เมื่อหญิงสาวที่มีพลังมองเห็นโลกมืดเหนือธรรมชาติ มาเจอกับทายาทมหาเศรษฐีร้อยล้านที่ตามหาความจริงเกี่ยวกับอดีตบางอย่างของตน เส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกมืดเกิดเบลอเสียจนแทบแยกไม่ออกอีกต่อไป
**หมายเหตุ: ตัวละคร สถานที่ เค้าโครงเนื้อหา และเหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องนี้ เป็นการสมมุติขึ้นมาเพื่ออรรถรสและความบันเทิงเท่านั้น**
“เหนือสิ่งอื่นใด ให้ปกป้องจิตใจของเราให้ดี เพราะทุกสิ่งที่เราทำ มีจุดกำเนิดมาจากจิตใจทั้งสิ้น”
.. ปี พ.ศ. 2550 ณ. เกาะกำพัน เกาะางห่างไกลทางภาคใต้แห่งหนึ่ง..
“หวาน.. ออกมาช่วยผู้ใหญ่ทำงานสิลูกเอ๊ย” ย่าภาที่นั่งซ่อมตาข่ายตกปลาบนแคร่หน้าบ้านพร้อมกับลูกๆ และเพื่อนบ้านอีกสองสามคนเรียกหลานเบาๆ ใจไม่ได้อยากให้หลานต้องมาช่วยอะไร เพียงแต่ให้หลานออกมารับลมเย็นสบายหน้าบ้านช่วงบ่าย แทนที่จะนั่งอุดอู้ดูทีวีอยู่ในบ้านคนเดียว
หวานที่ดูเหมือนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ หากแต่ถ้าเพ่งมองดูให้ดี เด็กน้อยจ้องจอตาเบิกโพลง เหงื่อแตกซิกตัวสั่นเทิ้มอยู่ในห้องนั่งเล่น เธอหยิบรีโมททีวีขึ้นมาเพิ่มเสียงจนดังแสบแก้วหู ตาเบิกโพลงยังจ้องหน้าจอเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง
เอมอร แม่ของหวานเห็นท่าทีของลูกแล้วเกิดน้ำโห “ลุกเลยนะหวาน คนอื่นเค้าทำงานกันงกๆ เรานั่งดูดายอยู่ได้ยังไง?
แล้วคุณย่าเค้าเรียกน่ะไม่ได้ยินเหรอ? ทำตัวเหมือนเด็กข้างถนนไม่มีพ่อแม่สั่งสอน!”
หวานหันมองแม่ มองหน้าพ่อจักรซึ่งนั่งตากปลาแห้งอยู่ใกล้ๆ กับย่า แล้ววกไปมองแม่อีกทีซึ่งตอนนี้ลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวตาเขียว
“หวะ.. หวานก็อยากช่วย แต่หวานกลัวคนที่ยืนอยู่หลังย่า” เด็กน้อยอายุไม่เกินเจ็ดขวบกล่าวน้ำตารื้นตัวยังสั่นเป็นเจ้าเข้า
ทุกคนหน้าบ้านตอนนี้หันซ้ายหันขวา มองหน้ากันไปมา นอกจากย่าภา เอมอร จักร และเพื่อนบ้านอีกสามคนแล้ว ก็ไม่มีใครคนอื่นอีก
“ใครกัน? ไม่มีใครยืนหลังคุณย่าสักหน่อย พูดจาเลอะเทอะใหญ่แล้...” เอมอรกล่าวก่อนจะถูกย่าภาตัดบท
“ข้างหลังย่าเหรอลูก?”
“ไหน.. บอกย่าซิ ว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง?” ย่าภาถามต่อ
หวานชี้เลยบ่าย่าภาไปด้านหลัง “ผู้หญิงหัวโล้นใส่ชุดสีชมพู...”
ทุกคนหันมองตามทิศทางที่หวานชี้
“ยืนร้องกรี๊ดๆ ไม่หยุดเลย” หวานหยิบรีโมทมากดปุ่มเพิ่มเสียงทีวีซ้ำๆ ราวกับพยายามกลบเสียงกรีดร้องที่มีแต่เธอเพียงคนเดียวที่ได้ยิน
สายตาของย่าภาปรากฏแววกระจ่าง ราวกับจะเข้าใจถึงสิ่งที่หวานพูด
“อีกแล้วเหรอ แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าพูดเพ้อเจ้อ!” เอมอรตวาด
“ใจเย็นเถอะคุณ” จักรกระซิบเสียงสั่นเทา ไม่อยากให้ลูกได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะพูด “พี่สาวคนโตผมเป็นโรคมะเร็ง แกเสียไปเมื่อแปดปีที่แล้วจำได้ไหม ก่อนเสีย พี่ผมทำคีโมจนผมร่วงหมด เวลาอาการกำเริบ เขาเจ็บมาก ร้องกรี๊ดติดกันนานๆ จนหมอต้องให้ยาแก้ปวดแกถึงจะหลับได้” จักรอธิบายหน้าซีดเผือด
ย่าภาพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเศร้าหมอง “หวานมันคงเห็นป้ามันนั่นละ” ว่าแล้วย่าภาก็หันไปหาเอมอร
“คนมีตาทิพย์มาเกิดในตระกูลเราแล้ว หมั่นฟังลูกมันบ้าง อย่าเพิ่งดุอย่าเพิ่งตี เด็กมันเห็นอะไรมันก็ว่าไปตามที่เห็น เราเป็นแม่ต้องปกป้องลูก หวานน่าสงสาร ต้องมาเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็น”
เอมอรเอามือที่เท้าสะเอวลง ก้มหัวเล็กน้อยพลางพยักหน้าหงกๆ หางตามองไปที่ลูกน้อยอย่างไม่แน่ใจ ก่อนเอมอรตัดสินใจแต่งงานกับจักร และย้ายมาอยู่ที่เกาะเล็กๆ แห่งนี้ เธอเป็นคนกรุง พ่อแม่มีฐานะ เธอใช้ชีวิตตามแบบฉบับสาวคนกรุงทั่วไปและเชื่อมาตลอดว่าผีไม่มีจริง เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองตัดสินใจผิด ที่เลือกมาใช้ชีวิตชาวเกาะแบบนี้ เพราะเธอและจักรรักกันมาก อีกทั้งย่าภาก็ใจดีมีเมตตา รักและดูแลกันไปแบบนี้มีความสุขดี หลังแต่งงาน จักรกับเอมอรใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพอยู่ร่วมสี่ปี เมื่อเอมอรตั้งท้อง ทั้งสองจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่เกาะกำพัน เพื่อดูแลย่าภาซึ่งก็แก่ตัวลงทุกวัน
ตั้งแต่หวานอายุครบห้าขวบ เธอต้องรับมือกับอาการแปลกๆ ของหวานมาตลอด หวานน่ารักน่าชังและเป็นที่รักของทุกคน แต่หวานมักนอนน้อย แต่ละคืน หวานนอนจริงๆ แทบไม่กี่ชั่วโมง และมักมีท่าทีประหลาด คล้ายกับว่าเห็นอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็น และด้วยเหตุผลที่เอมอรไม่เชื่อเรื่องผี เธอมักดุหวานเสมอเมื่อหวานพูดอะไรแปลกๆ อย่างคราวนี้
“เจนลูก.. เป็นยังไงบ้าง?” ย่าภากล่าวอย่างอ่อนโยน สายตามองไปข้างหน้า ไม่ได้มองไปที่จุดใดจุดหนึ่งอย่างเจาะจง “อยากได้อะไรไหม หรือยังห่วงแม่? ไม่ต้องห่วงนะลูก น้องของลูกกับครอบครัวก็อยู่ แม่สบายดี”
อยู่ๆ เพื่อนบ้านสามคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าก็ลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ยายภา ข้าไปก่อนนะ เย็นแล้วยังไม่ได้หุงข้าวเลย” ตาแสนคนข้างบ้านพูดตะกุกตะกัก อีกสองคนพยักหน้าเร็วๆ อย่างเห็นด้วยแล้วเดินแกมวิ่งไปในทิศทางของบ้านตาแสน
จักรหันไปทางย่าภา มองเลยไหล่ผู้เป็นแม่ไป ปากก็พูดเสียงสั่นนิดๆ “สบายใจได้นะพี่เจน ต่อไปนี้ผมจะดูแลแม่เอง”
หวานหันมองร่างที่ยืนอยู่ข้างหลังย่าภาอีกครั้ง เสียงร้องกรี๊ด.. กรี๊ด.. หยุดลง สีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อครู่ ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มบางๆ สายตามองดูย่าภาและพ่อจักรอย่างรักใคร่ หวานรู้สึกลมแรงพัดหวือมากระทบใบหน้า ส่งให้ผมยาวตกปรกหน้า เธอรีบปัดผมออกแล้วหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่ร่างนั้นหายวับไปแล้ว
รู้สึกเศร้าแปลกๆ “เขาไปแล้ว” หวานประกาศแล้วกดปิดโทรทัศน์ตรงหน้า ลุกเดินออกมาหน้าบ้าน
“แม่ พ่อ ย่าภา..” หวานเปรย “หิวข้าวแล้วอ่ะ กินข้าวกันเถอะ”
เอมอรเดินไปลูบหัวหวานอย่างเอ็นดู ทั้งย่าภา จักร และเอมอรต่างสบตากัน รอยยิ้มจางๆ ดูเข้ากันอย่างประหลาดกับสายตาเศร้าๆ ของพวกเขา ณ เสี้ยววินาทีนั้น แม้ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงหัวโล้นที่หวานเห็นเมื่อครู่อีก แต่พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของกันและกันได้เป็นอย่างดี
-- จบตอน --
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง