“หนิงหนิง ทำไมเธอถึงได้ทำแบบนี้ล่ะ? ถึงแม้ว่าพวกเราจะหาลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเราเจอแล้ว แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเลยนะ ด้วยศักยภาพของพวกเราแล้ว การจะเลี้ยงดูเธอเพิ่มอีกคนไม่ใช่ปัญหาเลยนะ ฉันว่าเธออย่าไปเลย ฉันกับแม่ของเธอก็ยังคงปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเราเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่หากเธอยังยืนกรานที่จะไป ฉันก็จะไม่ห้ามเธอ เพียงแต่ครอบครัวที่แท้จริงของเธอยากจนมาก คาดว่าพวกเขาไม่น่าจะส่งรถมารับเธอกลับไปได้ด้วยซ้ำ เงินนี้ เธอเอาไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็แล้วกันนะ”
เซี่ยซางหนิงเหลือบมองซองจดหมายบาง ๆ นั้นอย่างเฉยชา เธอเดาว่าในนั้นจะต้องมีเงินไม่เกินห้าพันแน่ ๆ หลังจากนั้นเธอก็ยัดเงินกลับคืนไปให้เสิ่นเจิ้นหยวนด้วยสีหน้าเย็นชาและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องเสียค่าเดินทางหรอกค่ะ พ่อแม่ของฉันส่งรถมารับฉันแล้ว”
ปากก็พูดรั้งให้เธออยู่ต่อ แต่มือนั้นกลับยื่นค่าเดินทางให้ เขาอยากจะให้เธออยู่ต่อจริง ๆ น่ะเหรอ
เธอคือลูกบุญธรรมของตระกูลเสิ่น เธอเข้ามาในบ้านตระกูลเสิ่นตอนที่เธออายุเพียงสองขวบกว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งในตอนนั้นเนื่องจากตอนนั้นลูกสาวของแม่เสิ่นที่เพิ่งคลอดถูกคนอุ้มไปจากโรงพยาบาล ทำให้แม่เสิ่นไม่สามารถทำใจได้ก็เลยรับเธอมาเลี้ยง
ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เธอจะใส่เสื้อผ้าตามแผงลอยที่ราคาถูกที่สุดตลอดทั้งปี ได้กินอาหารเหลือของที่บ้าน แล้วก็ยังต้องเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลรับใช้ครอบครัวของพวกเขา
หลังจากโตขึ้น เสิ่นเจิ้นหยวนก็ได้ค้นพบว่าเซี่ยซางหนิงมีความสามารถพิเศษด้านการออกแบบ ของอะไรก็ตามแต่ที่เธอวาดขึ้นมาแบบส่ง ๆ ล้วนแล้วแต่วิจิตรงดงามกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญวาดขึ้นมากเป็นหมื่น ๆ เท่า แถมยังมีมูลค่าทางการตลาดที่สูงมากเลยทีเดียว
ตระกูลเสิ่นไม่อนุญาตให้เธอไปโรงเรียน โดยอยู่บ้านเพื่อที่จะทำการออกแบบอะไหล่รถยนต์โดยเฉพาะ รวมไปถึงการออกแบบรถยนต์อีกด้วย ทุกคนในตระกูลเสิ่นรู้ดีว่าเธอหารายได้ให้ตระกูลเสิ่นได้มากแค่ไหน
ถ้าไม่มีเซี่ยซางหนิง ตระกูลเสิ่นคงไม่มีทางที่จะถีบตัวขึ้นมาอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงของเมืองไห่ได้หรอก แล้วก็ไม่มีทางได้จัดงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเขาอย่างเปิดเผยจนได้เชิญคนดังจากทั่วโลกมาเช่นนี้หรอก
ตอนนี้ตระกูลเสิ่นก็แค่เพิ่งจะเริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่พวกเขากลับคิดที่จะไล่เซี่ยซางหนิงไปซะแล้ว คนในครอบครัวนี้ช่างมีจิตสำนึกที่ดีงามกันซะเหลือเกิน
เสิ่นเจิ้นหยวนถอนหายใจออกมา แล้วก็ยัดซองจดหมายในมือใส่ลงในกระเป๋าของเซี่ยซางหนิงไป
“ทางนั้นจะส่งรถมารับเธออย่างนั้นเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? ฉันไปสืบมาแล้ว พ่อแม่แท้ ๆ ของเธอมีลูกชายอยู่สองคน แถมยังมีลุงใหญ่ที่เป็นอัมพาตติดเตียงแถมยังโสดที่ต้องคอยดูแลอีกด้วย พวกเขาอาศัยอยู่ในหุบเขากันอย่างยากจน ที่บ้านก็ลำบากขัดสนจะตายไป ยังไงก็ไม่น่าจะมีศักยภาพพอที่จะมารับเธอได้อยู่ดี เธออยู่กับพวกเราได้ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย หากไปอยู่ที่นั่นต้องไม่ชินแน่ ๆ เงินพวกนี้เธอเอาไปเถอะ……”
เซี่ยซางหนิงหยิบซองจดหมายมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วเธอก็พูดอย่างหน้าตาเฉยว่า “ลาก่อนนะคะ”
ซึ่งเธอไม่ได้สังเกตเลยว่า เสิ่นฮุยจูที่อยู่ข้าง ๆ ได้ใส่อะไรบางอย่างลงมาในช่องด้านข้างของกระเป๋าเป้ของเธอ
หลังจากพูดจบ เธอก็สะพายกระเป๋าเป้สีดำขึ้นมา แล้วก็เดินลงบันได้ไปเสียงดังตึง ๆ ๆ อย่างรวดเร็วโดยไม่มองไปที่คนตระกูลเสิ่นอีกเลย
แม่เสิ่นเบิกตาโตกว้างมองไปที่แผ่นหลังของเธอที่หายลับไปจากบันไดอย่างรวดเร็ว เวลานี้เธอโมโหมากจนขมวดคิ้วแน่น “ดูสิ ขนาดหมาที่เลี้ยงมันยังรู้จักเชื่องกับเจ้าของเลย ฉันเลี้ยงเธอมาตั้งยี่สิบปี แต่ตอนนี้พอเธอจะไปแค่คำขอบคุณสักคำยังไม่รู้จักพูดเลย คนแบบนี้ควรต้องไปเป็นคนไร้บ้านู้นแหละ!”
เสิ่นฮุยจูประคองแขนของแม่เสิ่นเดินลงบันไดไป แล้วก็โน้มน้าวเธออย่างสุภาพว่า “คุณแม่ อย่าไปถือสาคนที่ไร้การศึกษาอย่างเธอเลยค่ะ แค่ประถมยังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำ พออายุสิบขวบก็เริ่มทำตัวเสเพลไม่เอาไหนซะแล้ว แล้วเธอจะเป็นคนที่มีมารยาทได้ยังไงล่ะคะ หากเธอออกจากครอบครัวที่มีฐานะดีอย่างครอบครัวของพวกเราไป ชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอแค่จะกินข้าวให้ครบสามมื้อนั้นยังยากลำบากเลย หากจะอารมณ์ไม่ดีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้อยู่หรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปส่งพี่เอง!”
แม่เสิ่นดึงเสิ่นฮุยจูเอาไว้และถามออกมาอย่างกระวนกระวายใจว่า “ลูกจะไปทำไม? เธอเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมแบบนี้ มันไม่คุ้มที่พวกเราจะรั้งเธอไว้หรอกนะ”
“คุณแม่ ช่วงที่ฉันกลับมานี้ พี่ก็ทำดีกับฉันเป็นอย่างมากนะคะ การที่พี่ออกไปแบบนี้ ไม่รู้เลยว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้เจอหน้ากันอีกรึเปล่า ฉันไปส่งพี่สักหน่อยดีกว่าค่ะ”
เธอเขย่ากล่องเครื่องประดับใบหนึ่งในมือไปมา แล้วก็ยิ้มอย่างน่าเอ็นดู “ฉันซื้อของขวัญมาให้พี่ด้วยค่ะ”
เสิ่นฮุยจูไล่ตามลงไป เสิ่นเจิ้นหยวนและภรรยาจึงไล่ตามลงไปด้วยเช่นกัน
“พี่!” เสิ่นฮุยจูตะโกนเรียกเสียงหวาน แล้วก็รีบวิ่งไปอย่างว่องไว “พี่รีบไปมากเลย ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญที่ฉันเตรียมไว้ให้พี่เลยนะ”
เธอแบมือออกและยื่นกล่องสี่เหลี่ยมสีแดงใบหนึ่งไป ซึ่งข้างในเป็นกำไลหยกสีขาววงหนึ่ง เนื้อหยกมีความใสราวกับคริสตัลและโปร่งแสง ซึ่งทำจากวัสดุประเภทแก้ว ดูมีสีสันสวดสดใสมาก
เซี่ยซางหนิงลดตาลงไปมอง กำไลวงนี้ดูสวยใช้ได้ มีมูลค่าอยู่บ้าง
เธอปฏิเสธออกไปอย่างเย็นชาว่า “ไม่เป็นไรหรอก เธอเก็บเอาไว้ใส่เองเถอะ”
เสิ่นฮุยจูวางกล่องนั้นลงในมือของเธออย่างจริงใจ แล้วก็พูดโน้มน้าวเธออย่างจริงจังว่า “พี่รับไว้เถอะนะ กำไลวงนี้ฉันซื้อมาหลายแสนเลยนะ หากในอนาคตพี่เกิดขัดสนขึ้นมา การเงินติดขัดจะได้เอาไปขายไว้ใช้ยามฉุกเฉินได้ไง หรืออย่างน้อย ๆ ตอนที่พี่แต่งงานมันก็ยังใช้เป็นสินสมรสติดตัวเจ้าสาวที่ถือว่าพอมีราคาได้อยู่นะ”
เธอปิดกล่องลงโดยไม่ปรึกษา แล้วก็ใส่มันลงไปในกระเป๋าเป้ของเซี่ยซางหนิง
ทันใดนั้นเสี่ยวซูผู้เป็นพี่เลี้ยงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีอย่างมากและพูดว่า “คุณหนู แย่แล้วค่ะ สร้อยเพชรงานหมั้นที่คุณชายน้อยซ่งมอบให้คุณหนูหายไปค่ะ!”