เมิ่งซือเฉินหัวเราะเยาะ “ต่อให้กินข้าวมื้อนี้จบ ผมก็ไม่มีวันรักคุณ อีกอย่าง ชิงชิงกลับมาแล้ว เธอเป็นคนหัวรั้นเกินกว่าจะทนความอึดอัดใจได้”
เมื่อพูดถึงหรั่นชิงชิง แววตาเขาก็พลันอ่อนโยนลงครู่หนึ่ง
แววตานั้นเป็นแววตาที่ไม่ว่าเสิ่นซือหนิงจะรับใช้พ่อแม่เขาด้วยความอดทนแค่ไหน หรือเชื่อฟังเขาในทุกเรื่องขนาดไหนก็ไม่เคยได้รับเลย
หรั่นชิงชิงคือหญิงสาวที่เป็นรักแรกในดวงใจของเขา แต่สามปีก่อนเธอเลือกจะละทิ้งเขาและไปต่างประเทศ
ทว่าตอนนี้ แค่เธอโบกมือเพียงครั้งเดียว เขาก็ยอมสละทุกอย่างเพื่อเธอแล้ว
เสิ่นซือหนิงกำมือแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณปู่รู้เรื่องนี้หรือยัง?”
“เฮอะ ๆ คุณอย่าเอาคุณปู่มาขู่ผมหน่อยเลย ท่านยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ควรให้ท่านเครียด ส่วนพ่อกับแม่ของผมอนุญาตแล้ว ชิงชิงก็เพิ่งไปเจอพวกเขามา”
เสิ่นซือหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อน จากนั้นก็รู้สึกถึงความเย็นเยือกที่แทรกซึมเข้าไปในหัวใจ
เดิมทีเธอเป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ และยังเป็นแฮกเกอร์ฝีมือฉกาจที่ใคร ๆ ต่างรู้จัก แม้แต่ประธานาธิบดีประเทศเอ็มยังต้องตามหาตัวเพื่อขออาวุธฝีมือเธอ
ตลอดสามปีมานี้ เธอได้ทำการปกปิดตัวตนทั้งหมด รับบทเป็นแม่บ้านผู้อ่อนโยนที่มีความประพฤติแสนดี คอยดูแลพ่อแม่สามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้กระทั่งเพื่อช่วยตระกูลเมิ่งตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวกับคู่ค้า เธอยังเพิ่งได้บัตรเชิญจาก “กลุ่มสิบทิศ” มาเพื่อพวกเขา ซึ่งเป็นทราบกันดีว่ากลุ่มสิบทิศเป็นองค์กรสายลับลับสุดยอด บัตรเชิญที่ว่านั่นใคร ๆ ต่างก็ใฝ่หาเพราะได้มายากยิ่ง
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับดูเหมือนเรื่องตลกไปเสียแล้ว
“คุณหมายความว่าหรั่นชิงชิงอยู่ที่บ้านเก่างั้นเหรอ?”
“แน่นอนสิ” เมิ่งซือเฉินเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขายกยิ้มอย่างอ่อนโยน “พวกเขาเพิ่งกินข้าวกันเสร็จเลย พ่อกับแม่ก็คุยกับชิงชิงถูกคอเสมอ ชื่นชมว่าเธอเป็นคนรู้ใจและเข้าอกเข้าใจผู้อื่น”
“แสดงว่าพวกคุณรู้กันหมดแล้วว่าเธอจะมา แต่มีแค่ฉันคนเดียวที่ถูกปิดบังสินะ” เสิ่นซือหนิงพอได้ยินดังนี้ก็ยิ้มเยาะราวกับเวทนาตัวเอง ดวงตาพลันเริ่มเปียกชื้นโดยไม่รู้ตัว
รู้ใจและเข้าอกเข้าใจผู้อื่น น่าขันจริง ๆ
แต่ก่อนพ่อแม่สามีก็เคยชมเธอแบบนี้เหมือนกัน
เมิ่งซือเฉินทำหน้าขรึมพลางเอ่ยเตือนเธอ “มันเป็นเพราะพ่อบ้านที่บ้านเก่าลืมบอกก็เท่านั้น อย่าก่อเรื่องขึ้นมา แล้วก็อย่าหาเรื่องอย่างไร้เหตุผล”
เขามองผู้หญิงตรงหน้าที่ดูจืดชืดไร้สีสัน
หากพูดตามตรง เสิ่นซือหนิงมีผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าก็สวยสะดุดตา โดยเฉพาะยามเธอมองเขาอย่างอ่อนโยนด้วยแววตาใสซื่อและสงบ
แต่การใช้ชีวิตกับคนอย่างเธอนั้นมันจืดชืดจนเกินไป
ทุกวันเธอทำแต่รีดเสื้อผ้าให้เรียบกริบ จัดเตรียมอาหารอย่างพิถีพิถัน จนแทบไม่ต้องเดากิจวัตรประจำวันในชีวิตเธอเลยสักนิด เพราะมันแสนจะเรียบง่าย ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์
เธอก็นับว่าเป็นภรรยา เป็นแม่คน และแม่บ้านที่สมบูรณ์แบบ
แต่ทว่า มันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
“แล้วก็นะ ไม่ว่าจะเซ็นหรือไม่เซ็น คืนนี้คุณก็ต้องย้ายออกไปจากที่นี่”
เมิ่งซือเฉินเองก็รู้ว่ามันฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก เขาจึงหยุดพูดครู่หนึ่งแล้วค่อยกล่าวต่อ “แต่คุณสามารถย้ายไปพักที่วาฬฟ้าเบย์ได้นะ ผมจะยกบ้านนั้นให้เป็นของคุณ”
เขาเคยสืบประวัติเสิ่นซือหนิงมาก่อนแล้ว รู้ว่าเธอเป็นหญิงสาวจากชนบทที่เรียนไม่จบและไม่มีประสบการณ์ในสังคมเมือง
ถ้าไม่ได้ช่วยชีวิตคุณปู่ไว้ เธอก็คงไม่มีทางได้แต่งเข้าตระกูลเมิ่งแน่นอน บ้านหลังนั้นจึงเป็นค่าตอบแทนที่มากเกินพอสำหรับสาวบ้านนอกแสนยากจนอย่างเธอแล้ว
แต่ฝ่ายหญิงสาวกลับไม่ได้แสดงอาการยินดีแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่ยิ้มเย็นแล้วจ้องมองเขานิ่ง ๆ
“เธอจะเข้ามาอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้เลยงั้นเหรอ?”
เสิ่นซือหนิงไม่สนใจวาฬฟ้าเบย์ หรือเงินค่าชดเชยการหย่าร้างจำนวนร้อยห้าสิบล้านนั่นแม้แต่น้อย เพราะเธอสามารถหาเงินจำนวนนี้ได้ง่าย ๆ ในโลกแฮกเกอร์
สิ่งที่เธอใส่ใจ คือการทุ่มเทตลอดสามปีที่ผ่านมา แล้วผลลัพธ์กลับเป็นการถูกขับไล่ออกจากบ้าน
เมิ่งซือเฉินตอบ “ห้องบนชั้นสองนั้นเดิมทีก็เป็นห้องที่ชิงชิงเคยอยู่มาก่อน ตอนนี้เธอเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศและยังไม่มีที่พัก ผมเลยให้เธอกลับมาอยู่ที่นี่ ถ้าคุณยังอยู่ต่อ ชิงชิงจะต้องรู้สึกอึดอัดแน่”
เมื่อเห็นว่าเสิ่นซือหนิงยังนิ่งเงียบ เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายคงเห็นว่าค่าชดเชยไม่มากพอ เมิ่งซือเฉินจึงเริ่มไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ความโลภมันไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ สินะ คิดจะเรียกร้องอะไรให้มันพอดี ๆ หน่อย”
เมิ่งซือเฉินมองนาฬิกาข้อมือ ดูเหมือนกำลังคำนวณเวลา
“ถ้าเธอไม่ตั้งใจจะเซ็นสักที แล้วยังจะดึงดันต่อไป ผมไม่ลังเลที่จะให้ทนาย……”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบก็ถูกขัดเสียก่อน
“ไม่จำเป็น”
เสิ่นซือหนิงรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
เธอหวนนึกถึงวัยเยาว์ เมื่อครั้งที่เธอตาบอดและต้องเผชิญอันตราย มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งแบกเธอหนีจากนรกขุมนั้นนานถึงสามวันสามคืนจนเกือบต้องสังเวยชีวิตในมือของคนร้าย
เขาบอกว่าเขาชื่อเมิ่งซือเฉิน
วันนี้เป็นวันครบรอบสามปีเช่นกัน แต่เขากลับสั่งให้เธอไสหัวไป
ที่แท้วันเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงคนให้กลายเป็นอีกคนไปได้ขนาดนี้เชียว
“ฉันจะไป”
เสิ่นซือหนิงสลัดความทรงจำนั้นทิ้งไป แล้วหยิบปากกาขึ้นเซ็นชื่อลงบนเอกสาร
“จากวันนี้ไป เราสิ้นสุดกันแล้ว”
เมิ่งซือเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แบบนั้นก็ดีแล้ว”
แต่เพิ่งจะพูดจบ เขาก็เห็นพ่อบ้านหญิง หลี่เนี่ยนเอ๋อร์ ยืนอยู่บนบันไดชั้นสอง พยายามลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาอย่างยากเย็น
“คุณชายคะ ทางบ้านเก่าโทรมาบอกว่าให้คุณหนูเสิ่นรีบย้ายออก ฉันก็เลยช่วยเก็บของให้เธอล่วงหน้าแล้ว…… ว้าย!”
จู่ ๆ เธอก็สะดุดข้อเท้าแพลงจนต้องกรีดร้องเสียงดัง ทว่าการแสดงของเธอช่างดูเสแสร้งเหลือเกิน
กระเป๋าของเสิ่นซือหนิงแตกกระจายเกลื่อนออกเป็นชิ้น ๆ