เพราะเธอรัก และทุ่มเททุกอย่างให้กับคนที่เธอรัก แต่สุดท้าย.. เธอก็กลับถูกทรยศหักหลัง ที่มาพร้อมกับตราบาป ที่ยากจะลืม..
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของหนูน้อยที่มีนามว่าเอเลนดังออกไปถึงข้างนอก ซึ่งทำให้ผู้ที่กำลังเดินเข้ามาต่างก็หยุดชะงักไปนิดหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างก็หันไปมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหนักพร้อมกันเบาๆ
ทั้งสองก้าวเดินต่อโดยมีจุดหมายคือห้องนั่งเล่นที่มีนายหญิงของบ้านและนายน้อยกำลังนั่งเล่นอยู่ที่นั่น
"ม่ะๆ" เสียงอ้อแอ้ของเด็กชายวัยห้าเดือนดังขึ้นคลอไปกับน้ำเสียงสดใสของผู้เป็นแม่ แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักเพราะการมาถึงของสองการ์ดร่างสูง
"ขอโทษครับนายหญิง"
"มีอะไรหรือเปล่าคะ"
ปัณฑารีย์ หันไปมองการ์ดทั้งสองด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆออกมาทั้งสีหน้าและแววตา เธอนิ่งมากจนพวกเขาที่เป็นเพียงลูกน้องยังนึกกลัวใจ แล้วถ้าผู้เป็นนายได้มาเห็นกับตาตัวเองจะเป็นอย่างไร
"เอ่อ.." หนึ่งในนั้นถึงกับพูดไม่ออก เพราะลึกๆเขาเองก็รู้สึกสงสารผู้เป็นนายหญิงไม่น้อย
"เอเลนต้องไปแล้วสินะคะ"
ปัณฑารีย์ตัดสินใจพูดออกมาเสียเอง ด้วยรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าวันนี้ลูกชายจะต้องบินไปหาผู้เป็นพ่อที่อเมริกา เขาคนนั้นมีคำสั่งให้พาลูกไปแค่คนเดียวแต่ไม่มีเธอ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกชายติดเธอมากแค่ไหน แต่เธอรู้เหตุผลของเขาดีว่าทำไม
"ยังพอมีเวลาไหมคะ" เธอถามอีกครั้งเมื่อเงียบไปสักพัก
"ยังพอมีเวลานิดหน่อยครับนายหญิง" หนึ่งในนั้นบอก
ปัณฑารีย์พยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงรับรู้ ร่างเล็กขยับเข้าไปหาลูกชายตัวน้อยที่นั่งมองเธอตาแป๋วก่อนจะอุ้มร่างเล็กจ้อยขึ้นมานั่งตักแล้วกอดเอาไว้แนบอก
มือบางยกขึ้นลูบศีรษะเล็กไปมาแล้วโยกตัวน้อยๆคล้ายว่าเธอกำลังกล่อมลูกแบบนั้น
"ม่ะๆ" เสียงเล็กเปล่งออกมากับอกแม่
"เอเลน แม่มีวาสนาดูแลลูกได้แค่นี้ ขอโทษที่ต่อไปนี้เราจะไม่ได้เจอกันอีก อย่าโกรธแม่ อย่าเกลียดแม่เลยนะ แม่รักลูกเสมอไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหนก็ตาม"
ปัณฑารีย์พูดกับลูกด้วยภาษาไทยทั้งหมด ซึ่งเธอหลีกเลี่ยงที่จะให้คนอื่นๆในที่นี้รับรู้ว่าเธอพูดหรือว่าคิดที่จะทำอะไร
ปัณฑารีย์ผละออกจากลูก ซึ่งเธอพยายามทำตัวเข้มแข็งทั้งที่ภายในแตกสลายไม่มีชิ้นดี เพราะนับจากวินาทีนี้และต่อไปในอนาคตเธอและลูกอาจจะต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันตลอดไป
"เป็นเด็กดีของปะป๊านะครับ" เธอบอกลูกอีกครั้ง ก่อนจะจำใจผละห่างและดันตัวลูกชายไปให้การ์ดทั้งสองคน
"ไปเถอะ เดี๋ยวจะช้า" เธอพูดสั้นๆแล้วยิ้มให้ลูกชาย
"ม่ะๆ" เสียงเล็กยังคงเอ่ยไม่ขาดปาก เด็กน้อยหันกลับมามองผู้เป็นแม่
"เป็นเด็กดีนะเอเลน"
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่การ์ดจะพาลูกน้อยไกลห่างจากเธอ ยิ่งร่างเล็กนั้นไกลห่างจากสายตามากขึ้นน้ำตาที่พยายามกักเก็บเอาไว้ก็ไหลทะลักออกมาทันทีอย่างสุดจะทน
ปัณฑารีย์ทรุดตัวนั่งลงอย่างหมดแรงแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนักเสียงของเธอดังขึ้นราวกับคนจะขาดใจ จนบรรดาคนรับใช้มากมายต่างก็เข้ามาแอบเมียงมองด้วยความสงสารจับใจ…
กลางดึกในคืนนั้นปรากฎเงาร่างที่เดินลัดเลาะริมกำแพงในสวนเพื่อตรงไปที่ประตูที่อยู่ด้านหลังคฤหาสน์ เธอพยายามหลบเลี่ยงกล้องวงจรปิดที่ถูกติดอยู่รายรอบคฤหาสน์ให้ได้มากที่สุด และนับว่าโชคดีมากที่วันนี้ไม่มีใครเดินเข้ามาทางฝั่งนี้มากนัก
ในที่สุดเธอก็สามารถออกมาจนถึงข้างนอกได้อย่างปลอดภัย ร่างเล็กหันกลับไปมองประตูที่เธอเดินออกมาอีกครั้ง
"ลาขาดละนะ ฉันจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว 'อลัน' คุณคือฝันร้ายของฉัน"
ปัณฑารีย์หันหลังให้กับบานประตูด้วยแววตาเย็นชา เธอรอเวลานี้มานานมากแล้ว เวลาที่เธอจะได้ไปจากที่นี่สักที มันยาวนานกว่าสามปีแล้วที่เธอถูกริดรอนอิสรภาพ
"แน่ใจแล้วนะ" เสียงหนึ่งทักขึ้น เธอคือญาติของปัณฑารีย์ที่เป็นลูกครึ่งไทย-จีน เป็นคนที่คอยให้ความช่วยเหลือเธอมาตลอดโดยที่อลันไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย
"อื้อ" ปัณฑารีย์ตอบอย่างเด็ดเดี่ยว ชีวิตนี้เธอไม่มีอะไรให้เสียใจอีกแล้ว นอกจากเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคือเธอจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าลูกชายของเธออีกต่อไปแล้ว
'เอเลน แม่ขอโทษ'
เธอรักลูกมากแต่ก็เกลียดพ่อของลูกมากเช่นกัน…
เพราะความเห็นแก่ตัวของใครบางคน ก่อเกิดการแยกจากของคนทั้งสอง วันเวลาผ่านไป.. หัวใจของเขาหวนคืนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับอีกหนึ่งความลับที่ทำให้เขาแทบคลั่ง! แผนการทวงคืนทุกอย่างค่อยๆเริ่มขึ้น เขา.. ผู้ไม่สนใจใครหน้าไหน และแม้แต่วิธีการเขาก็ไม่เลือก ขอแค่ทวงคืนเธอได้ ต่อให้เลวแค่ไหน.. ใครจะสน!
ไผ่หลิว.. ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไร้พิษสง ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่เหตุไฉนถึงต้องมาขึ้นเวทีมวยด้วยเล่า!!! ก็นึกอยู่ว่ามันต้องมีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่คาดฝันว่าตัวเองจะได้ขึ้น เวทีมวย! ย้ำนะว่ามันคือ เวทีมวย! สรุป! โทษทัณฑ์ที่จะต้องได้รับคือการได้มาเป็นกระสอบทรายของไอ้เสี่ยเวร!
หลังจากดูแลสามีมาเป็นเวลาสามปี เมื่อเห็นสามีสอบติดขุนนาง เฉียวชูเยว่ก็นึกว่าชีวิตดีๆ จะมาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสามีเป็นคนโลภ และเจ้าชู้ เพื่อจัดการปัญหาให้สามี เฉียวชูเยว่เสียตัวให้กับจักรพรรดิโหดร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อชีวิตและอนาคตของสามี นางได้แต่อดทนเอาไว้ จากนั้น สามีของนางก็ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิ และถูกเลื่อนตำแหน่งเรื่อยๆ เมื่อสามีของนางกำลังเพลิดเพลินอำนาจและสาวสวยนั้น นางกำลังรับใช้กับจักรพรรดิอย่าง้อยใจ แต่ไม่คาดคิดว่าความพยายามของนางได้แลกกับใบหย่าจากสามี ในวันแต่งงานของสามี นางถูกฆาตกรไล่ตามและตกลงไปในโคลน เมื่อนางหมดหวังนั้น จักรพรรดิก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง "มาเป็นคนของข้าสิ และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก!"
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
"ทำไม นอนกับผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอคุณถึงได้กลัวว่าผมจะทำอะไรคุณอีก ผมรุนแรงกับคุณหรือยังไง งั้นผมคงต้องรีบทำใหม่เพื่อแก้ตัว" "คุณหมอ!" เมรีญาหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับตำหนิเขาในใจที่กล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาอย่างหน้าไม่อาย "ว่าไง ตอบมาสิว่าผมทำให้คุณไม่ประทับใจหรอถึงต้องตั้งเงื่อนไขบ้าๆ นี้ขึ้นมา" เวทัสถามด้วยค วามโมโห ถ้าเป็นสองข้อแรกเขาพอเข้าใจและรับได้ แต่สำหรับข้อสามต่อให้เขารับปากเธอตอนนี้ในอนาคตเขารู้ตัวดีว่าคนอย่างเขาต้องผิดสัญญาแน่นอน เขาไม่มีทางห้ามใจตัวเองไม่ให้ยุ่งกับเธอได้! "ทำไมคุณมันเข้าใจอะไรยากแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนั้นอีก" หญิงสาวพยายามอธิบายกับชายหนุ่มด้วยเหตุผล แม้จะรู้ดีว่าคนข้างๆ เริ่มไม่มีเหตุผลกับเธอแล้ว "ผมไม่สัญญา" เวทัสตอบกลับทันทีพร้อมกับสต๊าทรถออกจากโรงแรมด้วยความไม่พอใจ