ไป๋ซือเหยาถามพี่สะใภ้ เมื่อเห็นขนมหวานหลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างเหมาะกับการกินคู่กับกาแฟเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เย็นแล้วหากกินกาแฟตอนนี้คงนอนไม่หลับเป็นแน่
“พี่กำลังเปิดร้านเบเกอรี่จึงลองทำหลาย ๆ รสดู เธอลองชิมให้พี่หน่อยสิว่ารสชาติโอเคไหม เดี๋ยวพี่ไปดูขนมที่อบไว้ในครัวก่อน” ซือเหยาพยักหน้ารับ มองขนมหวานตรงหน้าที่มีทั้งเค้กกล้วยหอม เค้กผลไม้ เค้กน้ำผึ้ง ชีสเค้ก เค้กเนยสด เค้กส้ม เธอนั่งลงเก้าอี้ก่อนจะหยิบช้อนมาตักชิมดูอย่างว่าง่าย อาจเพราะไม่ได้ทานขนมหวานบ่อยนักเธอจึงไม่มีปัญหากับการกินเค้กหลากหลายเหล่านี้ อึก!
ไป๋ซือเหยาหน้าซีดเผือด เมื่อลองชิมขนมอยู่ดี ๆ กับเกิดติดคอขึ้นมา ขนมหวานทั้งอ่อนนุ่มและรสชาติอร่อยไม่น่าจะทำให้เธอทานติดคอได้
เธอมองหาน้ำดื่มแต่บนโต๊ะอาหารใหญ่ขนาดนี้กลับไม่มีน้ำให้ดื่มสักอึกเดียว เธอพยายามประคองตัวเองไปยังตู้น้ำที่อยู่ในห้องครัว แต่อาการกลับร้ายแรงกว่าที่คิด
ไป๋ซือเหยาใบหน้าเขียว ดวงตาเบิกกว้างตกใจ เธอหายใจไม่ออกและไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นเดินไปหาน้ำ นี่เธอจะมาตายเพราะทานขนมหวานอย่างนั้นหรือ?
เธอพยายามกระเสือกกระสน หวังจะมีคนออกมาดูเธอบ้าง แต่น่าเสียดายที่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้มีเพียงพี่สะใภ้คนเดียวเท่านั้นซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่ในห้องครัว
เธอได้ยินพี่สะใภ้ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี นั่นยิ่งทำให้ไม่ได้ยินเสียงผิดปกติทางโต๊ะอาหาร อาการหายใจไม่ออกทำให้ทุรนทุราย ดวงตาเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม น้ำตาไหลริน มือเท้าเธอเกร็งจนรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว
ลมหายใจของเธอแผ่วเบาลง แม้อยากจะมีชีวิตอยู่แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน ความคิดสุดท้ายของเธอกลับนึกไปถึงพี่ชายที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็ก น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้กอดและพูดคุยอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ความทุกทรมานได้หายไป ไป๋ซือเหยารู้สึกเหนื่อยหอบ ทว่ากลับไม่มีลมหายใจเช่นแต่ก่อนแล้ว ดวงตาหงส์คู่สวยเบิกกว้างมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา “เธอตายแล้ว?”
ไป๋ซือเหยาพึมพำกับตัวเองอย่างตกใจ เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกลับเห็นร่างตัวเองอยู่ตรงหน้า ร่างนั้นดวงตาเบิกกว้าง มือกำที่ลำคอตนเองความทรมานเมื่อครู่นี้เธอจดจำได้อย่างไม่มีวันลืม ไม่คิดเลยว่าการกลับบ้านในวันนี้จะทำให้เธอตายได้ และตายด้วยขนมหวาน?
“เจ้าหมดอายุขัยแล้วไปกับข้าเสียเถอะ”
เสียงที่พูดขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ไป๋ซือเหยาสะดุ้งตกใจ เมื่อหันไปมองกลับเห็นชายชราในอาภรณ์สีขาว ท่าทางใจดีคนหนึ่งยืนอยู่ ในมือมีสมุดเล่มหนึ่ง
“ท่านคือ?” ท่าทางมีสง่าราศีเช่นนั้นทำให้ไป๋ซือเหยาถามอย่างระวัง
“ข้ามีหน้าที่เก็บวิญญาณของเจ้า ไปกันเถอะ”
กรี๊ดดดดดด
“ซือเหยา เธอเป็นอะไร!”
เสียงกรีดร้องของพี่สะใภ้ ทำให้ไป๋ซือเหยาหันไปมองตามอย่างลังเล พี่หยุนซีพยายามเขย่าร่างของเธอด้วยใบหน้าซีดเผือด หยุ่นซีตัวสั่นเทาพยายามโทรหารถโรงพยาบาล ก่อนจะเริ่มทำCPRปั้มหัวใจให้ด้วยน้ำตานองหน้า แต่น่าเสียดายเธอมาช้าเกินไป
ไป๋ซือเหยามองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวด ไม่คิดว่าตัวเองจะตายอย่างโง่เขลาเช่นนี้ หากเพื่อน ๆ รู้คงไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือสมน้ำหน้าดี เธอมองภาพนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้าวตามชายชราไปอย่างหมดหนทาง
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ตายแล้ว อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น การตายคือจุดจบ แต่น่าเสียดายกลับเป็นจุดเริ่มต้นของเธอเสียอย่างนั้น
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน” ชายชราบอกเธอก่อนจะหายไป
ไป๋ซือเหยามองบริเวณโดยรอบ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน แต่เธอเห็นดอกไม้งดงามสีสันหลากตา มีน้ำตกสวยงามอยู่เบื้องหน้า และยังมีปลาแหวกว่ายไปมาดูสวยงามยิ่งนัก
ภาพตรงหน้าทำให้เธอนึกว่าเป็นสวรรค์ เธอรู้ตัวดีว่าไม่ได้ทำกรรมชั่วช้า แต่ก็ไม่ได้ทำคุณความดีจนได้ขึ้นสวรรค์เช่นกัน
หรือนี่เป็นเส้นทางให้เธอไปเกิดใหม่ ชีวิตในเมืองใหญ่เธอดิ้นรนมามากแล้ว บางทีได้พักยาวเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เธอเป็นเพียงครูสอนเด็กอนุบาลในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งมีที่พักให้พร้อมจึงไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายมากนัก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ที่ชายชรากลับมาอีกครั้ง เขามองเธออย่างอึดอัดหัวใจ ก่อนจะเอ่ยบอกว่า เขาพาวิญญาณมาผิดคน นั่นทำให้เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“เช่นนั้นก็พาฉันกลับไปส่งเถอะค่ะ”
เมื่อสงบใจแล้วไป๋ซือเหยาจึงเอ่ยบอกอย่างหมดแรง อาการก่อนตายมันทรมานมากจนเธอรู้สึกหวาดกลัวกับการกินขนมหวาน “คือ...กลับไม่ได้แล้ว เวลาในโลกมนุษย์ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ร่างเจ้าไม่เหลือแล้ว” ไป๋ซือเหยายืนแข็งค้างราวกับสายฟ้าฟาดลงบนกลางศีรษะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“แล้ว...แบบนี้ฉันจะเป็นผีเร่ร่อนแบบนี้หรือคะ”
ไป๋ซือเหยาเอ่ยถามอย่างหมดแรง ดวงตาคู่หงส์มองชายชราตรงหน้าซึ่งอีกฝ่ายมีสีหน้ารู้สึกผิดจนเธอต่อว่าไม่ลง แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่เธอไม่อาจให้อภัยให้ง่าย ๆ แน่
“ไม่ ๆ เดี๋ยวข้าจะให้เจ้าไปเกิดใหม่ในร่างใหม่ เจ้าเห็นเช่นไร” ชายชราเอ่ยถามอย่างมีความหวัง ไม่คิดว่าการไปรับวิญญาณแทนสหายครั้งแรก จะทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ขึ้น
“แต่นั่นก็ไม่ใช่ครอบครัวฉันค่ะ”
“แต่ตอนนี้ไม่อาจกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะให้ของวิเศษกับเจ้าสามอย่างเป็นอย่างไร”
ชายชราต่อรอง ไป๋ซือเหยานิ่งเงียบ เธอครุ่นคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แต่เมื่อตระหนักรู้แล้วได้แต่พยักหน้ายอมรับ ดีกว่าเป็นผีเร่ร่อนเช่นนี้
“ท่านจะให้อะไรกับฉันบ้างคะ” ไป๋ซือเหยาถามอย่างคาดหวัง ดวงตามองเขม็งชายชราหวังว่าจะไม่ทำให้เธอผิดหวังอีกครั้ง
“นี่คือพู่กันวิเศษสามารถเขียนผ่านอากาศได้”
ชายชราพูดจบก็มีพู่กันสีดำขนาดเล็ก ๆ ก็ลอยออกมาพร้อมวนรอบตัวเธออย่างกระตือรือร้น ไป๋ซือเหยามองภาพอัศจรรย์ตรงหน้าอย่างตื่นเต้น แม้ตอนนี้จะไม่มีหัวใจที่เต้นได้แต่เธอรู้สึกว่าเธอใจสั่นจริง ๆ โลกที่เธออยู่ไม่เคยมีอะไรเช่นนี้ จะมีเพียงแค่ในนิยายเท่านั้น
นิ้วเรียวยื่นออกแตะแผ่วเบาราวกับอยากรู้อยากเห็น พู่กันนั่นกลับเหมือนมีจิตใจเป็นของตนเอง มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างไปได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพัด กระบี่ กระบอง ก่อนจะลอยมาวางบนมืออย่างนิ่มนวล
“เจ้าพอใจหรือไม่”
“แล้วอย่างที่สองและสามล่ะคะ” แม้จะตื่นเต้นกับพู่กันแปลงร่างได้ แต่ไป๋ซือเหยาก็ยังไม่ลืมอีกสองอย่างที่ชายชราตรงหน้าบอกว่าจะมอบให้เพื่อชดเชยให้
“อย่างที่สองคือตาทิพย์ เมื่อไปถึงโลกนั้นเดี๋ยวเจ้าจะรู้ด้วยตนเอง ส่วนอย่างที่สามคือมิติวิเศษ ซึ่งจะอยู่ในปานรูปดอกบัวหลังมือซ้ายของเจ้า เพียงแค่เจ้าคิดถึงก็สามารถเข้าไปในนั้นได้”
ไป๋ซือเหยาตั้งใจฟัง แม้เรื่องตาทิพย์จะยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องมิติวิเศษก็ทำให้เธอลืมเรื่องอื่นไปเลย เธอยกมือซ้ายขึ้นมาอย่างอยากรู้และมีปานรูปดอกบัวสีทองจริง ๆ
“ไว้เจ้าไปถึงที่นั่นเจ้าจะรู้ด้วยตนเอง ใกล้ได้เวลาแล้วข้าต้องรีบพาเจ้าไปส่ง”
ชายชราเอ่ยบอกพร้อมดึงร่างวิญญาณของเธอหายไปด้วยทันที ทันใดนั้นเธอก็มาปรากฏอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง จะเรียกว่าบ้านก็คงไม่ถูกนี่เป็นกระท่อมชัด!
“ที่นี่หรือคะ”
ไป๋ซือเหยาหันไปเอ่ยถามชายชราอย่างไม่แน่ใจ ที่นี่ทรุดโทรมจนแทบไม่เรียกว่าบ้าน ทว่าชายชรากลับไม่ตอบคำถามของเธอ แต่ผลักเธอเข้าไปในกระท่อมหลังนั้นอย่างรวดเร็ว!
เธอเผลอกรีดร้องอย่างตกใจ จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าตนเองง่วงนอนมากจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีก...