“เปล่านะ ฉันไม่ได้โกหกสักหน่อย แค่ไม่ได้บอกว่าจะให้รางวัลมากน้อยแค่ไหนและตอนไหนเท่านั้นเอง” คนเจ้าเล่ห์ตอบกลับเสียงใส รีบปลดสองแขนใหญ่ออกจากร่าง ลุกขึ้นไปยืนยิ้มหน้าระรื่น “เอาน่า...ฉันไม่ผิดคำพูดหรอก แค่ยืดเวลาออกไปนิด คุณคงไม่ถึงกับลงแดงหรอกนะ” “ได้จ้ะเมียจ๋า แต่เดี๋ยวถึงเวลาฉันทวงรางวัล เธอจะมาว่าฉันมักมากไม่ได้นะ” “ให้มันแน่เถอะค่ะคุณสามีขา...แก่แล้วนะคะ กลัวจะตายคาอกฉันน่ะซิ” นิลลดาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ทว่าในใจเธอกลับขลาดกลัว เพราะดันมีเรื่องปกปิดชายหนุ่มเอาไว้น่ะซิ ************ “คะ...คุณภูมิต้องการอะไรล่ะคะ” เอ่ยถามเสียงใสพลิ้ว “ถ้าฉันให้ได้ก็จะให้ค่ะ” “ฉันก็แค่อยาก...” นิ้วยาวร้อนผ่าวทาบทับคลึงบนกลีบปากนุ่ม “กอดเธออย่างแนบชิด แล้วก็จูบ...จูบไปทั่วทั้งตัวเธอเท่านั้นเอง” “บ้า!! คุณภูมิน่ะ” ยกมือทุบอกกว้างเบาๆ “เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย คุณขอแบบนั้นได้ยังไง” “ไม่ได้หรือยายดำ” ภูมินทร์ทำหน้ามุ่ย ทำตาละห้อยโหยหาราวกับว่าจะต้องจากลาไปในบัดเดี๋ยวนี้
1
“จะไปไหนมุกลดา”
เสียงดุเข้มเรียกคนตัวเล็กรูปร่างเพรียวบางในชุดสีงาช้าง ขับผิวออกสีน้ำผึ้งให้ดูเด่นใสขึ้น จนแขกเหรื่อที่ได้เห็นต่างก็ชื่นชมและยินดีที่เขาได้ภรรยาที่แสนจะน่ารักน่าใคร่ ตอนนี้เธอชะเง้อคอยาวจนแทบจะเป็นยีราฟ เหลียวซ้ายแลขวาท่าทางหลุกหลิกลุกลี้ลุกลนอย่างกับเด็กแอบไปทำอะไรผิดมา แล้วกลัวจะมีคนจับได้ ค่อยๆ สืบเท้าเลี่ยงหนีแขกที่มาอวยพรในงานออกมาทางประตูด้านข้างห้องจัดเลี้ยงอย่างไม่ทำตัวให้เป็นที่สังเกตของคนในครอบครัว ซึ่งก็มีเพียงแค่บิดาเท่านั้น ที่มาอวยพรโดยไม่ได้มีสีหน้าแช่มชื่นยินดีกับงานมงคลเลยสักนิด
ส่วนคนอื่นๆ มารดาเลี้ยงก็อยู่โยงเฝ้าไข้น้องชายคนละแม่ที่โรงพยาบาล ในขณะที่มารดาตัวจริงนั้นไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้คงกำลังสนุกอยู่กับงานและเขาคนสำคัญอย่างเขาที่ยืนเคียงข้าง
คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกจนแทบจะกระโดดไปมุดใต้โต๊ะ หัวใจเต้นตึกตักรัวเร็วราวกับจะร่วงหล่นลงมาจากที่สูง ดวงหน้ารูปหัวใจซึ่งตกแต่งไว้อย่างดี งดงามและประณีตเหมาะสมกับงานสำคัญเหลียวมองตามที่มาของเสียงอย่างหวาดหวั่น พร้อมรอยยิ้มแหยๆ ที่มาพร้อมใบหน้าซีดเผือดลงพอๆ กับปลายมือปลายเท้าชื้นเหงื่อ เย็นยะเยือกขึ้นมาราวกับว่าเธอยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง
ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอนเบิกกว้างคล้ายคนถูกผีหลอกจนตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกในตอนนี้คืออ่อนล้าสลับไหววูบด้วยความกังวล หัวใจร่ำๆ จะหยุดทำงานเสียแล้วหลายครั้งหล่นตุ้บไปกองอยู่ปลายเท้ากับเสียงห้าวทรงอำนาจและดุกร้าวที่ดังไม่ไกลจากตัวสักเท่าไหร่
อยากบอกว่าไม่ได้ไปไหนสักหน่อย แต่...กลีบปากอิ่มนุ่มเป็นสีชมพูระเรื่ออยู่แล้วถูกเสริมทับด้วยลิปสติกสีชมพูเข้มสวยสดและมันวาว ขบเม้มเข้าหากันด้วยหาเสียงพูดไม่เจอ ในทรวงอึดอัดคล้ายถูกบีบคั้นจากมือซึ่งมองไม่เห็น จนคิดว่าถ้าหากยืนอยู่ตรงนี้อีกเพียงแค่นิด เธออาจจะเป็นลม เพราะหายใจไม่ออกก็เป็นไปได้ ห้องโถงกว้างใหญ่แต่เธอรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ในกล่องแคบ ๆ ราวกับโลงศพ
ปกติไม่ใช่คนขี้กลัวนะ แต่ตอนนี้...ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างติดขัดกับรัศมีแห่งอำนาจที่แผ่กระจายมา ดวงตาหลุบลงมองเพียงแค่อกกว้างของร่างหนาล่ำบึกบึนราวกับหมียักษ์จากขั้วโลกเหนือ ในชุดสูทสากลสีดำสนิท ยืนจังก้าราวกับจะข่มร่างเพรียวบางด้วยความสูงเพียงแค่ร้อยหกสิบนิดๆ ให้เล็กเท่ามดดำ
ตาสีนิลเข้มดุกร้าวกราดเกรี้ยวเต็มไปด้วยเพลิงไฟเจิดจรัส เสริมด้วยวงหน้าคมเข้มสีน้ำตาลไหม้อย่างคนทำงานกลางแดดจัดๆ ตลอดเวลา สำทับด้วยไรหนวดไรเคราซึ่งขึ้นรกครึ้มไล่จากใต้หูลงมาถึงปลายคางจรดใบหูอีกฝั่ง ยิ่งเป็นการเน้นใบหน้าถมึงทึงให้ดูน่ากลัวขึ้นอีกเป็นหลายเท่า
คนถูกเรียกอยากยืดอกแฟบๆ อย่างกับอกไข่ดาวมองสบสายตาคนเรียกด้วยท่าทางองอาจกล้าหาญ และพูดจาโต้ตอบไปอย่างฉะฉานด้วยน้ำเสียงอันดังไม่แพ้กันอย่างไม่เกรงกลัว
‘ฉันจะไปให้พ้นๆ หน้าคุณไงไอ้คุณหมียักษ์’ แต่ก็ไม่อาจหาญสู้ประกายนัยน์ตาสีนิลคมกริบราวกับพญาเหยี่ยวบนเวหา และรัศมีแห่งอำนาจบาตรใหญ่ซึ่งแผ่กระจายมาได้ จำใจก้มหน้างุดมองหัวรองเท้าที่สะกิดพื้นพรมนุ่ม ทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ หูทวนลม ไม่ตอบคำถามไปเสียเฉยๆ
‘อยากถามก็ถามไป จะไม่ตอบซะอย่าง มีอะไรไหม’
“ว่าไง จะไปไหน”
เสียงแข็งดุกร้าวดังแทรกเสียงเพลงรักหวานๆ ตามมาอีกระลอก แต่สาวน้อยร่างแบบบางกลับทำเหมือนว่าคำพูดนั้นเป็นเพียงแค่เสียงสายลมพัดผ่านไป
‘ก็ไม่อยากตอบนี่นา ใครจะทำไมล่ะ’
จมูกเล็กโด่งย่นตวัดใส่คนถาม เมื่อกี้เห็นคุยอยู่กับใครก็ไม่รู้ อยู่ไกลกับเธอตั้งหลายเมตร จนคิดว่าเขาไม่สังเกตเห็นแล้วนะ แต่พอขยับใกล้ถึงประตูเท่านั้นแหละ ดันตามมาเสียได้ แล้วอย่างนี้เธอจะทำไงล่ะทีนี้ เวลาก็งวดมาแล้ว ขืนยังออกจากงานไม่ได้ มีหวังคืนนี้ตายแหงๆ แค่อยู่ใกล้แค่นี้ ขนตามเรือนกายยังลุกชันเลย
นับแต่วินาทีแรกที่ได้สบตากับอีกฝ่าย ถึงไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับ หน้าตาของพายุไม่ได้หล่อเหลาอย่างชายอีกคนซึ่งเธอแอบชอบอยู่ ทว่าหน้าตาออกคมสันและแกร่ง รัศมีแห่งอำนาจแผ่กระจายมาทำให้หัวใจเธอทำงานผิดจังหวะได้ไม่น้อยเหมือนกัน
หน้าตาเลยขยันแดงบ่อยมากถึงมากที่สุด อยู่ใกล้ๆ แล้วทำอะไรไม่ค่อยจะถูก แม้กระทั่งมือก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ตรงไหนดี มันเกะกะไปเสียหมด ยามยืนเทียบกัน ความสูงใหญ่ข่มให้เธอกลายเป็นมดตัวเล็กๆ ได้ในพริบตา ทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะแพ้ตั้งแต่ไม่ทันออกสนามรบเลยด้วยซ้ำ รับไม่ได้ค่ะ...รับไม่ได้อย่างแรงเลยทีเดียวละ
เมื่อคำถามที่เอ่ยออกไปแล้วไม่ได้รับคำตอบกลับมา ก็ทำให้คนถามหงุดหงิดจนผิวหน้าสีน้ำตาลเข้มขึ้นพอๆ กับประกายในดวงตาดุกร้าว ทอดสายตามองแม่สาวตัวเล็กอย่างจะห้ามปรามอยู่ในที หากคิดทำอะไรก็ให้ระลึกให้ดีว่าตัวเองอยู่ตกอยู่ในสภาพใด
นับตั้งแต่ได้ข่าวไม่สู้ดีก่อนวันงานเพียงแค่วันเดียว มีคนเห็นมุกลดาเดินทางขึ้นรถโดยสารไปกรุงเทพฯ ตอนแรกเขาคิดว่าอาจต้องหน้าแตก อายคนทั้งเมืองสายหมอกแห่งนี้แล้ว เพราะไม่มีเจ้าสาวในวันจัดงานพิธี ทว่าพอเช้ามาก็มีแม่สาวน้อยร่างเพรียวบางในชุดไทยประยุกต์สีงาช้าง ชุดน่ะสวยเข้ารูปเหมาะกับเจ้าสาว ขับผิวสีน้ำผึ้งให้นวลเนียนผ่องพรรณมากยิ่งขึ้น แต่ใบหน้าของเจ้าสาวนะซิ บูดบึ้งหงิกงอราวกับว่าเธอไปสับเปลี่ยนหน้ากับสุนัขพันธุ์ปั๊กมาอย่างนั้นแหละ
ก็รู้อยู่หรอกนะ ไม่ได้อยากแต่งงานด้วย เขาก็แค่คนหวังดีที่เดินผ่านเข้ามา เสนอทางให้เลือกโดยไม่มีการบังคับ ฉันเสนอไปแล้ว เธอต้องทำตามนะ การตัดสินใจทุกอย่างก็อยู่ที่ตัวมุกลดานั่นแหละ
แต่ก็ต้องยอมรับนิดหนึ่ง เหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านเข้ามาบังคับอยู่ในที ทำให้มุกลดาเลือกเส้นทางนี้ แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ควรจะทำใจ ไม่ใช่จะมาโยนความผิดให้และมาทำท่าทางไม่พอใจใส่เขาอยู่อย่างนี้
นับตั้งแต่เห็นเจ้าสาวร่างเพรียวบางร่างอ้อนแอ้นราวกับนางอัปสร เพียงแค่แวบแรกที่ได้ประสบพบหน้า สบกับสายตากลมโตราวกับตากวางตื่นภัยที่มองราวกับเขาเป็นสัตว์ร้ายอันน่าเกลียดน่าขยะแขยง ล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอนที่ทำให้หัวใจกระตุกไหวโดยไร้สาเหตุ
เป็นอะไรที่แปลกมาก ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอกับมุกลดา เคยเจอหลายครั้งตอนหญิงสาวไปเยี่ยมน้องชายที่โรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกแค่เฉยๆ น่ะ ต่างกับคราวนี้ที่เขารู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป บางอย่างสะกิดใจอยู่มิใช่น้อย แต่ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ทว่าสิ่งหนึ่งที่รู้ก็คือ...
ดวงตากลมโตทอประกายแข็งกร้าวและเกรี้ยวกราด ทุกครั้งยามสบสายตาด้วย ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ความตื่นกลัวแซมรังเกียจ แต่มีความเจ้าเล่ห์ที่แอบซุกซ่อนเอาไว้โดยปิดไม่มิด ทำให้เขาไม่ไว้วางใจ รู้สึกเธอจะฤทธิ์มากและมีลับลมคมใน จนต้องคอยจับตามองไม่ให้คลาดคลา
ท่าทางลุกลี้ลุกลนและเหลียวมองไปที่ประตูห้องอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเพิ่มความสงสัย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ทำไมเธอถึงมองแต่ประตู คิดจะทำอะไรอีกหรือเปล่า?
มือใหญ่สอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สาวเท้าเดินเรื่อย ๆ เอื่อยเฉื่อยเหมือนจะไม่สนใจอะไร แต่กลับแฝงไว้ด้วยความมั่นคงและอาจหาญ ร่างหนาแกร่งหยุดยืนตรงหน้าเจ้าสาว ซึ่งคนในงานต่างก็เอ่ยชมทุกคนว่าสวยน่ารัก ศีรษะทุยโน้มลงไปเล็กน้อย ลมหายใจเป่ารดกกหู ริมฝีปากแนบชิดใบหู
“ไปคุยกันแบบส่วนตัวหน่อยดีไหมมุกลดา” ไม่รอให้คนถูกเรียกได้ตั้งตัว มือหนาสอดเข้าจับแขนกลมกลึง ไม่ดึงแต่บังคับด้วยแรงบีบที่กดกระชับลงไป ทำให้แม่ตัวเล็กต้องเดินตามไปยังประตูฝั่งหนึ่ง ซึ่งด้านหลังเป็นห้องซึ่งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวใช้แต่งตัวอย่างไม่พอใจและไม่เต็มใจ
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้