ชีวิตเด็กขี้เกียจแสนธรรมดาของ "น้ำฝน" จบลงทันทีที่ตื่นขึ้นมาในร่าง "ลิล" ตัวร้ายสุดแซ่บ หล่อ รวย เพอร์เฟกต์ แถมดาบยังเทพเรื่องการใช้ดาบ! แต่... ใครบอกว่าผมต้องใช้ดาบ! ภารกิจด่วนคือขายดาบทิ้งไปไกลๆ แล้วหนีไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ แต่ไหง หมอนั่น พระเอกปีศาจต้องสาปสุดหล่อถึงตามติดผมแจ แถมสายตาดุดันยังดูหิวกระหาย... อย่าบอกนะว่าจะ... กินตับ! ม่ายยยยย
เฮ้ยๆ อัญชลี วันทา อภิวาท ถุย!
อย่าเอาดาบมาชี้หน้ากันแบบนั้นสิ!!
แล้วคิ้วน่ะ เป็นอะไร เส้นกระตุกเหรอ ทำหน้าอย่างกับผมไปเผาบ้านเขาอย่างนั้นแหละ
ผมแค่เป็นนักดาบเองนะ
แถมเป็นนักดาบที่ใช้ดาบไม่เป็นด้วยจะบอกให้!! ฆ่าไปก็ตายฟรี...
ฉายานักดาบอันดับหนึ่ง อืม เส็งเคร็ง...อย่าเอามาปาใส่หน้ากันได้ไหม แก้มนุ่มๆอ้วนๆสองข้างเหมือนโรตีนุ่มฟูของผมไม่ได้ปั้นมาให้ไปแปะบนประกาศเสี่ยงตายหรอกนะ
ซวย ซวย ซวยสุดๆ
‘น้ำฝน’ ชื่ออันแสนชุ่มฉ่ำ แต่ชีวิตแสนเฉอะแฉะ น้ำฝนบ้าบออะไร น้ำกรดสิไม่ว่า ร่างกายกำยำสมชาย (ไรท์:นางคิดไปเอง) ที่ตายคากองหนังสือไปแล้ว ทำไมยังต้องมาตรากตรำในโลกนี้อีกด้วยหา!
ตัวร้ายที่เป็นถึงตระกูลขุนนาง หล่อ รวย และมีฝีดาบเป็นเลิศ เออ มันก็ดี แต่ ...นี่มันบ้าบอคอหอยพอกอะไร ไม่เห็นมีสกิลของร่างนี้ติดมาสักนิด
เมืองฟาริคท้องฟ้าแดงแจ๋น่ากลัวจากคำสาปเหนือหัว เยี่ยม! ช่างเป็นการต้อนรับชีวิตใหม่ที่ไฉไลมาก
“น่าฆ่าให้ตายจริงๆ” สายตาแกร่งปรายมองอย่างปรามาส “เจ้ามันไร้ยังอายที่สุด”
ไอแดดร้อนๆนี่ก็น่าหงุดหงิดจนผมรู้สึกว่าตัวเองจะเพี้ยนหน่อยๆแล้วนะ แต่ไอ้เจ้าตัวปาดผมสีดำประกายขึ้นไปแรงๆนั่น ดันใส่ชุดชุดคลุมหนาเตอะข้างในคงไหลเป็นน้ำ
เฮ้อ...คนดีๆที่ไหนใส่ชุดรุ่มร่ามหนาๆแบบนั้นมายืนท้าแดดรังควานชาวบ้านเขาแบบนี้ กางเกงยีนสังตัดพิเศษที่ผมใส่กับเสื้อขาวแขนยาวแผงคอลูกไม้นี่ยังแทบทนไว้ไหว
น่ารำคาญชะมัด
ดาบใหญ่วาววับคมกริบปลายดาบเล็งสู่เจ้าของ สองขาศัตรูย่างสามขุมลดระยะห่างแบบไม่เกรงกลัว เจ้าของร่างนี้เป็นถึงตัวร้ายแห่งยุคที่ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด มีคุณสมบัติที่เรียกว่าความโหดเหี้ยมอัมหิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม!
หัวทื่อๆนั่นคงตายไปหลายสิบครั้ง แต่ผมไม่ใช่!
“แล้วยังไง” เท้าเอวถาม ตีหน้านิ่งสุดๆ
“มาสู้กับข้า! ฮ่าๆ หรือว่าเจ้ากลัวแพ้ข้า ถึงขนาดเอาดาบศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าไปจำนำเลยงั้นหรอ”
นัยตาดูหมิ่นแฝงความร้ายกาจ มือกระชับดาบอย่างเตรียมใจ ออร่าข่มขวัญแผ่ออกมาราวประกาศสงคราม ทว่า...
สมองเจ้าบ้านี่ทำจากเมล็ดถั่ว!
คนบ้าที่ไหนจะกลัวแพ้ทั้งที่เป็นถึงยอดฝีมือ คิดเอาเป็นตุตะว่าคนอื่นเขากลัวแพ้ตัวเองจนต้องเอาดาบไปขายเนี่ย น่าเหนื่อยใจแทนตัวร้ายในนิยายตัวจริงแท้ๆ
ดาบนั่นพอผมเข้าร่างนี่มาก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ใช้หั่นผักยังสู้มีดอีโต้ธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงจะรู้ว่าเป็นดาบชั้นดี...
แล้วไง จะว่าเพี้ยนก็ตามใจ ของอันตรายที่จะนำพาแต่เรื่องซวยๆน่ะ เชิญไปห่างๆไกลๆเลย
‘คำสาปของจักรวรรดิที่สาปสูญ’ นิยายวายอีโรติกที่ผมตรวจมันจนตาย แม่บังเกิดเกล้าผู้บ้างานราวกับจะกินมันเข้าไปเป็นคนแต่ง เรื่องราวสุดวิปริตของพระนายชายชายที่พบรักกัน ท่ามกลางกองเลือดของขุนนางและพระราชาผู้เป็นพ่อแท้ๆของพระเอก
โลกที่กษัตริย์กับขุนนางคานอำนาจระหว่างกันแท้ๆ พ่อสั่งฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ ความประสาทแดกที่สยบได้ด้วยความรักของตัวละครที่โผล่มาในช่วงน่าซิ่วหน้าขวาน
ช่างเป็นนิยายที่...ไม่เมคเซ้นส์สุดๆ
แปะ!
“เฮ้ย คุณชายคาลิล เจ้ากล้าเมินข้างั้นหรอ!”
ไหล่กระแทกหน่อยๆเพราะแรงตีอย่างสนิทชิดเชื้อ ก่อนไอ้คนตีมันจะเด้งกลับไปอยู่ที่เดิมเมื่อผมตวัดตามองครั้งเดียว
แล้วจะทำกร่างเพื่อ...
เด็กหนอเด็ก!
ปัก!
“คาลิล จิม เจ้านักดาบอันดับหนึ่ง ข้า กาวิน คาร์โล บุตรชายคนเดียวในตระกูลกาวินแห่งหัวหน้าอัศวินขอท้าประลองดาบกับเจ้า!”
ดาบที่เคยอ่านในต้นฉบับนิยายถูกโยนใส่มือ เด็กเก็บดาบชี้หน้าประกาศกร้าวราวราชสีห์แผ่อำนาจ ผมมองอาวุธประจำกาย(ตัวร้าย)ที่เงาวับในมือสลับกับเด็กน้อยที่ชักดาบตัวเองออกมาตั้งท่าโจมตี
เก็บดาบมาให้ไม่พอ อุตส่าห์ขัดถูให้อีกนะ
ช่างซื่อสัตย์จริงๆ
ในนิยาย เจ้าหมอนี่กากสุดๆแบบกู่ไม่กลับ ถ้านับคะแนนก็คือกินไข่ตลอด เรียกว่ารบร้อยครั้งแพ้ร้อยครั้ง
ใจสู้กล้ามาท้ากัน แต่ยืนขาสั่นอยู่ไม่ใช่เหรอ!
ผมโยนดาบทิ้งที่พื้นไม่แคร์สายตาใคร หมุนตัวกลับ
“เฮ้ย อย่าเมินข้านะ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นบุตรตระกูลที่ปรึกษาพระราชาแล้วจะเก่งกว่าข้าหรอ” เดินตามหลังต้อยๆ นึกว่าลูกเจี้ยบ
“ทำไมล่ะ ข้าก็ไปไถ่ดาบที่จำนำมาคืนเจ้าแล้วไง เจ้าก็ควรจะประลองกับข้าสิ” เสียงประตูรั้วปิดลงพร้อมแผ่นหลังอีกฝ่ายที่เดินกลับเข้าคฤหาสน์ไป น้ำเสียงเบาๆเอ่ยอย่างเศร้าโศก “ข้าไม่ได้เรื่องหรือ”
.....
ซ่า ซ่า
สายน้ำอุ่นๆขับความร้อนในร่างได้ดีนัก แช่น้ำสักพักสมองก็โลดแล่น เดิมทีผมไม่ใช่คนที่ชอบคิดโน่นนี่ แต่ร่างนี้ลากอะไรต่อมิอะไรมาให้คิดตลอด จริงๆก็รู้สึกว่าตัวเองโครตแปลก แต่ถ้าไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงอะไรก็ไม่อยากใส่ใจไปเสียทุกเรื่อง
“เฮ้อ นี่ก็หลายปีแล้วที่มาอยู่ที่นี่ ช่วยแม่ตรวจอักษรในนิยายอยู่ดีๆ ไม่ทันรู้ตัวก็กลายมาเป็นตัวร้ายซะเอง ชีวิตอันสั้นที่ต้องโดนพระเอกฆ่าตาย จะหลบซ้ายหลบขวาอย่างไร”
“จะว่าไปพระเอกนิยายเรื่องนี้ชื่ออะไรนะ จำไม่ได้ แต่เหมือนว่าจะเป็นเจ้าชายต้องสาปที่ทำให้ท้องฟ้าทั้งใบเหนือเมืองนี้ถูกย้อมด้วยสีเลือดใช่ไหมนะ เฮ้อ... ถึงจะน่าสงสัยเพราะเขาโดนพระราชาที่เป็นพ่อของตัวเองสั่งฆ่า แต่จะมาล่าหัวเหล่าตระกูลขุนนางทั้งหมดในอาณาจักร ก็ยังไม่น่าเห็นด้วยอยู่ดี ช่างเถอะ ถ้านายเอกโผล่มาล้างแค้นในใจพระเอกได้ ผมขอแค่ตอนนั้นตระกูลผมยังไม่ตายก็พอ”
แต่ว่า...
“โอ๊ยยิ่งคิดยิ่งเครียด” ยีหัวตัวเองแรงๆ “ตระกูลคาลิลนี่ดันเป็นที่ปรึกษาราชวงศ์เสียด้วยไง ลูกชายตัวร้ายก็ดันเก่งดาบเสียจนไปเข้าตาพระเอกจึงต้องถูกล้างบางตั้งแต่ต้นเรื่อง ทำยังไงดีๆๆๆๆ”
…..
“มาอีกแล้ว นี่มันกี่วันแล้ว ไม่รู้จะมาทำไมทุกวัน” ยืนมองบางคนจากริมหน้าต่าง “อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่สวมบทตัวร้าย แต่หมอนี่มันน่ารำคาญจริงๆ”
คำว่าเข็ดหลาบ เห็นทีคงต้องสอนให้รู้จักบ้างแล้ว
…..
แอ๊ด
ประตูรั้วออกเปิดออกเบาๆ สองขาก้าวอย่างมั่นคงไปหาคนที่ชอบทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“ส่งดาบมา อย่าลีลา จำไว้ด้วยว่า จะไม่มีการประลองครั้งหน้าอีก”
“เจ้าคงมั่นใจในตัวเองมากใช่ไหม ใช่…ข้าอาจจะแพ้เจ้ามาตลอด แต่วันนี้ข้าจะโค่นเจ้าให้ได้ ฮ่าๆ”
อีกฝ่ายยกยิ้มร้ายโยนดาบคู่ใจมาให้ผม ก่อนจะชักดาบคาดเอวของตัวเองออกมาด้วยท่าทางสนุกสนานราวกับกำลังฉลองชัยชนะที่จะมาถึง ร่างสง่ากำลังยินดีและสั่นกลัวพร้อมกัน
คนที่ต้องกลัวคือทางนี้ไม่ใช่หรือไง แค่จับดาบให้เป็นยังทำไมได้แท้ๆ หมอนี่ดูไม่ออกได้อย่างไรเนี่ย
งี่เง่า
เช้ง!
ปึก!
ร่างถลาพุ่งเข้ามาหา ดาบทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างแรงจนคนต้านกำลังปวดข้อมือ ตาคมฉายชัดจ้องมาเพื่อท้าทายโทษะ สุดท้าย...
“ข้าแพ้แล้ว” อีกฝ่ายชนะตามปรารถนา
“อะไรกัน ทำไม” เจ้าตัว...มองดาบในมือตัวเองอึ้งๆ
“ฝากเจ้าเก็บดาบข้าที่พื้นไปจำนำด้วยนะ”
เฮ้อ...ดาบหลุดได้จังหวะมาก
โล่งอกไปที ที่ผมไม่ได้บาดเจ็บ
…..
วันรุ่งขึ้น
ก๊อกๆ
สาวใช้ชุดเมดหน้าตาสะสวยเปิดประตูด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม สายตาสองคู่ประสานมาทางนี้ทันที ห้องนั่งเล่นตกแต่งเว่อร์วังตามสไตล์นิยายไร้สาระของแม่ ผนังและเฟอร์นิเจอร์ต่างพากันคุมโทนสีฟ้า ฟ้าแบบ ฟ้าาาาาาา!!!!
ณ จังงังไปเลย
“ข้ามาแล้วครับ ท่านพ่อ ท่านแม่”
สาม สอง หนึ่ง เป้ง!!
“จิม ลูก...”
นั่นไง หย่อนก้นกลมๆนั่งไม่ทันไร สองสามีภรรยาคู่นี้ ดูภายน้อยภูมิฐานสมกับที่เป็นขุนนางใหญ่ ทว่า...สรรหาอะไรมาพูดนักหนา ประเด็นหนึ่งบรรทัดทำไมมันยาวเป็นชั่วโมงแบบนี้
สุดท้าย ก็ได้แต่นั่งจิบชารับชะตากรรมวนไป
.
.
.
สองชั่วโมงผ่านไป
จบเสียที
“ไม่ใช่ว่าพ่อกับแม่ไม่รักลูก พ่อกับแม่อยากให้ลูกเข้าใจ…”
“สรุปคือให้ข้าไปเอาดาบกลับมาสินะครับ”
อ่ะ ไม่ต้องมาทำอ้ำอึ้งงึกงักกันเลย
ไม่รู้ป่านนี้ กลายเป็นเหล็กตีหม้อไปแล้วมั้ง อย่างไรหมอนั่นก็ชนะสมใจแล้ว จะให้ถนอมของนั่นดูจะบ้าไปหน่อย
เอาเถอะ ถ้าตีเป็นหม้อก็ซื้อหม้อกลับมาแล้วกัน ท่านพ่อกับท่านแม่คงได้ตะลึงหงายหลังตกเก้าอี้แน่
จะว่าไป ตลาดน่ะ...มันเป็นสถานที่อันตรายสุดๆเลยไม่ใช่หรือ!
…..
สุดท้าย...
โรงเตี๊ยมรับจำนำแห่งเดียวในเมืองที่ไม่รู้ว่าตัวเองมากี่รอบแล้ว แต่คงพอๆกับคนบ้าตระกูลกาวินนั้น ความสัมพันธ์แบบคนหนึ่งจำนำคนหนึ่งไถ่วนเวียนไปไม่จบไม่สิ้น
ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะกลับตะละปัตร
“เฮ้อ แค่มีดหั่นผักยังใช้ไม่เป็น จะให้ใช้ดาบเนี่ยนะ ถ้าพ่อแม่รู้เรื่องนี้จะอยากให้มาเอามันกลับไปอยู่ไหม ช่างเถอะ ดูจากการเลี้ยงลูกก็พอรู้แล้วว่าทำไมตัวร้ายถึงเอาแต่ใจ”
ไอ้น้ำฝนเอ๊ย เกิดเป็นอะไรไม่เกิด ดันเกิดเป็นตัวร้ายที่ใช้ดาบ
หลังถอนหายใจปลงๆผมก็กลั้นใจเดินเข้าไปได้
หญิงสาวตัวปุ๊กปิ๊กกระทัดรัดประจำการอยู่ที่โต๊ะต้อนรับด้านในสุด
“สวัสดีค่ะคุณชาย”
“ข้าขอรับดาบที่เพิ่งมาจำนำวันนี้”
“วันนี้ไม่มีดาบเข้ามาเลยค่ะ ขออภัยด้วยนะคะคุณชาย”
จะเป็นไปได้อย่างไร?
คว้าน้ำเหลว? ต้องไปตามหาตัวเด็กนั่นซะแล้วสิ
ผมทำหน้าเนือยสุดๆเป็นครั้งแรกในชีวิต สองขาก้าวร่อแร่หมดแรงออกมา
ตุบ! ผั่วะ!
เสียงประหลาดออกมาจากตรอกเล็กๆข้างๆร้านคาเฟ่หนุ่มน้อย
“เฮ้ย ไอ้กระจอก แกเป็นเบ๊ไอ้นักดาบอันดับหนึ่ง ไม่ใช่หรอ สู้หน่อยสิเว้ย”
“เบ๊นักดาบอันดับหนึ่ง?”
ตรอกแคบๆ มืดๆ ชื้นแฉะที่แม้แต่หนูจี๊ดๆก็คงไม่วิ่งผ่าน มีกลุ่มชายฉกรรจ์กล้ามปูทำตัวกร่างกระทืบใครบางคนที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่พื้น มืดเกินเลยไม่เห็นว่าคนที่โดนทำร้ายเป็นใคร
ตุบ! ผลั่ก!
“สู้หน่อยสิวะ แบบนี้มันจะไปสนุกอะไรวะ”
เสียงเจ็บปวดและส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด แต่ก็ไม่มีทีท่าจะโต้กลับหรือขยับตัว
หรือจะขยับไม่ได้! แขนขาหักไปแล้ว!
…..
“พี่ชายครับ”
เชิ้บๆ เชิ้บๆ
“พี่ชายไม่อยากมาเล่นกับข้าหรือ”
อยากตาย
สะโพกอวบๆใต้ผ้าวับๆแวมๆโยกไปมาซ้ายทีขวาที ผ้าปิดหน้าจากร้านคาเฟ่หนุ่มน้อยข้างๆช่างยัดเยียดบทบาทน่าฆ่าตัวตายมาให้ผม แม้ฟันบนล่างจะกัดกันแน่นแต่น้ำเสียงเล็กๆจะการบีบหลอดลมก็ดูออดอ้อนสมที
อยากเอายาอมยัดใส่ปากตัวเองเลย จบงานนี้ผมจะเผาเศษผ้าพวกนี้ทิ้ง!
คาร์โล!
เสียแรงเปล่าจริงๆ เด็กนี่...คนที่โดนซ้อมเป็นเด็กนี่หรือ
“ถ้าข้ามีดาบอยู่ในมือล่ะก็…ฮ่าๆ คนเก่งอย่างข้าไม่มีวันอยู่ในสภาพนี้แน่”
ไม่ใช่แล้ว! หมอนี่มันอยากตายใช่ไหม ไอ้ที่อยู่ในมือนั่นมันก็ดาบไม่ใช่หรือไง
“น้องชาย เจ้าหนีไปจากตรงนี้ซะ! ฮ่าๆ วันหลังตอบแทนข้าด้วยล่ะ”
ช่างเถอะ
รักษาตาที่บวมปูดของตัวเองก่อนไหม ขนาดเลือดแดงสดกลบปากจนหยดลงพื้นเป็นวงขนาดนั้น แต่ก็ยังกอดห่อดาบของคนอื่นไว้แน่น
ดาบมันมีไว้ฟัน...ดึงออกมาสิเว้ย จะกอดเป็นหมอนข้างเพื่อ!
ความหยิ่งที่ดูโง่ของหมอนี้ ดูๆไปก็น่าช่วยอยู่หน่อยๆ
โบราณว่าเล่นกับหมา หมาเลียปาก เล่นกับสาก สากตีหัว แต่ถ้าเล่นไปขโมยสากต่อหน้าหมา ผมอาจจะโดนหมากัดทั้งปากกัดทั้งหัวก็ได้!
ผมก็ฉวยจังหวะนั้น ฉุดมือคาร์โลเผ่นแนบ
วิ่ง!
…..
ถนนใหญ่ผู้คนเดินสวนกันไปมาทำให้ฝ่าได้ยาก ด้วยร้านค้าและบ้านคนส่งเสียงเจี้อยแจ้วครึกครื้นและกลิ่นหอมหวนชวนหิวมาตลอดทาง แต่ที่เรียกว่าตัวฉิบหายคือ แสงไฟสองข้างทางที่คอยแต่จะเผยตำแหน่งของผมนี่แหละ
“บ้าเอ๊ย!” ไม่ไหวแล้ว วิ่งต่อไปไม่รอดแน่ สองขาอ่อนแรงเต็มทีแล้ว “แยกกันเถอะ ข้าไม่ไหวแล้ว”
“ฮ่าๆ แฮ่กๆ ล้อเล่นใช่ไหม คนอย่างข้าจะทิ้ง…” เอามืออุดปาก
“แข่งกัน! ใครไปถึงบ้านเจ้าก่อนชนะ”
“ฮ่าๆ น้องชาย ที่แท้เจ้าอยากเห็นความเก่งกาจของข้าสินะ แล้วเจ้าจะเสียใจที่ท้าแข่งข้า เจอกันไอ้หนุ่มน้อย”
มือหนาตบบ่าผมสองสามทีก่อนจะวิ่งสี่คูณร้อยนำหน้าไป
เดี๋ยวนะ...
น้องชาย? หนุ่มน้อย? อย่าบอกนะว่าหมอนั่นจำกันไม่ได้
“พวกเจ้าหาเจอไหมวะ ไปหาทางโน้น” เสียงนักเลงที่คุ้นเคยดังแว่วมาจากด้านหลังไม่ไกล “เฮ้ย มันอยู่นั่น!”
นี่นักเลงหรือนักวิ่งโอลิมปิก โลกนี้มันไม่มีตำรวจเลยหรือไง!
วิ่ง…
ปึก กึกๆ
“แย่แล้ว!”
ผมพยายามวิ่งเข้าบ้านคนที่อยู่ใกล้ๆแต่ประตูดันล็อกหมด
นิยายเรื่อง ‘คำสาปของจักรวรรดิที่สาบสูญ’ คาลิล จิม ลูกชายคนเดียวของตระกูลกาวิน ตระกูลขุนนาง ที่ปรึกษาพระราชามาตั้งแต่รุ่นทวด นักดาบอันดับหนึ่งที่ถือดาบไล่ฆ่าพระเอกเพื่อเกียรติยศจนสุดท้ายต้องถูกพระเอกฆ่าตาย นี่ชีวิตตัวร้ายมันยังน้ำเน่าไม่พอใช่ไหมถึงต้องเพิ่มพล็อตโดนนักเลงตามรุมกระทืบด้วย!
แกร๊ก!
“กลอนประตูเสียหรือ? ช่างมัน เข้าไปหลบก่อน ไม่มีเวลาแล้ว”
ในที่สุดก็เจอบ้านที่สามารถเข้าไปหลบได้เสียที
ฟิ้ว~
“แค่กๆ รู้สึกเหมือนจะสำลักฝุ่นตายเลย ที่นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“ออกไป” และเขากำลังมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างผม
“ข้าหนีเจ้าหนี้มา ขอหลบครู่เดียวเท่านั้น”
ฝุ่นในอากาศที่ฟุ้งกระจายจนต้องยกมือปัดป้องไม่ไหว บ้านโทรมๆเน่าๆว่างเปล่า ผนังกับเตาผิงก็เหมือนจะทรุดโทรมราวกับร้างมาร้อยปี เสียงทุ้มต่ำดังมาจากชายหนุ่มคนที่นั่งเก้าอี้โยกอยู่ในมุมมืดฝั่งตรงข้ามที่หันมาทางนี้พอดี
คนอะไรเหมือนผีชะมัด
ฟึ่บ!
“แค่กๆๆ ทำบ้าอะไร”
วิธีไล่แขกแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน! ผมโกรธจนตัวสั่นเหวใส่คนที่สะบัดเสื้อคลุมดำ พัดฝุ่นหนาเตอะใส่ผมอย่างจงใจ สองขาเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง
พอเดินเข้ามาใกล้ประมาณหนึ่ง รูปร่างลักษณะของคนตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้น เขามีหุ่นที่เรียกได้ว่าน่าอิจฉา มือที่โผล่พ้นขอบเสื้อผิวสีขาวราวกับแสดงตัว
กึก!
“ไม่หรอกมั้ง”
ความโกรธที่มีมลายสิ้น เครื่องแต่งกายนั้นทำให้ขาผมหยุดชะงัก ไม่กล้าเดินต่อ ในใจภาวนาพุทโธ ผิดคาด ธรรมโม ผิดคาด สังโฆ ผิดคาด วนไป
ชุดคลุมยาวสีดำ เข็มกลัดเงินรูปดอกไฮเดรนเยียตรงตำแหน่งหัวใจ!
ตึกตัก ตึกตัก
“บ้าเอ๊ย ขามันไม่ยอมถอยกลับ”
“หนุ่มน้อย มาขายบริการสินะครับ”
ขายพ่อ* ขายแม่*สิ
เสียงเย็นๆเอ่ยออกมาชวนให้ขนลุกซู่ สายตาร้ายกาจที่รู้ได้แม้มองไม่เห็น ไอเย็นที่แผ่ออกมารอบตัวเขา ราวกับจะฉีกทึ้งร่างทั้งร่างออกไป
......
“ฮวาหลวน ลูกต้องช่วยงานเย็บปักของตระกูล” “ไม่มีทางหรอกแม่”ของมีคมสำหรับผม มันคือไวอากร้าน่ะสิ!แต่ใครจะไปคิดว่า…“ขนาดเกิดใหม่ ยังโดนสั่งให้เย็บผ้าอีก!”“ไม่ทำ ตัดนิ้ว” แม่ทัพใหญ่แม้จะทำเสียงดุ
ไวน์ นักศึกษาปี 2 เดือนคณะผู้ปฏิญาณตนว่าจะโสดตลอดไป เจ้าของใบหน้าหล่อออกหวานนิดๆแบบเกาหลี คนที่วันๆอยู่กับการวิ่งไปแย่งคอมตัวแรงเพื่อดูหุ้นไม่ก็จมหัวอยู่ที่ร้านหมูกะทะ เรื่องโน่นนี่ไม่สนก็จริง แต่ใครอย่ามาปากหมาใส่แล้วกัน แปลงร่างเป็นพิตบูทันที เบียร์ เอกอินเตอร์บริหาร คุณชายตระกูลดังขี้รำคาญ ใบหน้าหล่อคมที่ใครๆก็บอกว่าควรขึ้นตำแหน่งเดือนมหาลัย คุณชายที่ขับรถหรู ใช้ของแบรนด์เนมทั้งตัว แต่ติดที่ปากเสีย ขี้เหวี่ยง ไม่คบค้าสมาคมกับใคร ขู่ได้แม้กระทั่งอธิการบดี ꧁{★… ★}꧂ ไอ้ผู้ชายปากหมานั่นใครวะ หยิ่งฉิบหาย พอแหย่เขาแล้วเขาไม่เล่นด้วย ไวน์เลยตามตอแยทุกวิถีทาง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ด่าเขาปาวๆ บอกแค่จะเอาของมาคืน! เบียร์เห็นก็เลยแก้เผ็ด วุ่นวายดีนัก ตีหัวรวบเข้าบ้านเลยแล้วกัน “อย่าดื้อ หมอสั่ง” “หรือวะ หมอสั่งให้กูอยู่กับมึงนานขนาดนี้เลย?” ฟอด!!! คุณตำรวจ มีคนลวนลาม! “ไอ้เห้เบียร์!!” ꧁{★… ★}꧂ Trigger Warning ***สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*** นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาติดเรท 18+ คำหยาบคาย และฉากไม่เหมาะสม. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. *พฤติกรรมบางอย่างไม่ควรลอกเลียนแบบ
เหมยลี่ อายุ 25 ปี คุณหนูผู้ร่ำรวย สาวตากลมตัวเล็กผิวขาวมาดซีอีโอนุ่มนิ่ม เธอใช้เงินบัลดาลทุกอย่างตามใจ ไม่แคร์โลก ใครจะรู้ว่าภายใต้หน้ากากของซีอีโอสาวสุดเพอร์เฟค จะเต็มไปด้วยเรื่องราวของนิยายในหัว แถมมีอยู่เรื่องเดียวซะด้วย งานนี้งานการไม่ทำมันแล้ว มู่จิน พระเอกนิยายติงต๊อง ที่ฆ่าเมียตัวเองตายในคืนเข้าหอ ชายหนุ่มร่างใหญ่เจ้าของเรือนผมดำยาวและสันกรามทรงเสน่ห์ เขามีประวัติความเป็นมาหรือเรื่องราวของเขาเป็นมาอย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้ได้ เขาเบื่อหน่ายโลกใบนี้เต็มทน ชีวิตคนสำหรับเขาก็เป็นเพียงเศษหญ้าเท่านั้น ꧁⊱ ⊰꧂ เพราะถูกรถชนตายตอนที่เพิ่งอ่านนิยายจบรอบที่ 99 ยังไม่ครบร้อย พอลืมตามาก็อยู่ในร่างตัวประกอบ ไม่ใช่นางเอกไม่พอยังต้องแต่งงานกับคนบ้า 'เหมยลี่' คนนี้เลยต้องพยายามฆ่าเจ้าบ่าวในห้องหอ ก่อนที่เธอจะถูกเขาฆ่าตามบทในนิยายอีกครั้ง แต่แล้ว ความพยายามของเธอก็ไร้ค่า เธอตายอีกครั้งแล้วไม่ได้กลับโลกเดิม แต่ย้อนกลับมาที่คืนเข้าหอ ทว่าทำไมรอบนี้คุณพระเอกเจ้าบ่าวมองเธอตาเยิ้มขนาดนั้นล่ะเนี่ย ꧁⊱ ⊰꧂ Trigger Warning ***สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*** นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาติดเรท 18+ คำหยาบคาย และฉากไม่เหมาะสม. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. *พฤติกรรมบางอย่างไม่ควรลอกเลียนแบบ*
เตียวเฉิน ก่อนตายเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ในโลกใหม่ เขาเป็นพระรองมาดแมนแม้ตัวจะไม่มีกล้ามแซงหน้าพระเอก ในเมื่อเกิดมาหล่อ รวย หน้าตาการศึกษาดี แต่ข้างในวิญญาณไม่มีความรู้สักกะติ๊ด เขาจึงพยายามใช้สมองอันน้อยนิดหาหนทางรอด ด้วยการ มุดโพลงหมาลอดออกไปเป็นขอทานเสียเลย มู่จิน พระเอกของโลกใบนี้ นักธุรกิจและผู้มีอำนาจที่สุดในเมือง ชายหุ่นกล้ามที่ชอบใส่สูทผูกไทป์ แล้วหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน สีหน้าของเขาเยือกเย็นตลอดเวลา อะไรๆในโลกก็น่ารำคาญไปหมด ยกเว้นวันที่เห็นตัวอะไรปีนเข้าบ้าน ꧁{★… ★}꧂ เกิดใหม่ก็ต้องดิ้นรนหนีออกจากบ้าน พอนึกไปแล้ว เข้าร่างพระรองมาได้ไม่กี่เดือน แต่เดี๋ยก็ถึงเวลาที่พระเอกนายเอกเขาก็จะเจอกันแล้ว ผมก็ชิงหนีออกไปเป็นขอทานก่อนน่ะสิ เรื่องอะไรจะอยู่รอแบดเอ็น เอ๊ะ ผู้ชายที่เปลื่อยกายนั่นหน้าคุ้นๆ ทำไมบ้านที่ผมปีนกำแพงเข้าไปมันดันเป็นบ้านพระเอกล่ะ ซวยแล้ว งั้นตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้ก่อนแล้วกัน ทั้งที่ตั้งใจจะอยู่ที่นี่อีกนิดเดียวแท้ๆ พวกคนใช้เองก็บูลลี่กันอยู่ได้ ผมมั่นใจว่าพระเอกต้องโยนผมออกไปในไม่ช้า เขาน่ะระแวงผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่... แปลกๆ นะ ขอทานแล้วได้เสื้อผ้า อาหาร เพชรพลอย ที่แปลกกว่าคือ พอผมอาละวาทพังบ้าน เกิดอะไรขึ้นรู้ไหม เจ้าของบ้านซื้อเฟอร์ใหม่มาให้พังเพิ่มน่ะสิ วันๆหัวจะปวด เขาจับผมมัดตั้งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องทำงาน แล้วก็เอาแต่นั่งครุ่นคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรมาให้ตอนผมขอทานดี ผมนี่ขมวดคิ้วเลย ꧁{★… ★}꧂
เมื่อคู่แห่งโชคชะตา4ขวบ อัลฟ่าพัมธุ์แท้คนสุดท้าย ผู้เพรียบพร้อมด้วยเงินและอำนาจ วันหนึ่งลูกน้องก็พังประตูเข้ามาบอกว่า เจอคู่โชคชะตาเขาแล้ว ทว่า จะป้ำลูกยังไง ก็เนื้อคู่เขาใส่ชุดอนุบาลหมีน้อยกอดตุ๊กตา
อาหลีพยายามหาหลัวในฝันผ่านตู้ปลากัด ใครที่เดินผ่านปลากัดแล้วจ้องตาเขาตอน9โมงตรงคนนั้นคือ เนื้อคู่ ...เจ้าของร้านเอือมจนขี้เกียจไล่ มาบ่อยแค่ไหนถามใจเธอดู แต่โชคชะตาก็เล่นตลกเมื่อเนื้อคู่ไม่ชอบป้าบ!
แรกเริ่มเขา 'ซื้อ' เธอมาเพื่อบำบัดความใคร่ เมียชั่วคราวที่มีไว้แก้เหงา แต่สุดท้ายแล้ว...เมียชั่วคราวนั่นแหละ ที่อยากได้เป็นเมียจริงๆ ผู้หญิงสู้ชีวิตอย่างนับดาว...ไม่ยอมแพ้โชคชะตาที่นำพาตนเองไปรับบทน่าอดสู เธอถูกหลอกจากคนที่ไว้ใจที่สุด!! กับการ 'ขายตัว' เขาเหยียดหยามสารพัด ดุถูกจนเธอเจ็บช้ำเจียนตาย เธอเลือกทางหนี เพื่อจบปัญหาน่าปวดหัวครั้งนี้.... ขอเริ่มต้นใหม่ กับชีวิตแบบใหม่ แต่ทำไมล่ะ?...ทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยเธอ ในเมื่อเขาชิงชังเธอนักหนานี่นา?????
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง