เธอสูญเสียเขาไปในคืนแต่งงาน...แต่ไม่นานหลังจากนั้น ชายแปลกหน้ากลับปรากฏตัว พร้อมหัวใจดวงเดิมที่เธอเคยมอบให้ใครคนหนึ่ง ในร่างใหม่ ที่รักเธอไม่ต่างจากเดิม
เธอสูญเสียเขาไปในคืนแต่งงาน...แต่ไม่นานหลังจากนั้น ชายแปลกหน้ากลับปรากฏตัว พร้อมหัวใจดวงเดิมที่เธอเคยมอบให้ใครคนหนึ่ง ในร่างใหม่ ที่รักเธอไม่ต่างจากเดิม
เสียงฝนตกเบา ๆ นอกหน้าต่างคล้ายบทกล่อมของค่ำคืน
ห้องหออบอวลด้วยกลิ่นกุหลาบขาว และแสงไฟอุ่นละมุนราวอยู่ในฝัน
กานต์ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาจับจ้องด้วยแววตาที่ไม่อาจละไปไหน
มือของเขาเลื่อนมาถอดผ้าคลุมผมเจ้าสาวออกอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำและนุ่มนวล
“รู้ไหมครับ ผมเคยคิดถึงภาพในวันนี้มาตลอด แต่พอเห็นคุณจริง ๆ ในชุดเจ้าสาว ผมกลับไม่แน่ใจว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า”
นารายิ้มบาง ๆ ดวงตาเธอเป็นประกาย ปลายนิ้วแตะมือเขาเบา ๆ
ไม่มีคำพูดใดจำเป็นในตอนนั้น ความเงียบของหัวใจพูดแทนทุกอย่าง
“เหนื่อยไหมวันนี้”
เสียงทุ้มแผ่วเบาของกานต์ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสอ่อนโยนที่แตะลงบนไหล่นารา เขานั่งลงข้างเธอ พลางยื่นมือมาจับมือเธอไว้แน่น
“นิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้หายแล้ว” นารายิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอนศีรษะลงบนไหล่เขาอย่างไว้ใจ
กานต์ก้มหน้าลงจูบเบา ๆ ที่หน้าผากเธอ “ขอบคุณนะ ที่ยอมเดินมาจนถึงวันนี้ด้วยกัน”
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ... ขอบคุณที่ไม่เคยปล่อยมือฉันเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
กานต์ขยับกายเข้ามาใกล้ รั้งตัวเธอเข้าสู่อ้อมแขนแน่นขึ้น ลมหายใจเขาอุ่นอยู่ใกล้ใบหน้าเธอ ราวกับจะบอกให้รู้ว่า เขาอยู่ตรงนี้ อยู่เพื่อเธอ
“ให้ผมช่วยเปลี่ยนชุดนะครับ” เสียงเขานุ่มและจริงใจ
กานต์ช่วยปลดกระดุมชุดเจ้าสาวของเธอด้วยความทะนุถนอม ทุกการเคลื่อนไหวมีความระมัดระวัง และเต็มไปด้วยความรัก
เมื่อเธออยู่ในชุดซับในอันเบาบาง เขาจึงถอดเสื้อสูทของตัวเองออก
เขานั่งลงข้างเธอ คว้ามือที่คล้ายกับสั่นเบา ๆ ของเธอมากุมไว้แน่น
“ไม่ต้องกลัวนะครับ”
“ฉันไม่ได้กลัว...” เธอยิ้ม “…แค่ยังไม่เชื่อว่านี่คือความจริง”
กานต์โอบเธอเข้ามาแนบอก “ผมรักคุณนะ นารา”
“ฉันก็รักคุณค่ะ”
ปลายนิ้วของเขาไล้ไปตามแนวกรอบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากนุ่มที่เขารู้จักดี ริมฝีปากหญิงสาวที่เขารอจะเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียวมาตลอดชีวิต
จูบแรก...แผ่วเบาและสั่นไหว
จูบที่สอง...มั่นคง อบอุ่น และเต็มไปด้วยความรัก
แขนของกานต์โอบกระชับคนในอ้อมกอดไว้แน่น ราวกับไม่ต้องการให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไป นาราซบหน้าแนบอกเขา ฟังจังหวะหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับเธอ แล้วปล่อยให้อารมณ์นำพาทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างเนิบนุ่ม...ละมุนละไม
ไม่มีความเร่งรีบ มีเพียงความมั่นคงที่สะสมมาตลอดหลายปี
มืออันอบอุ่นสอดสัมผัสเข้าไปภายใต้ชุดที่บางเบาของนารา เขาลูบไล้สัมผัสผิวอันอ่อนนุ่มของเธออย่างทะนุถนอม ริมฝีปากร้อนผ่าวเคลื่อนวนขบเม้มลงมาตามซอกคอที่หอมกรุ่นของหญิงสาวในอ้อมกอด
นาราทำได้เพียงหลับตา สะกดกลั้นความเสียวซ่านของการถูกสัมผัสจากชายที่เธอรักมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
..........
เสียงโทรศัพท์ดังแทรกเข้ามากะทันหัน
ชื่อ "อรดา" สว่างบนหน้าจอ
กานต์หงุดหงิดและไม่เต็มใจที่จะรับสายเรียกเข้านี้ ทว่านารากลับหยุดการกระทำของเขา และให้เขารับสายเจ้าปัญหานี้ก่อน
“ฮัลโหล…ว่าไงอรดา?”
เสียงปลายสายตื่นตระหนก
“ขอโทษที่โทรมากลางดึกค่ะคุณกานต์ แต่ฉันโทรติดต่อคุณนาราไม่ได้เลย ตอนนี้ฐานข้อมูลบริษัทโดนเจาะ ข้อมูลลูกค้ารั่วไหลหมดเลยค่ะ!”
"อะไรนะ" เขาหันมาสบตานารา
เธอพยักหน้าโดยทันที “กานต์ ไปค่ะ เราต้องไปดูเอง ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญจะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้”
..........
รถแล่นฝ่าสายฝนในค่ำคืนที่เงียบสงัด
มือของกานต์จับมือเธอไว้แน่น
“ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมอยู่ตรงนี้”
"ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเกิดเรื่องร้ายในคืนวันแต่งงานของเราแบบนี้ด้วย” เธอกระซิบตอบ ถึงแม้ว่ากานต์จะบอกเธอว่าไม่ต้องกังวล แต่ลึก ๆ แล้วเธอก็ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ลงไปได้
ระหว่างที่รถเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว
จู่ ๆ แสงไฟจากรถบรรทุกก็พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง!
เสียงเบรก เสียงกระแทก เสียงทุกอย่างปะทะกันในวินาทีเดียว
โลกทั้งใบหมุนคว้าง ก่อนจะดับวูบลงในความมืด
นาราค่อย ๆ ลืมตา เสียงไซเรนดังแว่วอยู่ไกล ๆ
กลิ่นควันและแสงวูบไหวจากไฟฉุกเฉินทำให้สติของเธอค่อย ๆ กลับมา
ร่างกายปวดระบม แต่สิ่งแรกที่เธอคิดถึงคือคนข้างตัว
“กานต์...?” เธอเรียกชื่อเขาเสียงสั่น มือควานหาอย่างลนลาน
เขานอนแนบอยู่ข้างเธอ แขนยังโอบเธอไว้แน่น
เลือดจากหน้าผากเขาไหลช้า ๆ ริมฝีปากซีด และหายใจแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
“กานต์! ได้ยินไหม?!” เสียงเธอสั่นเครือ น้ำตารื้นขึ้นมาทันที
กานต์ขยับตัวเล็กน้อย ดวงตากะพริบช้า ๆ มองหน้าเธอ
“คุณ...ปลอดภัยไหม...เจ็บตรงไหนหรือเปล่า…”
“ไม่ต้องห่วงฉัน...คุณต่างหาก คุณเลือดออกเต็มไปหมดเลย!”
เธอรีบเอามือกดแผลเขาไว้ แม้จะตัวสั่นจนควบคุมไม่ได้
เสียงรถพยาบาลใกล้เข้ามา
นารากัดฟันพยายามประคองเขาไว้
“เดี๋ยวนะ กานต์...อย่าหลับนะ ได้ยินไหม...เดี๋ยวคนมาช่วยแล้ว”
“ไม่เป็นไร...คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว…” เขาพูดแผ่วเบา ริมฝีปากแทบไม่ขยับ
“อย่าพูดแบบนั้น! คุณต้องไม่เป็นไร...กานต์ ได้ยินไหม?!”
เขาพยายามจะยิ้ม แต่ก็หมดแรง
แววตายังมองเธอไม่วาง ราวกับอยากแน่ใจว่าเธอปลอดภัยจริง ๆ
“ช่วยด้วย! ตรงนี้ค่ะ!” เธอตะโกนไปยังทีมกู้ชีพที่วิ่งเข้ามา
มือของเธอจับมือเขาแน่นไม่ยอมปล่อย
และในวินาทีนั้นเธอรู้แค่อย่างเดียวว่า...เธอไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้มาก่อน
ทว่าร่างกายของเธอก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง สติสัมปชัญญะที่มีเริ่มเลือนลาง ในที่สุดแสงสว่างตรงหน้าก็ดับมืดไป
.................
เสียงเครื่องวัดชีพจรดังแผ่วเบา เคล้ากับกลิ่นยาในห้องสีขาวสว่าง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว นาราค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ภาพพื้นเพดานจาง ๆ ค่อยชัดขึ้นทีละน้อย
สติของเธอกลับมาเพียงครึ่งหนึ่ง แต่หัวใจกลับเจ็บแน่นราวมีอะไรบางอย่างขาดหาย
ภาพสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับลง
คือใบหน้าของกานต์…เลือดเปื้อนหน้าเขา แขนยังโอบเธอไว้แน่น
และเสียงของเขา…ยังคงก้องอยู่ในหัว
“คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว…”
แค่หลับตา เสียงนั้นก็ชัดเจนจนเจ็บ
ในระหว่างที่นารากำลังคิดทบทวน ประตูห้องก็เปิดออกเบา ๆ
ชายคนหนึ่งในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามาช้า ๆ พร้อมสีหน้าที่จริงจังเกินกว่าที่ผู้ได้พบเห็นจะรู้สึกสบายใจ
“คุณนารา…” เสียงที่อ่อนโยนแต่ทุ้มหนักของหมอดังขึ้น
“คุณฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้รู้สึกมีส่วนไหนที่ยังไม่ค่อยโอเคบ้างไหมครับ"
ได้ยินคำถามจากคุณหมอเจ้าของไข้ นาราทำได้เพียงสายศีรษะไปมาอย่างช้า ๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับ
หมอหยิบชาร์ตรายงานผลการตรวจขึ้นมาอ่านคู่หนึ่ง หลังจากได้เซ็นชื่อรับรองก็กล่าวขึ้นว่า "สภาพร่างกายของคุณโดยรวมถือว่าไม่เป็นอะไรมาก มีเพียงแผลบาดเจ็บแค่เล็กน้อย"
หลังจากเปิดดูรายงานทางการแพทย์อีกครู่หนึ่งเขาก็วางมันไว้ที่เดิม
"แต่ทางที่ดีหมอจะให้คุณพักดูอาการอีกสักหนึ่งอาทิตย์ ถ้าไม่มีอะไรมากก็สามารถกลับบ้านได้ครับ” เขากล่าวอธิบาย
เธอหันไปมองเขา ดวงตายังพร่ามัวจากทั้งน้ำตาและฤทธิ์ยา เอ่ยถามทันทีโดยที่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง "หมอคะ กานต์....กานต์เขาเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้อยู่ที่ไหนเขาปลอดภัยดีใช่ไหมคะ"
หลังจากได้ยินคำถามสีหน้าของหมอก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นอย่างไม่สามารถปกปิดได้
“คุณกานต์...เขาบาดเจ็บสาหัสมากครับ” หมอพูดอย่างระมัดระวัง
“เราทำได้แค่ประคองชีวิตเขาไว้ให้ถึงตอนนี้ เขาเสียเลือดมาก มีบาดแผลภายในหลายจุด"
"เขา...คงรอให้คุณฟื้นขึ้นมา....”
หมอไม่ได้บอกโดยละเอียดเพราะไม่อยากให้กระทบต่อจิตใจของเธอ เพียงแต่คำพูดสุดท้ายของหมอ...คล้ายมีใครกดหัวใจเธอลงอย่างแรง
นาราขยับตัวลุกขึ้นทันที แม้ร่างกายจะยังอ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
“ฉัน...ฉันอยากเจอเขา”
หมอพยักหน้า
“เขาอยู่ห้อง ICU ชั้นบน ผมจะพาคุณไป”
บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นเข้ามา ประคองเธอนั่งบนรถเข็นอย่างมั่นคง หลังจากย้ายขวดน้ำเกลือมายังรถเข็นเรียบร้อย ก็เข็นพาเธอออกไปอย่างช้าๆ
ห้อง ICU
นารานั่งอยู่บนรถเข็นหน้าห้อง มือแนบกระจก
ใบหน้าเธอซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ไม่หยุด
เธอไม่อาจขยับรถเข็นเข้าไปข้างใน...เพราะใจยังไม่พร้อมจะเห็นความจริง
ในเงาสะท้อนของกระจก ไม่ใช่แค่ภาพของเธอที่สะท้อนออกมา
แต่คือเงาอีกเงาหนึ่ง รอยยิ้มของกานต์ในวันเก่า…อบอุ่น อ่อนโยน และเต็มไปด้วยความมั่นใจ
..........
สิบเก้าปีก่อน
หลังงานศพของพ่อแม่เธอจบลง
เด็กหญิงนาราในวัยแปดขวบยืนเงียบ ๆ อยู่หน้าบ้านหลังใหญ่
บ้านของครอบครัว “วรเมธินทร์” ที่เธอแทบไม่รู้จักใครเลย
เธอกำตุ๊กตาแน่น ไม่ยอมพูดกับใคร
จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินเข้ามาใกล้
เด็กชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนยื่นมือมาตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน
“ตั้งแต่นี้ไป ฉันจะอยู่ข้างเธอนะ”
เขาคือ กานต์ วรเมธินทร์
และในวันนั้น เขาคือคนแรกที่ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกนี้ยังปลอดภัย
..........
ภาพความทรงจำเลือนหายไป
นารายังยืนอยู่ที่เดิม หน้าห้อง ICU
น้ำตาหยดใหม่ไหลลงบนกระจกเย็นเฉียบ
เธอสูญเสียพ่อแม่
และตอนนี้...เธอกำลังจะสูญเสียผู้ชายที่เคยยื่นมือให้เธอในวันที่โลกทั้งใบพังลง
หัวใจของนาราแตกสลาย กานต์คือสิ่งเดียว ที่ทำให้เธอยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปได้
เลือกสามีผิดคิดจนตัวตาย!เป็นเช่นไรรู้ก็เมื่อสายไปเสียแล้ว ลูกต้องตายจาก พ่อแม่พี่ชายพลัดพราก ด้วยหน้าที่ของเขาในฐานะเจ้าเมือง ช่วยชีวิตทุกคนไว้ได้ เว้นแต่นาง เว้นแต่ครอบครัวของนาง
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
เมื่อย้อนเวลามาอยู่ในยุคโบราณที่ผู้ชายล้วนมีสามภรรยาสี่อนุ จื่อรั่วอิงจึงมองหาบุรุษที่จะทำให้นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและได้รู้ว่ามีอ๋องผู้หนึ่งไร้ภรรยาและตาบอดเขาคือคนไม่มีใครเอา"สวรรค์ให้ทางรอดข้าแล้ว" นิยายเรื่องนี้เป็นแนวสุขนิยม ปมเบา ๆ ไม่หนัก นะคะ พระเอกมีเมียเดียว พระเอกสายซึนคลั่งรักนางเอกแต่ไม่รู้ตัว นางเองจอมตื๊อเพื่อทำให้สามีรักสามีหลงขนความฮามาพร้อม ๆ กับบ่าวรับใช้และครอบครัว แนวขบขัน สายฮา สายตลกไม่ควรพลาดค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด