การพบเจอกันครั้งนี้ของ สไลลา กับ ดร.อนล นั้น ไม่ใช่ครั้งแรก ทว่าสองคนเคยเจอกันนานแล้ว เพียงแต่สถานะในวันวานกับวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป ------------ ดร.อนล จบปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ ปัจจุบันเป็นนักวิชาการด้านการเงินในธนาคารพาณิชย์ และรับช่วงดูแลธุรกิจส่งออกของครอบครัว ปากกับใจตรงกัน จนบ่อยครั้งที่ถูกมองว่าเป็นคนปากร้าย นิสัยเอาแต่ใจตัวเองตามประสาลูกชายคนโตที่ได้ดังใจพ่อแม่เกือบทุกอย่าง จนเกือบจะมองตัวเองเป็นแกนโลกอยู่ละ...อีกนิดเดียว แต่พอจะมีข้อดีอยู่บ้าง ตรงที่จริงใจกับเพื่อนฝูงและคนรอบข้าง ที่สำคัญจริงจังและมั่นคงกับความรู้สึกที่มีต่อ...สไลลา ------------- สไลลา อาชีพพนักงานขายคอนโด มีฝีมือทำขนมหวานเป็นเลิศ แต่อาหารคาวไม่ได้เรื่องเลยสักนิด พื้นฐานครอบครัวค่อนข้างดี พ่อและพี่ชายเป็นนายแพทย์ แต่ด้วยความที่พ่อและแม่แยกทางกัน เธอจึงต้องย้ายตามแม่ไปอยู่ที่อเมริกา การใช้ชีวิตที่นั่นไม่ง่ายนัก บ่มเพาะให้เธอกลายเป็นคนเงียบขรึม เข้มแข็งเกินตัว แต่ก็มีหนุ่มนักเรียนไทยที่ชื่ออนลชอบมากะเทาะความรู้สึกบ่อยๆ จนเธอย้ายกลับเมืองไทย แล้วได้เจอกับเขาอีกครั้ง...ความสัมพันธ์ก็ถูกเริ่มขึ้นใหม่ แต่ยังไงๆ ก็ไม่ได้ทำให้สไลลาปลื้มเขามากกว่าเดิมเลย ก็ปากร้ายขนาดนั้น แถมไม่มีความหวานกันสักนิด ติดจะกระแนะกระแหนเธอด้วยซ้ำ จนไม่มั่นใจละว่า เขาเข้ามาหาเธอในครั้งนี้ เพราะต้องการอะไรกันแน่
หญิงสาวเดินทอดน่องตามทางในสวนสาธารณะกลางเมืองในยามเย็น มือบางกระชับเสื้อไหมพรมเพื่อกันลมหนาวที่พัดมาอีกระลอก หน้าหนาวของกรุงเทพมหานครในปีนี้ช่างหนาวเย็นกว่าหลายปีที่ผ่านมา หล่อนก้มหน้าน้อยๆ ขณะย่างเท้าเดิน ผมนุ่มสลวยในเวลาปกติที่มักทิ้งตัวยาวถึงกลางหลัง หากตอนนี้ถูกเกล้าเป็นมวยต่ำอวดลำคอเรียวระหง มือบางยกขึ้นจับปอยผมที่หลุดระใบหน้าสวยตามแรงลมพัดเพื่อทัดไว้ข้างหูอย่างง่ายๆ ต่อเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์จึงละมือมาหยิบเพื่อกดรับสาย
“ถึงไหนแล้วล่ะ กิ่ง” เสียงห้าวของพี่ชาย ทำให้สไลลาต้องลอบผ่อนลมหายใจอย่างหนักอก ก่อนถามกลับเสียงแผ่วเบา
“พี่ก้องคะ กิ่งไม่ไปได้หรือเปล่า”
“เป็นอะไรไปอีก วันนี้ญาติๆ ก็มากันครบ เราจะหลบหน้าอยู่คนเดียวได้ยังไง พี่ไม่อยากตอบคำถามใครต่อใครให้วุ่นวาย” เสียงดุจริงจังของนายแพทย์ศิวัฒน์ พี่ชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ได้ว้าเหว่มากนัก
“คงไม่มีใครถามถึงกิ่งนักหรอก” สไลลาตอบเสียงขื่นเมื่อนึกไปว่าใครต่อใครของพี่ชายก็คงหมายถึงบิดาที่อาจถามหา หากไม่เห็นเธอโผล่ไปพร้อมกัน
“เอาละ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ตอนนี้พี่กำลังออกจากโรงพยาบาล กิ่งอยู่ที่ไหน พี่จะขับรถไปรับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวกิ่งจะนั่งรถไฟใต้ดินไปเอง พี่ก้องจะได้ไม่ต้องขับย้อนไปย้อนมา”
“แล้วอย่าชักช้านักล่ะ” ศิวัฒน์บอกเสร็จก็ตัดสาย หญิงสาวนิ่วหน้าครุ่นคิดเพียงแค่อึดใจก็ตัดสินใจเดินไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งมีระยะห่างจากจุดที่กำลังยืนอยู่เกือบสามร้อยเมตร สไลลาก้าวเท้าไปเรื่อยๆ เหมือนต้องการถ่วงเวลาให้ไปถึงที่นั่นช้ากว่าพี่ชาย เพื่อว่ายามเข้าไปในบ้านหลังนั้น หล่อนจะไม่รู้สึกเดียวดายมากไป
เกือบสามสิบนาทีต่อมา เจ้าของร่างกลมกลึงก็เปิดประตูรั้วอัลลอยด์สีทองเก่า แล้วย่างเท้าเข้าไปในเขตบ้านหลังค่อนข้างใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางเมือง บ้านเดี่ยวที่ถูกรายล้อมด้วยกำแพงคอนกรีตสูงระดับศีรษะนี้แม้จะมีอายุหลายสิบปี หากภาพที่ปรากฏสู่สายตาก็ทำให้ผู้มาใหม่รู้ว่าทุกอย่างยังถูกดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี
สไลลาละสายตาจาก ‘บ้าน’ ที่เคยพักพิงอาศัย ก่อนตัดใจเดินดุ่มเข้าไปใกล้ แต่แล้วเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายหญิงก็ดังแทรกมาหา จนทำให้เธอแทบผงะหนีทีเดียว หากไม่เห็นใบหน้าใครคนหนึ่งโผล่มาจากข้างในให้เห็นเสียก่อน
“มาแล้วหรือ เข้ามาในบ้านสิ เมื่อสักครู่คุณพ่อเพิ่งถามหา”
“ค่ะ”
หญิงสาวตอบรับ แล้วเดินแทรกกลุ่มเด็กเล็กหลายคนซึ่งคงเป็นแหล่งเสียงเมื่อสักครู่นี้ตรงไปหาพี่ชาย และทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปในบ้านหลังนั้น เธอก็ตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคนที่กำลังจับกลุ่มคุยกันให้หันมามองอย่างพร้อมเพรียง
“นี่ลูกสาวคนเล็กของหมอใช่ไหมคะ โตเป็นสาวหน้าตาสวยหมดจดทีเดียว” หญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อสีเหลืองสดกับกางเกงเข้ารูปสีดำพูดขึ้น แล้วได้ยินอีกหลายเสียงกล่าวสนับสนุนตามมา หากไม่ได้ทำให้สไลลารู้สึกปลื้มใจแต่อย่างใด สิ่งเหล่านี้รังแต่จะให้หล่อนอยากหนีไปให้ไกลจากที่ตรงนี้ก็เท่านั้น
สไลลาสูดลมหายใจแล้วปั้นหน้ายิ้มรับคำชม นั่นคือสิ่งที่หล่อนกำลังทำ
“กินอะไรมาหรือยัง” แล้วก็เป็นพี่ชายอีกเช่นเคยที่ถามอย่างห่วงใย คนเป็นน้องสาวเพียงพยักหน้าก่อนกวาดสายตามองหาคนที่อยู่ในห้วงคำนึงหา
“กิ่งมองหาคุณพ่อหรือ” ศิวัฒน์ถาม แม้น้องสาวจะไม่ตอบแต่เขาก็รู้ดี เพราะความปากแข็งของคนทั้งคู่ทว่าข้างในใจคงจะอ่อนเข้าหากันนานแล้ว หากด้วยทิฐิบางอย่างที่ทำให้ไม่เคยได้เปิดปากพูดคุยกัน
“เห็นพี่ก้องบอกว่าคุณพ่อถามหากิ่ง”
“ใช่ แต่ตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่ เพิ่งขับรถออกไปรับน้าปรางที่ห้างฯ อีกเดี๋ยวก็คงกลับ”
สไลลาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนเดินตามพี่ชายเข้าไปในห้องนั่งเล่นด้านในที่จัดไว้เพื่อการพักผ่อนส่วนตัวในครอบครัว นัยน์ตาหวานกวาดมองจนทั่วแล้วเห็นของตกแต่งบ้านล้วนมีสีสันมากมาย ทั้งสีเขียวและสีแดงตามแบบของจีน ในความรู้สึกของหล่อนว่าดูแล้วช่างน่าเวียนหัวมากกว่าจะมองให้เป็นศิลปะสร้างความสวยงาม
“คุณพ่อแต่งบ้านใหม่เมื่อไรหรือพี่ก้อง” วูบหนึ่งในความรู้สึกของคนถามบังเกิดความเสียดายกลิ่นไอเก่าๆ จากบรรยากาศเดิมๆ ในบ้านหลังนี้ขึ้นมาครามครัน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นกำลังถูกใครบางคนลบเลือนมันออกไป
“เกือบปีหนึ่ง กิ่งไม่ได้มาบ้านนี้นานแล้วสิ ถึงเพิ่งเห็น ซินแสที่น้าปรางเชิญมาดูบ้านบอกให้เปลี่ยนเพื่อให้ถูกตามหลักฮวงจุ้ย”
“เปลี่ยนแล้วมันดีขึ้นหรือเปล่า” คนเป็นน้องสาวถามลอยๆ ขณะมองอักขระจีนบนผ้าผืนแดงที่แปะบนขื่อ
“ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้ กิ่งก็ถามคุณพ่อดู”
“ถ้างั้นคงไม่ต้องถามแล้วล่ะ” เสียงหวานตอบกลั้วหัวเราะ หากดวงตาไม่มีแม้รอยยิ้มเพียงนิดเดียว
“ที่ว่าไม่ต้องถามนี่ หมายความว่ายังไง” หมอหนุ่มถาม ขณะมองตามสายตาของน้องสาว แล้วอธิบายตามที่ตนได้ยินมา แม้รู้ดีอยู่แล้วว่าน้องสาวตนสามารถอ่านเขียนภาษานั้นได้อย่างไม่แพ้เจ้าของภาษาเลยทีเดียว “น้าปรางบอกว่าตัวอักษรจีนพวกนั้นหมายถึงมั่งมีศรีสุข ติดไว้เพื่อเป็นสิริมงคลกับบ้าน”
“กิ่งเห็นว่าทุกวันนี้คุณพ่อก็ดูมีความสุขดี เลยคิดว่าชีวิตคงจะดีด้วยเหมือนกัน” คนตอบยกไหล่บางด้วยความเคยชิน ซึ่งกิริยานี้หากอยู่ในสายตาของนายแพทย์อรรถผู้เป็นบิดาก็คงไม่ชอบใจสักเท่าไร
“คุณพ่อของเราอายุมากแล้ว ท่านมีครอบครัว มีคนดูแลอย่างดี พี่ก็หมดห่วง” ชายหนุ่มพูดถึงบิดาที่เลยวัยชรามาครบสองปีในวันนี้ แล้วหันมายิ้มอ่อนโยนให้น้องสาว พลางกล่าวต่อในใจว่าห่วงใหม่ของเขาก็คงเป็นคนนี้มากกว่า หากไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาด้วยรู้ถึงนิสัยเย่อหยิ่งและรักศักดิ์ศรีของสไลลาเป็นอย่างดี
“เธอเป็นผู้หญิงของเขา แล้วเคยเจอเขาหรือเปล่า รู้หรือว่าเขาเป็นคนยังไง” “ทำไมจะไม่รู้ ถึงเขาจะแก่ แต่ฉันชอบเขา คุณใหญ่ใจดี ไม่หยาบคายอย่างนาย จำไว้นะ อย่าบังอาจแตะต้องตัวฉันอีก ไม่งั้นฉันจะฟ้องเขาให้สั่งคนจับนายยิงเป้า” หล่อนประกาศก้อง คนร่างใหญ่ถึงกับยืนจังงัง หากปิ่นลดาตีความไปว่าเขากำลังกลัวโทษที่หล่อนขู่ “อย่าตามมานะ ถ้าไม่อยากตาย” หล่อนถอยอีกสามก้าว ก่อนหันกายวิ่งหนี ร่างน้อยในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่เห็นลางๆ ในคืนเดือนมืดจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง คนข้างหลังมองตาม ดวงตาคมหรี่ลง กระตุกยิ้มอย่างจอมวายร้าย อย่างนี้จะพึ่งเทคโนโลยีผลิตเลือดเนื้อเชื้อไขให้โง่ทำไม ก็หล่อนร่ำร้องอยากเป็นผู้หญิงของนายใหญ่ใจจะขาดแล้ว!
เมื่อ พราวพิชชา สาวสวยจากเมืองเพิร์ท กลับมายังเชียงราช โดยใช้สิทธิ์ลาพักร้อนสิบห้าวันมาทำภารกิจบางอย่าง...ทั้งหมดก็เพื่อน้องสาว อะไรๆ ก็เป็นไปตามแผน มันดูสำเร็จไม่ยาก แต่แล้วก็มีมนุษย์ป่าเถื่อนอย่าง รัชภาคย์ โผล่มาทำให้แผนของเธอล่มไม่เป็นท่า พราวพิชชาคิดว่าตัวเองแกร่งพอ รับมือเขาได้แน่นอน คราวนี้จะตอกกลับเขาให้หน้าหงาย สมกับที่เคยกวนอารมณ์เธอมาแล้วครั้งหนึ่ง แค่สบโอกาสเถอะ เธอจะจัดการให้อยู่หมัด แล้วจะเป็นไปได้แค่ไหน... เมื่อพราวพิชชาไม่รู้เลยว่าคู่ปรับเก่าอย่างรัชภาคย์มีแผนอะไรอยู่ในใจ เกมนี้เธอจะได้เอาคืนเขา... หรือจะเป็นเขาที่ทำให้ชีวิตเธอพลิกคว่ำคะมำหงายตลอดการลาพักร้อนกันแน่ ----------- "คนท้องคนไส้...หมายถึงลดางั้นหรือคะ ลดาท้องหรือ" "อ้าว! ไม่รู้เหรอว่าน้องสาวคุณท้องจนจะคลอดแล้ว คุณป้า" พราวพิชชา ถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำพูดสวนของ รัชภาคย์ เธอตั้งใจจะไม่สนใจมนุษย์ป่าเถื่อนคนนี้อยู่แล้ว แต่วาจาเราะร้ายที่กระทบโสตประสาท ไม่อาจทนไหวจริงๆ แล้วชายชราที่ดูน่าเกรงขามก็ห้ามทัพ...เป็นครั้งที่เท่าไหร่เธอก็ไม่ได้จำ "นายเล็ก หยุดพูดสักห้านาทีเถอะ คุยไม่รู้เรื่องกันพอดี" ท่านชายปราม แล้วถามแขกสาว "ชื่ออะไรล่ะหนู จะได้ให้เด็กบอกนายใหญ่ถูก" "พราวพิชชาค่ะ พี่สาวของลดา" "ชื่อยังกะลิเก" เสียงเปรยเข้าหูในระยะประชิด พราวพิชชาต้องกลั้นอารมณ์อีกรอบ...
"คุณจะทำอะไร" บัวบูชา ถามเสียงตื่น ถ้าเขายังรังแกกันอีก เธอจะสู้จนขาดใจ หากสิ่งที่เขาบอกนั้นทำให้หญิงสาวชะงัก ไม่มั่นใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า "ผมจะใส่กางเกงให้คุณ" "ไม่ต้อง ฉันไม่ให้คุณใส่" "นั่งนิ่งๆ เถอะ" แม็กซ์เวล ดึงข้อเท้าขาวสะอาดทั้งสองข้างเข้าหาตัวเอง จนเธอร้องวี้ด ถลารูดไปบนโซฟา แล้วยันกายขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ขณะที่คนตัวใหญ่ตั้งหน้าตั้งตาจะสวมกางเกงยีนให้โดยไม่สนใจว่าเธออยู่ในสภาพไหน กระทั่งกางเกงยีนกระชับเรือนร่างถูกดึงผ่านสะโพกผายตึงและก้นงามงอนได้สำเร็จ มือแข็งแรงจึงรูดซิบแล้วติดกระดุมให้เป็นขั้นตอนสุดท้าย... ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ โดยที่สายตายังจับอยู่ที่ผลงานตัวเองอย่างพอใจ "เสร็จสักที ตอนถอดไม่เห็นยากอย่างนี้เลย"
"เฮีย" เสียงเล็กๆ จากเด็กหญิงทำให้ฉัตรฉายยิ้มกว้างอย่างชอบใจ เขาตรงไปหาแล้วนั่งยองๆ บนส้นเท้า สายตาระดับเดียวกับเด็กน้อย "ว่ายังไงคะ แตงหวานคิดถึงเฮียไหม" "คิดถึง คิดถึงเฮีย" เด็กน้อยพยายามพูด ตั้งใจบอกให้เขารู้ความคิดถึงของตัวเอง ฉัตรฉายเอื้อมมือไปหา เมื่อเด็กหญิงไม่ปฏิเสธ เขาจึงค่อยๆ อุ้มแกขึ้นมา ก่อนจะพูด...เหมือนว่าสื่อกับเด็กน้อยเท่านั้น "วันนี้แตงหวานต้องหยุดเล่นก่อน เพราะเฮียมีงานต้องทำ แตงหวานช่วยเฮียทำงานด้วย...ได้ไหมคะ" "ได้ค่ะ" เจ้าตัวน้อยรับคำแล้วปรบมืออย่างชอบใจอีกต่างหาก ญาณินยืนอึ้ง จับทางยังไม่ถูก มองเจ้าของบ้านที่อุ้มหลานสาวเดินลิ่วเข้าบ้านไปแล้ว จนได้สติถึงเร่งฝีเท้าตาม เดินขึ้นบันไดไปจนเขาผลักประตูห้องหนึ่ง "ส่งแตงหวานมาให้ฉันเถอะค่ะ คุณทำงาน แกจะกวนคุณ" "ใครบอกกันล่ะ แตงหวานจะช่วยเฮียทำงานใช่ไหมคะ" ตอนท้ายถามความเห็นจากคนในอ้อมแขน ซึ่งไม่ผิดหวัง มีเสียงตอบรับในทันทีเช่นกัน "ใช่ค่ะ...แตงหวานทำงาน" อะไรกันนี่ แม่หลานสาวจอมป่วนจะมาสนุกอะไรกันตอนนี้ ญาณินถึงกับทำหน้าปั้นยาก อ่อนใจกับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก "มีงานสำหรับเธอด้วย สนใจไหม อย่างน้อยก็เป็นค่าเช่าบ้าน ค่าอาหารวันละสามมื้อ"
เมื่อคนแปลกหน้า นัยว่าเป็นเศรษฐีใหม่เข้ามาในเชียงราช เขากว้านซื้อบ้าน ที่ดินและทรัพย์สินที่ตกทอดมาตั้งแต่ต้นตระกูลของ ณิชา ไป ทายาทที่เหลือเพียงคนเดียว แถมยังสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างเธอจะทำอย่างไรได้ นอกจากทำใจยอมรับ คิดจะหลีกทางให้อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวที่สุด แต่นั่นไม่นับรวมถึงการถูกทำร้ายจิตใจ ดูหมิ่นเกียรติไม่เว้นวัน มันทำให้ณิชาสุดจะทน...จากที่คิดจะถอยอย่างสงบ จึงฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง คอยดูนะ เผลอเมื่อไหร่ ณิชาคนนี้จะตลบหลัง เอาทุกอย่างคืนมาให้หมด! ส่วน ไรวินทร์ คนอย่างเขาคงไม่เหมาะกับการปิดทองหลังพระจริงๆ สำหรับแม่คุณหนูตกอับอย่างณิชาคงเข้ากับสำนวนไทยที่ว่าทำคุณบูชาโทษแท้เชียว เมื่อเสียเงินไปก็มาก แต่เจ้าตัวยังทำตัวร้ายกาจไม่เลิก เขาก็หมดความอดทนได้เหมือนกัน แม่จอมวายร้าย งั้นมาลองดูกันสักตั้งไหม ว่างานนี้ใครจะอยู่หรือใครจะไป! .................... “ตกใจที่ฉันรู้ใช่ไหม จะบอกให้ว่าขณะที่คุณอวดตัวว่ารู้เรื่องของฉัน การเคลื่อนไหวของคุณ เรื่องของคุณก็ไม่เป็นความลับ สำหรับฉันเหมือนกัน ฉันรู้ว่าคุณเข้ามาเชียงราชทำไม เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐาน แต่ถ้าฉันหาได้เมื่อไหร่จะส่งให้ตำรวจ อย่าคิดจะมาสร้างเครือข่าย สร้างอิทธิพลในเมืองนี้ได้ สักวันคุณจะตกเป็นผู้ร้ายที่ถูกส่งตัวข้ามแดนกลับไปรับโทษ” คำขู่ดุเดือดจากคนร่างกลมกลึงอรชร มันทำให้ ไรวินทร์ นึกอยาก...สั่งสอนให้รู้จักเขาเสียเดี๋ยวนี้ ชายหนุ่มเดาะลิ้น ปรายตามองแม่แมวน้อยที่กำลังสู้สายตาอย่างไม่ยอมแพ้ นึกพอใจในความเก่งกล้าของ ณิชา อย่างถึงที่สุด มันช่างผิดกับภาพแรกที่เห็นลิบลับ... แล้วอยากรู้ต่อมาว่าภายใต้ผิวขาวนวลแลดูบอบบาง กับท่าทางนิ่มนวลนั้น หล่อนจะซ่อนไฟร้อนอยู่สักขนาดไหน ซีรีย์ชุด สิงห์หนุ่มแห่งเชียงราช
ผ่านมาเกือบสี่ปี แทบไม่มีวันไหนเลยที่เราไม่คิดถึงเขา... กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงวันที่อ่านข้อความจากเขา มันเป็นข้อความสุดท้ายที่เขาตอบกลับมาหลังจากที่หล่อนทักไปหาเพื่อจะบอกเรื่องสำคัญ ไปรยาจดจำได้ทุกจังหวะความคิดและความรู้สึกในเวลานั้น หล่อนไม่เคยลืมมันได้เลย... พลันเสียงเจื้อยแจ้วที่แสนคุ้นเคยก็ดึงหญิงสาวให้ออกจากความหม่นหมอง 'แม่กุ๊บกิ๊บคร้าบ แม่กุ๊บกิ๊บอยู่หนาย คุณตาพาอชิไปซื้อขนมมาเยอะแยะเลยคร้าบ' สำหรับไปรยา ไม่ใช่เวลาหรอกที่ช่วยเยียวยารักษาแผลในใจ แต่เป็นเด็กชายอชิระผู้เป็นแก้วตาดวงใจของหล่อนต่างหาก --------------- “หนูอยู่บ้านนี้ใช่ไหม” “ใช่ครับ นี่บ้านของอชิ” “แล้วพ่อเราไปไหน” “อชิไม่รู้ครับ แต่อชิมีคุณตาตัวใหญ่ๆ ใหญ่กว่าคุณลุงด้วย อชิไม่กลัวคุณลุงหรอก” “พ่อเราหนีไป ไม่อยู่เลี้ยงเราใช่ไหม” เพิ่งรู้ตัวว่าตนใจร้ายเกินไปก็ตอนที่เห็นดวงหน้าเล็กนั้นเบ้ ทำท่าจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมา เพราะเจ้าตัวฮึบไว้ได้ทัน ก่อนจะมองแรงมายังเขา ทั้งที่น้ำใสๆ ยังรื้นหน่วยตา “อชิโป้งคุณลุง ไม่ให้คุณลุงมาบ้านอชิ”
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"