/0/22728/coverbig.jpg?v=2369f1444a5c57bbe376bf858279ef64)
‘สวรรค์หรือโชคชะตาที่เล่นตลก คนอื่นทะลุมิติมามีแต่คนรุมรัก ทว่าตั้งแต่ข้าฟื้นมามีแต่คนอยากจะฆ่า ในเมื่อข้าอยากเป็นเพียงคุณหนูเสพสุขไปวัน ๆ แต่บารมีไม่ถึงวาสนาไม่อำนวย เช่นนั้นข้าจะทำตามลิขิตฟ้า กลายเป็นนางร้ายอย่างที่สวรรค์ต้องการ’
จันทรากลมโตบนนภาสาดแสงส่องลงมากระทบบุรุษที่ยืนอยู่ข้างริมหน้าต่าง บุรุษใบหน้าสง่างามรูปร่างสูงโปร่งท่วงท่าดูองอาจสุขุม ดวงตาของเขานุ่มลึกชวนให้คนยกย่อง แต่ทว่าผิวของเขากลับขาวดั่งหยกประหนึ่งคุณชายเจ้าสำราญ
บุรุษท่าทางองอาจรอคอยการมาของสตรีนางหนึ่งอยู่ในห้องที่ไม่ใหญ่นัก เขาทอดสายตามองออกมาทางหน้าต่างเพื่อมองทางเพียงเส้นทางเดียวที่จะมาถึงยังเรือนหลังนี้อย่างใจจดใจจ่อ
เวลาผ่านไปไม่ถึงสองเค่อ [1] ก็มีรถม้าวิ่งมาตามทางที่บุรุษสูงศักดิ์คอยมองอยู่ การรอคอยของเขาจบสิ้นเสียที เขาเดินไปนั่งพร้อมยกถ้วยชาที่มีไอร้อนลอยขึ้นมาจากถ้วยแล้วค่อย ๆ จิบอย่างช้า ๆ ยามนี้ในใจของเขาได้แต่คาดหวังว่านางจะมาพร้อมกับสิ่งที่เขาต้องการ
“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูสกุลเผยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กระหม่อมให้นางรออยู่ที่โถงรับแขกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เติ้งจื่ออวี๋องครักษ์คนสนิทของเว่ยหลิงเฮ่อรีบเข้ามารายงานผู้เป็นนาย
“นางได้ตราพยัคฆ์มาหรือไม่” เว่ยหลิงเฮ่อสุรเสียงราบเรียบ
“ได้มาพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะเสด็จไปหานางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหลิงเฮ่อเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ข้างกายมุมปากของเขาก็ยกโค้งขึ้น “ใยข้าจะต้องไปหานางด้วย เจ้าเอาตราพยัคฆ์มาให้ข้าก็พอ”
“แล้วองค์รัชทายาทจะให้กระหม่อมทำเช่นไรกับนางพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่ชินอ๋องเหวินเซียนรักถึงนางจะทรยศชินอ๋องแต่ตราบใดที่ชินอ๋องไม่รู้ว่านางทรยศ เขาเชื่อว่าผู้กระหายเลือดอย่างชินอ๋องเหวินเซียนจะต้องตามล่าคนที่ทำร้ายเผยตั้นเยี่ยนอย่างแน่นอน และไม่เพียงเท่านั้นนางยังเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์เผยที่สนิทสนมกับเสนาบดีกรมคลัง การจะจัดการนางจึงไม่ใช่เรื่องที่องครักษ์อย่างเขาจะตัดสินใจได้
ขณะที่เว่ยหลิงเฮ่อกำลังคิดไตร่ตรองว่าจะจัดการเผยตั้นเยี่ยนอย่างไรดี พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าสตรีที่พวกเขากำลังพูดถึงอยู่นั้นได้มายืนอยู่ที่ด้านข้างห้องแล้ว
เผยตั้นเยี่ยนนั้นรู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะธรรมดาเว่ยหลิงเฮ่อจะเป็นฝ่ายมานั่งรอนางในโถงรับแขกแห่งนี้ นางจึงคิดจะไปดูว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
เผยตั้นเยี่ยนบอกกับเหล่าองครักษ์ที่ยืนเฝ้าหน้าโถงรับแขกว่านางนั้นปวดท้อง อยากไปทำธุระส่วนตัว เหล่าองครักษ์มีแต่บุรุษอีกทั้งนางยังเป็นคุณหนูผู้มีเกียรติไหนเลยเหล่าองครักษ์จะกล้าตามมา
การจะหาว่าเว่ยหลิงเฮ่ออยู่ส่วนใดของเรือนนั้นไม่ยากเกินความสามารถของเผยตั้นเยี่ยนอยู่แล้ว เพราะเรือนหลังนี้ไม่ใหญ่นัก มีอยู่เพียงสามห้องเท่านั้น และเนื่องจากคืนนี้เว่ยหลิงเฮ่อแอบออกมานอกวังอย่างลับ ๆ ย่อมมิได้พาองครักษ์มามากมายนัก แค่นางมองว่าจุดใดมีองครักษ์เฝ้าอยู่มากกว่าที่อื่น เผยตั้นเยี่ยนก็รู้แล้วว่าบุรุษที่นางอยากเจอตัวอยู่ที่ใดกันแน่
“ในเมื่อนางกล้าใช้จริตมารยาหญิงให้เสด็จอาของข้าหลงรัก แต่กลับทรยศความรักที่เสด็จอาของข้ามีให้ เพียงเพราะใฝ่สูงอยากเป็นพระชายาเอกของข้า เช่นนั้นก็ให้นางตายโดยโดนโจรฆ่าข่มขืนแล้วกัน ดูซิว่าอาลักษณ์เผยหากรู้ว่าบุตรสาวถูกโจรข่มขืน จะสืบสาวหาความจนถึงที่สุด หรือจะยุติเรื่องทุกอย่างเพราะไม่อยากให้ตระกูลเผยกลายเป็นที่ครหาของชาวบ้านให้อัปยศกันแน่”
“ท่านอาลักษณ์เผยอาจไม่ตามสืบเพราะห่วงชื่อเสียงของบุตรสาวคนเล็กที่ยังไม่ออกเรือน แต่ชินอ๋องเหวินเซียนคงไม่มีทางหยุดสืบสาวเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์คนสนิทเอ่ยด้วยความเป็นห่วงผู้เป็นนาย
เว่ยหลิงเฮ่อนั้นมิได้ต้องการจัดการเว่ยเหวินเซียนให้ถึงตาย เพราะอย่างไรเขาก็เป็นเสด็จอาที่เติบโตมาด้วยกัน เพราะเขานั้นอายุน้อยกว่าเสด็จอาเพียง4หนาวเท่านั้น
แต่เพราะเวลานี้เสด็จอาของเขานั้นมีกำลังทหาร และขุนนางที่พร้อมจะสนับสนุนเป็นจำนวนมาก ถึงเสด็จอาของเขาจะจงรักภักดีต่อเสด็จพ่อของเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าหากเขาขึ้นครองบัลลังก์ เสด็จอาของเขาจะจงรักภักดีต่อเขาอย่างที่ทำกับเสด็จพ่อของเขาหรือไม่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เว่ยหลิงเฮ่อจึงต้องตัดกำลังทหารและความไว้เนื้อเชื่อใจที่เหวินหลิงฮ่องเต้มีต่อพระอนุชาคนนี้ลงเสียก่อน เพราะหากปล่อยไว้นานกว่านี้ ทั้งเหวินหลิงฮ่องเต้ทั้งเหล่าขุนนางในท้องพระโรง รวมถึงเหล่าแม่ทัพทั้งหลาย คงต้องกลายเป็นคนของเว่ยเหวินเซียนไปจนหมด
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าส่งคนของข้าเข้าไปในจวนของเสด็จอาแล้ว คนผู้นั้นจะเป็นคนบอกเสด็จอาเองว่าเห็นนางเอาตราพยัคฆ์ไป เสด็จอาของข้าเกลียดที่สุดคือการที่ถูกคนรักหรือคนข้างกายทรยศ เจ้าก็รู้ดีว่าหากเสด็จอาของข้ารู้มีหรือจะสืบหาโจรผู้ร้าย ข้าว่าคงเอาศพของนางมาสับเป็นหมื่น ๆ ชิ้นเสียมากกว่า”
เมื่อสตรีทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านข้างห้องได้ยินคำสนทนาของนายบ่าวใบหน้าที่เคยมีสีสันพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาวราวกับกระดาษ ความหนาวยะเยือกคืบคลานเข้ามาในใจ เพราะหากนางหนีเว่ยหลิงเฮ่อไปได้ ก็ต้องตายด้วยน้ำมือเว่ยเหวินเซียนอยู่ดี
“คุณหนู..คุณหนู” ฉุยฉุยสาวใช้ข้างกายของเผยตั้นเยี่ยนเอ่ยเรียกคุณหนูของนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับกระตุกชายแขนเสื้อของเผยตั้นเยี่ยนเพื่อดึงสติ
เผยตั้นเยี่ยนได้สติก็หันมามองสาวใช้ข้างกาย ก่อนจะพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อให้หัวใจที่เต้นรัวอยู่นั้นได้สงบลง ถึงยามนี้นางจะยังคิดอันใดไม่ออก แต่นางรู้ดีว่าการยืนอยู่ตรงนี้อย่างไรก็ไม่อาจจะหนีความตายไปได้ เช่นนั้นมิสู้หนีออกไปเผื่อว่าจะยังมีทางรอด
พวกนางพยายามก้าวเท้าถี่ไปยังทางหลังเรือนที่รถม้าของนางจอดอยู่ เมื่อบุรุษสองคนที่ยืนรอเจ้านายอยู่ที่รถม้าเห็นสีหน้าและท่าทางตื่นตระหนกของสตรีทั้งสองก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นแน่ ๆ
สารถีเข้าประจำที่ ส่วนบุรุษอีกคนก็รีบเข้าไปพยุงคุณหนูของเขาขึ้นรถม้า เพียงเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยนั่งบนรถม้าอย่างมั่นคงแล้ว สารถีก็ไม่รอช้ารีบบังคับม้าออกจากเรือนไปในทันที
เสียงของรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปทำให้คนในเรือนต่างได้ยิน เพราะเรือนหลังนี้อยู่ไกลจากบ้านเรือนของผู้อื่น อีกทั้งเวลานี้เป็นยามวิกาลที่เงียบสงบ เมื่อมีเสียงอันใดก็ไม่แปลกนักที่จะได้ยินชัดเจน
องครักษ์บางส่วนรีบตามรถม้าของเผยตั้นเยี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเติ้งจื่ออวี๋รีบไปรายงานผู้เป็นนายทันที
‘เพล้ง’ เพียงได้ยินรายงานจากองครักษ์คนสนิทเว่ยหลิงเฮ่อก็เขวี้ยงถ้วยชาที่อยู่ในมือลงพื้นทันที
“พวกเจ้าทำงานประสาอะไร สตรีเพียงคนเดียวยังปล่อยให้หลุดมือไปได้ เดี๋ยวก่อน..” เพียงแค่พริบตาเดียวเว่ยหลิงเฮ่อก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยต่อ
“ในเมื่อนางอยากหนีเช่นนั้นก็ให้หนีไป ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปจัดฉาก เจ้าให้องครักษ์ปลอมตัวเป็นโจรแล้วปล้นตราพยัคฆ์มาให้ข้า แล้วจัดการนางตามแผนเดิม”
[1] เค่อ = 15นาที
ย้อนเวลากลับมาก็ดี หรือจะเป็นเพียงฝันหนึ่งก็ช่าง แต่ข้ารู้แล้วว่าการงมงายกับความรักข้างเดียวนั้นมันช่างน่าเวทนายิ่งนัก ในเมื่อข้าพยายามมามากแล้วแต่ท่านกลับไม่เห็นค่า เช่นนั้นก็พอเท่านี้เถอะ
เมื่อน้องสาวฝาแฝดแสนอ่อนแอต้องแต่งเข้ามาเป็นฮองเฮาเพื่อมาสืบเรื่องราวการตายของวงศ์ตระกูลที่แท้จริง และได้มาเจอกับฮ่องเต้ที่มีปมฝังใจจนกลายเป็นคนขี้ระแวง แฝดผู้พี่จึงต้องปลอมตัวเป็นน้องสาวเพื่อมาจัดการกับสนมที่ข่มเหงน้องสาวฝาแฝดของนางและต่อกรกับฮ่องเต้ที่ไม่สนใจใยดีฮองเฮาของตนเอง แถมยังต้องตามสืบหาความจริง แต่นางจะสามารถทำได้สำเร็จดั่งที่ตั้งใจไว้จริงหรือ?
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ