำให้เขาคิดว่า กลับถึงเรือนเมื่อไหร่ ควรให้ท่านแม่เชิญท่านหมอมาดูหน่อย เหตุใดถึงได้มีอาการประหลาดเช่นนี้มากนักเมื่ออยู่กับซ่งหยวนเจ๋อ ถ้าหากว่าเป็นอะไรร้ายแรงจะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที “ดีมาก...หยุนเอ๋อร์ที่ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่เกเร ทำตัวเป็นอันธพาล...น่ารัก”
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"