“เป็นอะไรไปอีก วันนี้ญาติๆ ก็มากันครบ เราจะหลบหน้าอยู่คนเดียวได้ยังไง พี่ไม่อยากตอบคำถามใครต่อใครให้วุ่นวาย” เสียงดุจริงจังของนายแพทย์ศิวัฒน์ พี่ชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ได้ว้าเหว่มากนัก
“คงไม่มีใครถามถึงกิ่งนักหรอก” สไลลาตอบเสียงขื่นเมื่อนึกไปว่าใครต่อใครของพี่ชายก็คงหมายถึงบิดาที่อาจถามหา หากไม่เห็นเธอโผล่ไปพร้อมกัน
“เอาละ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ตอนนี้พี่กำลังออกจากโรงพยาบาล กิ่งอยู่ที่ไหน พี่จะขับรถไปรับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวกิ่งจะนั่งรถไฟใต้ดินไปเอง พี่ก้องจะได้ไม่ต้องขับย้อนไปย้อนมา”
“แล้วอย่าชักช้านักล่ะ” ศิวัฒน์บอกเสร็จก็ตัดสาย หญิงสาวนิ่วหน้าครุ่นคิดเพียงแค่อึดใจก็ตัดสินใจเดินไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งมีระยะห่างจากจุดที่กำลังยืนอยู่เกือบสามร้อยเมตร สไลลาก้าวเท้าไปเรื่อยๆ เหมือนต้องการถ่วงเวลาให้ไปถึงที่นั่นช้ากว่าพี่ชาย เพื่อว่ายามเข้าไปในบ้านหลังนั้น หล่อนจะไม่รู้สึกเดียวดายมากไป
เกือบสามสิบนาทีต่อมา เจ้าของร่างกลมกลึงก็เปิดประตูรั้วอัลลอยด์สีทองเก่า แล้วย่างเท้าเข้าไปในเขตบ้านหลังค่อนข้างใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางเมือง บ้านเดี่ยวที่ถูกรายล้อมด้วยกำแพงคอนกรีตสูงระดับศีรษะนี้แม้จะมีอายุหลายสิบปี หากภาพที่ปรากฏสู่สายตาก็ทำให้ผู้มาใหม่รู้ว่าทุกอย่างยังถูกดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี
สไลลาละสายตาจาก ‘บ้าน’ ที่เคยพักพิงอาศัย ก่อนตัดใจเดินดุ่มเข้าไปใกล้ แต่แล้วเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายหญิงก็ดังแทรกมาหา จนทำให้เธอแทบผงะหนีทีเดียว หากไม่เห็นใบหน้าใครคนหนึ่งโผล่มาจากข้างในให้เห็นเสียก่อน
“มาแล้วหรือ เข้ามาในบ้านสิ เมื่อสักครู่คุณพ่อเพิ่งถามหา”
“ค่ะ”
หญิงสาวตอบรับ แล้วเดินแทรกกลุ่มเด็กเล็กหลายคนซึ่งคงเป็นแหล่งเสียงเมื่อสักครู่นี้ตรงไปหาพี่ชาย และทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปในบ้านหลังนั้น เธอก็ตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคนที่กำลังจับกลุ่มคุยกันให้หันมามองอย่างพร้อมเพรียง
“นี่ลูกสาวคนเล็กของหมอใช่ไหมคะ โตเป็นสาวหน้าตาสวยหมดจดทีเดียว” หญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อสีเหลืองสดกับกางเกงเข้ารูปสีดำพูดขึ้น แล้วได้ยินอีกหลายเสียงกล่าวสนับสนุนตามมา หากไม่ได้ทำให้สไลลารู้สึกปลื้มใจแต่อย่างใด สิ่งเหล่านี้รังแต่จะให้หล่อนอยากหนีไปให้ไกลจากที่ตรงนี้ก็เท่านั้น
สไลลาสูดลมหายใจแล้วปั้นหน้ายิ้มรับคำชม นั่นคือสิ่งที่หล่อนกำลังทำ
“กินอะไรมาหรือยัง” แล้วก็เป็นพี่ชายอีกเช่นเคยที่ถามอย่างห่วงใย คนเป็นน้องสาวเพียงพยักหน้าก่อนกวาดสายตามองหาคนที่อยู่ในห้วงคำนึงหา
“กิ่งมองหาคุณพ่อหรือ” ศิวัฒน์ถาม แม้น้องสาวจะไม่ตอบแต่เขาก็รู้ดี เพราะความปากแข็งของคนทั้งคู่ทว่าข้างในใจคงจะอ่อนเข้าหากันนานแล้ว หากด้วยทิฐิบางอย่างที่ทำให้ไม่เคยได้เปิดปากพูดคุยกัน
“เห็นพี่ก้องบอกว่าคุณพ่อถามหากิ่ง”
“ใช่ แต่ตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่ เพิ่งขับรถออกไปรับน้าปรางที่ห้างฯ อีกเดี๋ยวก็คงกลับ”
สไลลาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนเดินตามพี่ชายเข้าไปในห้องนั่งเล่นด้านในที่จัดไว้เพื่อการพักผ่อนส่วนตัวในครอบครัว นัยน์ตาหวานกวาดมองจนทั่วแล้วเห็นของตกแต่งบ้านล้วนมีสีสันมากมาย ทั้งสีเขียวและสีแดงตามแบบของจีน ในความรู้สึกของหล่อนว่าดูแล้วช่างน่าเวียนหัวมากกว่าจะมองให้เป็นศิลปะสร้างความสวยงาม
“คุณพ่อแต่งบ้านใหม่เมื่อไรหรือพี่ก้อง” วูบหนึ่งในความรู้สึกของคนถามบังเกิดความเสียดายกลิ่นไอเก่าๆ จากบรรยากาศเดิมๆ ในบ้านหลังนี้ขึ้นมาครามครัน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นกำลังถูกใครบางคนลบเลือนมันออกไป
“เกือบปีหนึ่ง กิ่งไม่ได้มาบ้านนี้นานแล้วสิ ถึงเพิ่งเห็น ซินแสที่น้าปรางเชิญมาดูบ้านบอกให้เปลี่ยนเพื่อให้ถูกตามหลักฮวงจุ้ย”
“เปลี่ยนแล้วมันดีขึ้นหรือเปล่า” คนเป็นน้องสาวถามลอยๆ ขณะมองอักขระจีนบนผ้าผืนแดงที่แปะบนขื่อ
“ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้ กิ่งก็ถามคุณพ่อดู”
“ถ้างั้นคงไม่ต้องถามแล้วล่ะ” เสียงหวานตอบกลั้วหัวเราะ หากดวงตาไม่มีแม้รอยยิ้มเพียงนิดเดียว
“ที่ว่าไม่ต้องถามนี่ หมายความว่ายังไง” หมอหนุ่มถาม ขณะมองตามสายตาของน้องสาว แล้วอธิบายตามที่ตนได้ยินมา แม้รู้ดีอยู่แล้วว่าน้องสาวตนสามารถอ่านเขียนภาษานั้นได้อย่างไม่แพ้เจ้าของภาษาเลยทีเดียว “น้าปรางบอกว่าตัวอักษรจีนพวกนั้นหมายถึงมั่งมีศรีสุข ติดไว้เพื่อเป็นสิริมงคลกับบ้าน”
“กิ่งเห็นว่าทุกวันนี้คุณพ่อก็ดูมีความสุขดี เลยคิดว่าชีวิตคงจะดีด้วยเหมือนกัน” คนตอบยกไหล่บางด้วยความเคยชิน ซึ่งกิริยานี้หากอยู่ในสายตาของนายแพทย์อรรถผู้เป็นบิดาก็คงไม่ชอบใจสักเท่าไร
“คุณพ่อของเราอายุมากแล้ว ท่านมีครอบครัว มีคนดูแลอย่างดี พี่ก็หมดห่วง” ชายหนุ่มพูดถึงบิดาที่เลยวัยชรามาครบสองปีในวันนี้ แล้วหันมายิ้มอ่อนโยนให้น้องสาว พลางกล่าวต่อในใจว่าห่วงใหม่ของเขาก็คงเป็นคนนี้มากกว่า หากไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาด้วยรู้ถึงนิสัยเย่อหยิ่งและรักศักดิ์ศรีของสไลลาเป็นอย่างดี