เมื่อคนแปลกหน้า นัยว่าเป็นเศรษฐีใหม่เข้ามาในเชียงราช เขากว้านซื้อบ้าน ที่ดินและทรัพย์สินที่ตกทอดมาตั้งแต่ต้นตระกูลของ ณิชา ไป ทายาทที่เหลือเพียงคนเดียว แถมยังสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างเธอจะทำอย่างไรได้ นอกจากทำใจยอมรับ คิดจะหลีกทางให้อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวที่สุด แต่นั่นไม่นับรวมถึงการถูกทำร้ายจิตใจ ดูหมิ่นเกียรติไม่เว้นวัน มันทำให้ณิชาสุดจะทน...จากที่คิดจะถอยอย่างสงบ จึงฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง คอยดูนะ เผลอเมื่อไหร่ ณิชาคนนี้จะตลบหลัง เอาทุกอย่างคืนมาให้หมด! ส่วน ไรวินทร์ คนอย่างเขาคงไม่เหมาะกับการปิดทองหลังพระจริงๆ สำหรับแม่คุณหนูตกอับอย่างณิชาคงเข้ากับสำนวนไทยที่ว่าทำคุณบูชาโทษแท้เชียว เมื่อเสียเงินไปก็มาก แต่เจ้าตัวยังทำตัวร้ายกาจไม่เลิก เขาก็หมดความอดทนได้เหมือนกัน แม่จอมวายร้าย งั้นมาลองดูกันสักตั้งไหม ว่างานนี้ใครจะอยู่หรือใครจะไป! .................... “ตกใจที่ฉันรู้ใช่ไหม จะบอกให้ว่าขณะที่คุณอวดตัวว่ารู้เรื่องของฉัน การเคลื่อนไหวของคุณ เรื่องของคุณก็ไม่เป็นความลับ สำหรับฉันเหมือนกัน ฉันรู้ว่าคุณเข้ามาเชียงราชทำไม เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐาน แต่ถ้าฉันหาได้เมื่อไหร่จะส่งให้ตำรวจ อย่าคิดจะมาสร้างเครือข่าย สร้างอิทธิพลในเมืองนี้ได้ สักวันคุณจะตกเป็นผู้ร้ายที่ถูกส่งตัวข้ามแดนกลับไปรับโทษ” คำขู่ดุเดือดจากคนร่างกลมกลึงอรชร มันทำให้ ไรวินทร์ นึกอยาก...สั่งสอนให้รู้จักเขาเสียเดี๋ยวนี้ ชายหนุ่มเดาะลิ้น ปรายตามองแม่แมวน้อยที่กำลังสู้สายตาอย่างไม่ยอมแพ้ นึกพอใจในความเก่งกล้าของ ณิชา อย่างถึงที่สุด มันช่างผิดกับภาพแรกที่เห็นลิบลับ... แล้วอยากรู้ต่อมาว่าภายใต้ผิวขาวนวลแลดูบอบบาง กับท่าทางนิ่มนวลนั้น หล่อนจะซ่อนไฟร้อนอยู่สักขนาดไหน ซีรีย์ชุด สิงห์หนุ่มแห่งเชียงราช
เสียงรถดังฝ่าความเงียบสงัดของราตรีกาล กระทั่งมาเบรกเอี๊ยดตรงหน้าบ้านหลังใหญ่ ทำให้คนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงพร้อมกับถือหนังสือในมือต้องวางมันลงข้างตัว หล่อนนิ่งฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก จนมั่นใจว่าคนมาใหม่ได้เข้ามาในบ้านแน่นอนแล้ว จึงหย่อนเท้าลงกับพื้นเย็นเฉียบ แล้วตรงไปกดปิดสวิตช์ไฟข้างประตู
ความมืดปกคลุมทั่วห้องขนาดกว้างขวางหากจะคิดว่ามีเพียงหล่อนที่อาศัยอยู่คนเดียว ณิชาใช้แสงสว่างจากด้านนอกที่ยังลอดผ่านขอบล่างของบานประตูเข้ามา นำทางกลับไปยังเตียงนอนที่เข้ามายึดไว้เป็นเวลากว่าปีแล้ว
ดวงตาหวานเพ่งมองหนังสือนิยายโรมานซ์เล่มหนา หน้าปกสวยงามดูคลาสสิกที่ยังเห็นในความสลัว หยิบมันมาถือไว้แล้วถอนใจยาว บ่นพึมพำตามลำพัง
“คืนนี้ไม่ได้ทำงานอีกแล้ว ใกล้จะถึงเดดไลน์ แต่ยังแปลงานส่ง บก.ครึ่งแรกไม่ได้เลย ตายแน่ๆ ยายนิดเอ๊ย! ถ้าจับงานสำนักพิมพ์นี้ไว้ไม่ได้ อนาคตเธอมืดมนแน่”
เจ้าของเสียงบ่นหย่อนกายนั่งแกว่งเท้าอยู่ขอบเตียง แล้วนิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงห้าวเคล้ากับเสียงของหญิงสาวที่เธอไม่คุ้นเคย
จะให้คุ้นได้อย่างไร ในเมื่อผู้หญิงที่เข้ามาในบ้านแต่ละคืนไม่เคยซ้ำหน้ากันเลย และจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งยามที่แพทริเซีย แพทย์หญิงคนเก่งที่เป็นลูกติดของแม่เลี้ยงเธอไม่อยู่
ณิชากัดริมฝีปากแน่น นึกชิงชังเจ้าของเสียงห้าวนั้นเหลือเกิน ครั้งแรกหล่อนเจ็บปวดหัวใจเหลือจะกล่าวเมื่อรู้ว่าบ้านที่เป็นสมบัติตกทอดมาตั้งแต่ต้นตระกูลของมารดาต้องตกอยู่ในมือของคนอื่น แต่ก็ยอมรับความจริง หญิงสาวพอจะทำใจได้ ถึงแม้ต้องกล้ำกลืนฝืนทนก็ไม่ดึงดันละว่าบ้านที่อาศัยมาตั้งแต่จำความได้ ตอนนี้กลายเป็นสิทธิ์เด็ดขาดของคนข้างนอกนั่นไปแล้ว
แต่ยังมีสิ่งที่ทำให้เธอปวดร้าวอยู่ทุกคืนวัน ไม่อาจทำใจยอมรับได้สักครั้ง เมื่อเห็นตำตาว่าคนที่เข้ามาครอบครองใหม่ไม่เคยจะให้เกียรติบ้านหลังนี้เลย
เขาทำเหมือนบ้านที่เคยเป็นของครอบครัวเธอไม่มีความหมาย บ้านที่พ่อกับแม่รักนักหนาคงกลายเป็นแค่สมบัติชิ้นหนึ่งในจำนวนไม่รู้ตั้งเท่าไรของเขา จึงได้ทำตามใจปรารถนา โดยไม่ใส่ใจอะไรเลย
ณิชาเอนกายลงกลางเตียง หลังจากลังเลอยู่เป็นครู่ว่าจะเปิดไฟหัวเตียงแล้วนั่งทำงานเงียบๆ มีความมืดห้อมล้อมเป็นเกราะกำบังดีไหม แต่สุดท้ายเมื่อหูยังแว่วเสียงหัวเราะคิกด้านนอกอยู่ จึงรู้ว่าให้ตายอย่างไร สมาธิทำงานคงไม่เกิดแน่ในคืนนี้
หญิงสาวหลับตา พร่ำถามกับตัวเองเหมือนเช่นทุกคืนวัน
เมื่อไหร่เหตุการณ์ซ้ำๆ แบบนี้จะจบลงสักทีนะ เมื่อไหร่สวรรค์จะหาทางออกให้เธอเจอ หรือเมื่อไหร่เขาคนนั้นจะจากที่นี่ไปเอง…
สายมากแล้ว หน้าต่างในห้องนอนชั้นล่างที่หันไปทางด้านหลังของบ้านหลังโอ่โถงถึงถูกผลักเปิดรับแสงสว่างให้สาดส่องเข้ามา ณิชาหรี่ตาลงเมื่อม่านตายังไม่สามารถปรับรับแสงจ้าได้ทันที
มือเรียวขาวยกขึ้นปกป้องดวงตา หลายสิบวินาทีถึงค่อยๆ ลดลงพร้อมกับปรือเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่ จนเมื่อสายตาปรับโฟกัสรับภาพเบื้องหน้าได้ ดวงตาหวานก็เบิกโต
ผู้ชายร่างสูงในเสื้อทีเชิ้ตสีเทากับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มอยู่ในซุ้มกล้วยไม้ที่กำลังออกดอกสะพรั่งนั้นทำให้เธอไม่อาจละสายตา มองข้ามไปได้
มันไม่ใช่ภาพชวนมอง ให้ตายอย่างไรณิชาก็ไม่ปรารถนาให้ผู้ชายคนนั้นมาปรากฏอยู่ในคลองจักษุของตัวเองแน่ หากเมื่อเขาเข้าไปอยู่ในสถานที่สุดรักสุดหวง และด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจก็ทำให้คนในห้องส่วนตัวต้องจับตามองอย่างระแวง
ครั้นมือหนาเอื้อมแตะกลีบดอกคัทลียาที่ห้อยย้อยเป็นพวงจากกระถางเหนือศีรษะ คนเฝ้ามองตาไม่กะพริบต้องกลั้นลมหายใจ และแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา หัวใจของเธอก็โลดแรงขึ้น
ดอกกล้วยไม้สีขาวบอบบางถูกปลิดหลุดจากขั้วมาอยู่ในมือของเขา ณิชาอยากกรีดร้องให้สุดเสียง ถ้ามันทำให้หัวใจที่อัดแน่นด้วยความเกลียดชังบรรเทาลงได้ แล้วดอกไม้ช่อสวยก็ร่วงลงสู่พื้น เขาก้าวข้ามอย่างไม่ไยดี จนคนเฝ้ามองสุดจะทนอีกต่อไป
“คุณไม่มีสิทธิ์เข้าไปในซุ้มกล้วยไม้”
เจ้าของเสียงหวานใส ที่ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าโผล่พรวดมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกระชากเสียงถาม อย่างที่ไม่ต้องเดาอารมณ์ละว่ากำลังเป็นแบบใด
คนร่างสูงใหญ่ที่เมื่อเข้าไปยืนใกล้ ก็ยิ่งรับรู้ว่ายิ่งสูงกว่าที่เธอคิดนักค่อยเบือนหน้ามา ชั่ววินาทีณิชาถึงกับกลั้นลมหายใจเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาคมที่ล้อมกรอบด้วยขนตาหนาที่จ้องมาทางเธอ
“เธอว่าอะไรนะ ใครไม่มีสิทธิ์”
เสียงห้าวทุ้มเปล่งเบาๆ หากกระแสเสียงช่างเขย่าขวัญคนในชุดเสื้อกล้ามกระชับลำตัวกับกางเกงเนื้อผ้านุ่มที่เกาะเกี่ยวเอวกลมกลึงลู่ผ่านสะโพกผายตึงนั้นนัก...และเจ้าของดวงตาคมก็ไม่พลาดที่จะมอง
ผิวกายของณิชาร้อนวูบเมื่อถูกสายตาจ้วงจาบโลมไล้ทั่ว แต่เมื่อพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้แล้ว สิ่งที่ทำได้คือเร่งเรียกความกล้าออกมา ก่อนจะทำเรื่องน่าอายโดยการหันหลังกลับเสียดื้อๆ
“ฉันเคยขอหมอแพทว่าซุ้มกล้วยไม้จะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของฉัน ห้ามพวกคุณยุ่งเกี่ยว หมอแพทก็รับปาก...ดังนั้นคุณไม่ควรเหยียบย่างเข้ามาด้วย”
“ทำไมฉันถึงเข้ามาในนี้ไม่ได้ ในเมื่อทุกตารางนิ้วในบ้านเป็นสิทธิ์ของฉัน และการที่เธอบอกว่าขอแพทเอาไว้ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับฉัน ฉันเป็นฉัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใคร”
คนตัวโตที่มีรูปลักษณ์เป็นฝรั่งเสียครึ่งค่อนย้ำเสียงเข้มอย่างช้าๆ ชัดๆ มันชัดเสียจนคนฟังนึกโมโหอย่างไร้เหตุผล
“แต่...พวกคุณ”
หญิงสาวเค้นเสียงได้แค่นั้นก็หยุดลง สมองเชื่องช้าอย่างน่าขัดใจ คงเพราะเรือนกายหนาใหญ่ที่เห็นหลอกตาว่าสูงเพรียวนั้นช่างข่มขวัญ อีกทั้งดวงตาคมกริบที่จ้องมองเธอก็ทอประกายประหลาด
ชายหนุ่มก้าวขยับไปหาก้าวหนึ่ง ณิชาก็ถอยกรูดโดยอัตโนมัติ ยกสองมือขึ้นกอดอกเป็นเชิงปกป้องตัวเอง...ทั้งที่เมื่อครู่ยังรู้สึกเหมือนผิวกายถูกไฟสุมหมาดๆ แต่ตอนนี้เธอกลับหนาวคล้ายจะจับไข้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“พวกคุณ? เธอหมายถึงใคร”
ไรวินทร์ยกมือเท้าเอวสอบ ท่อนขากางออกน้อยๆ ท่าทางราวกับราชสีห์ที่พร้อมตะครุบแม่กวางน้อยที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในกรงเล็บ
“ซุ้มกล้วยไม้เป็นของรักของคุณพ่อ ฉันไม่ต้องการให้ใครเข้ามาวุ่นวาย และฉันก็ดูแลกล้วยไม้ทุกกอทุกกระถางอย่างดี แต่คุณมาเด็ดมันทิ้ง คุณทำลายมันทำไม”
“แค่นี้นะเหรอที่ทำให้เธอเป็นเดือดเป็นร้อน” เขาอุทานเสียงสูง เรียวคิ้วหนาเลิกขึ้น แลคล้ายประหลาดใจ แต่ณิชารู้หรอกว่าเสแสร้งชัดๆ จนเมื่อคำท้ายหลุดออกมา ดวงหน้าเธอถึงกับร้อนผ่าว
“ไร้สาระจริงๆ”
แล้วเรือนร่างบอบบางทว่ากลมกลึงได้สัดส่วนที่ยืนนิ่งอยู่นั้นถึงกับผงะเซแทบล้ม เมื่อกายหนาเคลื่อนเฉียดกระแทกออกไป ไม่ต้องให้ใครบอกณิชาก็รู้ว่าเขาตั้งใจทำหยาบคายกับเธอ
หล่อนหันมองตามคนที่ย่างเท้าออกไปอย่างมั่นใจ มือบางกำแน่น เนื้อตัวสั่นเทาเมื่อไม่อาจทำอะไรเขาได้
“คนจิตใจหยาบกระด้าง จอมทำลาย น้ำหน้าอย่างคุณไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ คุณมันคนหยาบ ไม่คู่ควรจะเข้ามาอาศัยด้วยซ้ำ”
ได้ผลชะงัดนัก เมื่อได้ปล่อยคำที่อัดอยู่ในอกออกไป คนร่างใหญ่ถึงกับชะงักเท้า ณิชาเกร็งตัวรับสถานการณ์ ถ้าเลือกได้หล่อนก็ไม่โง่ที่จะต่อกรกับคนคนนี้ซึ่งหน้า แต่ถ้าให้ทนอยู่นิ่งเฉย ทั้งที่เห็นอยู่ตำตาว่าข้าวของของพ่อแม่ที่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้า ให้เธอเป็นกำลังใจนั้นถูกเขาย่ำยีอยู่ทุกวี่วัน โดยไม่คิดทำอะไรเลย เธอคงเป็นลูกอกตัญญูเกินไป
แต่สิ่งที่ณิชานึกหวั่นก็ไม่ได้เกิดขึ้น ผู้ชายคนนั้นแค่หยุดนิ่ง เขาหยุดหลายวินาที นานพอจะให้เธอต้องกลั้นลมหายใจรอจนปวดแสบในอก ก่อนเดินต่อเข้าบ้านเสียอย่างนั้น ทิ้งให้หญิงสาวยืนมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยหัวใจเต้นระรัวอยู่ลำพัง
จนก้อนเนื้อเท่ากำปั้นที่ฝังตัวอยู่ในอกซ้ายสงบลง ณิชาจึงผ่อนลมหายใจยาวเหยียด
“ช่างเขา เราพูดความจริงนี่ จะโกรธก็ช่าง”
“เธอเป็นผู้หญิงของเขา แล้วเคยเจอเขาหรือเปล่า รู้หรือว่าเขาเป็นคนยังไง” “ทำไมจะไม่รู้ ถึงเขาจะแก่ แต่ฉันชอบเขา คุณใหญ่ใจดี ไม่หยาบคายอย่างนาย จำไว้นะ อย่าบังอาจแตะต้องตัวฉันอีก ไม่งั้นฉันจะฟ้องเขาให้สั่งคนจับนายยิงเป้า” หล่อนประกาศก้อง คนร่างใหญ่ถึงกับยืนจังงัง หากปิ่นลดาตีความไปว่าเขากำลังกลัวโทษที่หล่อนขู่ “อย่าตามมานะ ถ้าไม่อยากตาย” หล่อนถอยอีกสามก้าว ก่อนหันกายวิ่งหนี ร่างน้อยในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่เห็นลางๆ ในคืนเดือนมืดจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง คนข้างหลังมองตาม ดวงตาคมหรี่ลง กระตุกยิ้มอย่างจอมวายร้าย อย่างนี้จะพึ่งเทคโนโลยีผลิตเลือดเนื้อเชื้อไขให้โง่ทำไม ก็หล่อนร่ำร้องอยากเป็นผู้หญิงของนายใหญ่ใจจะขาดแล้ว!
เมื่อ พราวพิชชา สาวสวยจากเมืองเพิร์ท กลับมายังเชียงราช โดยใช้สิทธิ์ลาพักร้อนสิบห้าวันมาทำภารกิจบางอย่าง...ทั้งหมดก็เพื่อน้องสาว อะไรๆ ก็เป็นไปตามแผน มันดูสำเร็จไม่ยาก แต่แล้วก็มีมนุษย์ป่าเถื่อนอย่าง รัชภาคย์ โผล่มาทำให้แผนของเธอล่มไม่เป็นท่า พราวพิชชาคิดว่าตัวเองแกร่งพอ รับมือเขาได้แน่นอน คราวนี้จะตอกกลับเขาให้หน้าหงาย สมกับที่เคยกวนอารมณ์เธอมาแล้วครั้งหนึ่ง แค่สบโอกาสเถอะ เธอจะจัดการให้อยู่หมัด แล้วจะเป็นไปได้แค่ไหน... เมื่อพราวพิชชาไม่รู้เลยว่าคู่ปรับเก่าอย่างรัชภาคย์มีแผนอะไรอยู่ในใจ เกมนี้เธอจะได้เอาคืนเขา... หรือจะเป็นเขาที่ทำให้ชีวิตเธอพลิกคว่ำคะมำหงายตลอดการลาพักร้อนกันแน่ ----------- "คนท้องคนไส้...หมายถึงลดางั้นหรือคะ ลดาท้องหรือ" "อ้าว! ไม่รู้เหรอว่าน้องสาวคุณท้องจนจะคลอดแล้ว คุณป้า" พราวพิชชา ถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำพูดสวนของ รัชภาคย์ เธอตั้งใจจะไม่สนใจมนุษย์ป่าเถื่อนคนนี้อยู่แล้ว แต่วาจาเราะร้ายที่กระทบโสตประสาท ไม่อาจทนไหวจริงๆ แล้วชายชราที่ดูน่าเกรงขามก็ห้ามทัพ...เป็นครั้งที่เท่าไหร่เธอก็ไม่ได้จำ "นายเล็ก หยุดพูดสักห้านาทีเถอะ คุยไม่รู้เรื่องกันพอดี" ท่านชายปราม แล้วถามแขกสาว "ชื่ออะไรล่ะหนู จะได้ให้เด็กบอกนายใหญ่ถูก" "พราวพิชชาค่ะ พี่สาวของลดา" "ชื่อยังกะลิเก" เสียงเปรยเข้าหูในระยะประชิด พราวพิชชาต้องกลั้นอารมณ์อีกรอบ...
"คุณจะทำอะไร" บัวบูชา ถามเสียงตื่น ถ้าเขายังรังแกกันอีก เธอจะสู้จนขาดใจ หากสิ่งที่เขาบอกนั้นทำให้หญิงสาวชะงัก ไม่มั่นใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า "ผมจะใส่กางเกงให้คุณ" "ไม่ต้อง ฉันไม่ให้คุณใส่" "นั่งนิ่งๆ เถอะ" แม็กซ์เวล ดึงข้อเท้าขาวสะอาดทั้งสองข้างเข้าหาตัวเอง จนเธอร้องวี้ด ถลารูดไปบนโซฟา แล้วยันกายขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ขณะที่คนตัวใหญ่ตั้งหน้าตั้งตาจะสวมกางเกงยีนให้โดยไม่สนใจว่าเธออยู่ในสภาพไหน กระทั่งกางเกงยีนกระชับเรือนร่างถูกดึงผ่านสะโพกผายตึงและก้นงามงอนได้สำเร็จ มือแข็งแรงจึงรูดซิบแล้วติดกระดุมให้เป็นขั้นตอนสุดท้าย... ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ โดยที่สายตายังจับอยู่ที่ผลงานตัวเองอย่างพอใจ "เสร็จสักที ตอนถอดไม่เห็นยากอย่างนี้เลย"
"เฮีย" เสียงเล็กๆ จากเด็กหญิงทำให้ฉัตรฉายยิ้มกว้างอย่างชอบใจ เขาตรงไปหาแล้วนั่งยองๆ บนส้นเท้า สายตาระดับเดียวกับเด็กน้อย "ว่ายังไงคะ แตงหวานคิดถึงเฮียไหม" "คิดถึง คิดถึงเฮีย" เด็กน้อยพยายามพูด ตั้งใจบอกให้เขารู้ความคิดถึงของตัวเอง ฉัตรฉายเอื้อมมือไปหา เมื่อเด็กหญิงไม่ปฏิเสธ เขาจึงค่อยๆ อุ้มแกขึ้นมา ก่อนจะพูด...เหมือนว่าสื่อกับเด็กน้อยเท่านั้น "วันนี้แตงหวานต้องหยุดเล่นก่อน เพราะเฮียมีงานต้องทำ แตงหวานช่วยเฮียทำงานด้วย...ได้ไหมคะ" "ได้ค่ะ" เจ้าตัวน้อยรับคำแล้วปรบมืออย่างชอบใจอีกต่างหาก ญาณินยืนอึ้ง จับทางยังไม่ถูก มองเจ้าของบ้านที่อุ้มหลานสาวเดินลิ่วเข้าบ้านไปแล้ว จนได้สติถึงเร่งฝีเท้าตาม เดินขึ้นบันไดไปจนเขาผลักประตูห้องหนึ่ง "ส่งแตงหวานมาให้ฉันเถอะค่ะ คุณทำงาน แกจะกวนคุณ" "ใครบอกกันล่ะ แตงหวานจะช่วยเฮียทำงานใช่ไหมคะ" ตอนท้ายถามความเห็นจากคนในอ้อมแขน ซึ่งไม่ผิดหวัง มีเสียงตอบรับในทันทีเช่นกัน "ใช่ค่ะ...แตงหวานทำงาน" อะไรกันนี่ แม่หลานสาวจอมป่วนจะมาสนุกอะไรกันตอนนี้ ญาณินถึงกับทำหน้าปั้นยาก อ่อนใจกับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก "มีงานสำหรับเธอด้วย สนใจไหม อย่างน้อยก็เป็นค่าเช่าบ้าน ค่าอาหารวันละสามมื้อ"
การพบเจอกันครั้งนี้ของ สไลลา กับ ดร.อนล นั้น ไม่ใช่ครั้งแรก ทว่าสองคนเคยเจอกันนานแล้ว เพียงแต่สถานะในวันวานกับวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป ------------ ดร.อนล จบปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ ปัจจุบันเป็นนักวิชาการด้านการเงินในธนาคารพาณิชย์ และรับช่วงดูแลธุรกิจส่งออกของครอบครัว ปากกับใจตรงกัน จนบ่อยครั้งที่ถูกมองว่าเป็นคนปากร้าย นิสัยเอาแต่ใจตัวเองตามประสาลูกชายคนโตที่ได้ดังใจพ่อแม่เกือบทุกอย่าง จนเกือบจะมองตัวเองเป็นแกนโลกอยู่ละ...อีกนิดเดียว แต่พอจะมีข้อดีอยู่บ้าง ตรงที่จริงใจกับเพื่อนฝูงและคนรอบข้าง ที่สำคัญจริงจังและมั่นคงกับความรู้สึกที่มีต่อ...สไลลา ------------- สไลลา อาชีพพนักงานขายคอนโด มีฝีมือทำขนมหวานเป็นเลิศ แต่อาหารคาวไม่ได้เรื่องเลยสักนิด พื้นฐานครอบครัวค่อนข้างดี พ่อและพี่ชายเป็นนายแพทย์ แต่ด้วยความที่พ่อและแม่แยกทางกัน เธอจึงต้องย้ายตามแม่ไปอยู่ที่อเมริกา การใช้ชีวิตที่นั่นไม่ง่ายนัก บ่มเพาะให้เธอกลายเป็นคนเงียบขรึม เข้มแข็งเกินตัว แต่ก็มีหนุ่มนักเรียนไทยที่ชื่ออนลชอบมากะเทาะความรู้สึกบ่อยๆ จนเธอย้ายกลับเมืองไทย แล้วได้เจอกับเขาอีกครั้ง...ความสัมพันธ์ก็ถูกเริ่มขึ้นใหม่ แต่ยังไงๆ ก็ไม่ได้ทำให้สไลลาปลื้มเขามากกว่าเดิมเลย ก็ปากร้ายขนาดนั้น แถมไม่มีความหวานกันสักนิด ติดจะกระแนะกระแหนเธอด้วยซ้ำ จนไม่มั่นใจละว่า เขาเข้ามาหาเธอในครั้งนี้ เพราะต้องการอะไรกันแน่
ผ่านมาเกือบสี่ปี แทบไม่มีวันไหนเลยที่เราไม่คิดถึงเขา... กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงวันที่อ่านข้อความจากเขา มันเป็นข้อความสุดท้ายที่เขาตอบกลับมาหลังจากที่หล่อนทักไปหาเพื่อจะบอกเรื่องสำคัญ ไปรยาจดจำได้ทุกจังหวะความคิดและความรู้สึกในเวลานั้น หล่อนไม่เคยลืมมันได้เลย... พลันเสียงเจื้อยแจ้วที่แสนคุ้นเคยก็ดึงหญิงสาวให้ออกจากความหม่นหมอง 'แม่กุ๊บกิ๊บคร้าบ แม่กุ๊บกิ๊บอยู่หนาย คุณตาพาอชิไปซื้อขนมมาเยอะแยะเลยคร้าบ' สำหรับไปรยา ไม่ใช่เวลาหรอกที่ช่วยเยียวยารักษาแผลในใจ แต่เป็นเด็กชายอชิระผู้เป็นแก้วตาดวงใจของหล่อนต่างหาก --------------- “หนูอยู่บ้านนี้ใช่ไหม” “ใช่ครับ นี่บ้านของอชิ” “แล้วพ่อเราไปไหน” “อชิไม่รู้ครับ แต่อชิมีคุณตาตัวใหญ่ๆ ใหญ่กว่าคุณลุงด้วย อชิไม่กลัวคุณลุงหรอก” “พ่อเราหนีไป ไม่อยู่เลี้ยงเราใช่ไหม” เพิ่งรู้ตัวว่าตนใจร้ายเกินไปก็ตอนที่เห็นดวงหน้าเล็กนั้นเบ้ ทำท่าจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมา เพราะเจ้าตัวฮึบไว้ได้ทัน ก่อนจะมองแรงมายังเขา ทั้งที่น้ำใสๆ ยังรื้นหน่วยตา “อชิโป้งคุณลุง ไม่ให้คุณลุงมาบ้านอชิ”
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"