“โอวว…” เธอเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ พรูลมหายใจร้อนผ่าวออกมาจากริมฝีปาก ขณะเขากำลังละเลียดเข้าไปในหลืบเนื้อคับแน่นของเธอ หลังไหล่ของแอลลี่เบียดนาบไปกับบานประตูเพราะความรู้สึกเสียวซ่านที่ได้รับ “เจ็บนิดเดียวนะครับ…” เขาปลุกปลอบเสียงกระเส่า หญิงสาวได้แต่พริ้มตา… รับความรู้สึกละเลียดลึกจากท่อนลำความอุ่นร้อนที่ล่วงล้ำเข้ามาสู่ห้วงความเหว่ว้าของเธอ ไทเลอร์กำลังเติมเต็มบางอย่างที่ชีวิตของเธอโหยหาอยู่ลึกๆ ในใจมาโดยตลอด “แอน…ผมรักคุณ ต้องการคุณที่สุด”
สวาทร้ายซ่อนรัก
ทันทีที่ก้าวลงจากรถแท็กซี่ หญิงสาวแหงนใบหน้ามองดูโรงแรมขนาดใหญ่ที่เธอตั้งใจจะมาสมัครงาน แลเห็นโครงสร้างคอนกรีตรูปทรงสี่เหลี่ยมสูงเสียดฟ้า ตกแต่งด้วยวัสดุหรูหรา ส่วนที่เป็นกระจกและโลหะเลื่อมเงาสะท้อนวาบวาววับกับดวงตะวัน ตระหง่านอยู่ในประกายแสงแดดของยามสาย
‘BK Paradise Hotel’
เธอสะกดชื่อของโรงแรมที่แลเห็นเด่นชัดจากป้ายตัวอักษรขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้า รั้วและประตูทางเข้าก่อด้วยอิฐศิลาแลงแข็งแกร่ง บางส่วนของรั้วปกคลุมเอาไว้ด้วยสีเขียวของต้นตีนตุ๊กแก ขึ้นหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นสีอิฐ ถัดจากตัวตึกขนาดใหญ่มีห้องพักสไตล์รีสอร์ต ปลูกสร้างเรียงสลับออกมาเป็นปีกซ้ายขวาของโรงแรม
“มาสมัครงานค่ะ”
เธอตรงไปรับบัตรสำหรับผู้มาติดต่อที่หน้าป้อมยาม เดินผ่านประตูทางเข้าด้านหน้าของโรงแรมที่ร่มครึ้มไปด้วยต้นปาล์มหนาแน่น อวดสีเขียวขจีอันน่ารื่นรมย์ต่อสายตาผู้พบเห็น หากแต่ในความรู้สึกของหญิงสาว…กลับไม่นึกชื่นชมในความงามอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยหญิงสาวรู้ดีว่าการที่ต้องดั้นด้นมาถึงเมืองไทยครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อสร้างอนาคต หรือหวังเอาความก้าวหน้าจากหน้าที่การงานจากที่แห่งนี้ แต่เธอมาเพราะมีเหตุผลบางอย่างเป็นแรงผลักดัน
ขณะก้าวเดินเข้ามาถึงบริเวณลานโล่งชั้นใน ก่อนถึงประตูขนาดใหญ่ เพื่อจะเข้าสู่ภายในโรงแรมหรู ระหว่างทางที่เธอเดินผ่านบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ มีรูปปั้นผู้หญิงเปลือยกายอะร้าอร่าม แบกแจกันใบใหญ่เอาไว้เหนือบ่า สายน้ำพร่างลงมาจากปากแจกัน ไหลสู่บึงบัวขนาดใหญ่ น้ำเบื้องล่างใสราวกระจก แลเห็นฝูงปลาคาร์ปแหวกว่ายไปมา
ในเวลาต่อมา
ภายในห้องทำงานส่วนตัวของพีระพงษ์ อัครพลไพศัลย์ ผู้เป็นเจ้าของ ‘BK Paradise Hotel’ โรงแรมหรูระดับห้าดาว มีสาขาอยู่ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญในหลายประเทศทั่วโลก
“ไทเลอร์มาหรือยัง…”
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังนั่งไขว่ห้าง เอนหลังทาบไปกับพนักเก้าอี้หนังสีดำ เอ่ยถามกับวิไลวรรณ เลขาฯ ประจำตัวของเขาที่เพิ่งถูกเรียกตัวเข้ามาในห้อง
วิไลวรรณเป็นหญิงสาวชาวเหนือ เธอมีผิวขาวอวบ ละเอียดลออ หน้าตาจัดว่าสะสวย เส้นผมสีดำสลวยรัดรวบขมวดเป็นมุ่นมวยเอาไว้ที่ด้านหลัง ริมฝีปากเอิบอิ่มเคลือบด้วยลิปสติกสีชมพูบาง ใบหน้ารูบไข่ฉาบเอาไว้ด้วยเครื่องสำอางแต่พองาม ไม่ฉูดฉาด แต่งกายด้วยเสื้อสูทสั้นสีดำทันสมัย กระโปรงสั้นอวดเรียวขาขาวเนียนจนไม่ต้องใช้ถุงน่อง ดูเหมาะเจาะลงตัว ไม่โป๊และไม่สุภาพจนเกินไป
“คุณไทเลอร์เพิ่งโทรเข้ามาเมื่อสักครู่นี้ บอกว่ารถเกิดอุบัติเหตุค่ะท่าน”
เธอรายงานด้วยน้ำเสียงสุภาพนิ่มนวล พร้อมกับวางถ้วยกาแฟที่ยังแลเห็นไอร้อนลอยขึ้นจากปากถ้วยไว้ตรงหน้าผู้เป็นนายอย่างรู้หน้าที่
กิริยาท่าทีของวิไลวรรณดูคล่องแคล่ว พูดจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบน่าฟัง จะหยิบจับอะไรก็ดูทะมัดทะแมง เพราะว่าเธอทำงานอยู่ในตำแหน่งเลขาฯ ส่วนตัวของพีระพงษ์มานานหลายปีจนรู้ใจเขาไปเสียทุกอย่าง
“ยังงั้นรึ…แล้วไทเลอร์เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
เสียงทุ้มกังวานถามด้วยความห่วงใย เมื่อได้ยินที่วิไลวรรณบอกว่ารถของไทเลอร์ประสบอุบัติเหตุ
“เฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์ที่สี่แยกไฟแดงค่ะท่าน คุณไทเลอร์บอกว่าไม่เป็นอะไร ประกันกำลังเข้ามาเคลียร์ คงเข้ามาถึงออฟฟิศช้าหน่อย แต่ว่าเช้านี้คุณไทเลอร์มีนัดสัมภาษณ์งานเอาไว้ แล้วตอนนี้คนที่นัดไว้ก็มานั่งรอสัมภาษณ์ได้สักพักแล้วล่ะค่ะ”
“สัมภาษณ์งานตำแหน่งอะไร…”
หัวคิ้วสีดอกเลาระบายแนวอยู่เหนือกรอบดวงตาคมกริบชิดเข้าหากันเล็กน้อย ประธานบริษัทเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย เพราะเรื่องรับสมัครพนักงานในตำแหน่งดังกล่าวนั้นไทเลอร์เป็นคนดูแลอยู่แต่แรก พีระพงษ์ให้สิทธิ์ไทเลอร์อย่างเต็มที่ ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการงานที่ชายหนุ่มดูแลรับผิดชอบโดยตรง
“ตำแหน่ง Front Reception ค่ะ”
ตำแหน่งที่วิไลวรรณบอกไปเมื่อครู่หมายถึงพนักงานต้อนรับส่วนหน้าของโรงแรม
พีระพงษ์ยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มอย่างใจเย็น สายตากวาดดูข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์คร่าวๆ ท่าทางไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องราวที่เลขาฯ สาวกำลังรายงานสักเท่าไร ด้วยเขาไว้วางใจให้ไทเลอร์จัดการทุกอย่าง กระทั่งวิไลวรรณเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา
“เห็นคุณไทเลอร์บอกว่าคนนี้เก่งภาษาเวียดนามค่ะท่าน แถมยังพูดได้หลายภาษา เคยสัมภาษ์คร่าวๆ ผ่านโทรศัพท์ไปแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่เห็นตัวจริง…ถ้าเธอผ่านสัมภาษณ์ในวันนี้ อาจจะให้ไปประจำอยู่สาขาเวียดนามค่ะ”
วิไลวรรณเอ่ยไปตามที่รู้มาจากไทเลอร์
“ยังงั้นรึ…”
ได้ฟังแล้วพีระพงษ์ก็ย่นหน้าผาก
คำว่า ‘เวียดนาม’ สะกิดใจเขาอย่างแรง เพราะเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ตอนยังหนุ่มแน่นเขาเคยเป็นผู้จัดการโรงแรมอยู่ที่นั่นมาก่อน ความรักและความหลังในวัยหนุ่มหลายๆ เรื่องเคยเกิดขึ้นและถูกกลบฝังเอาไว้ที่เวียดนาม
พีระพงษ์เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่โรงแรมในเวียดนาม เขาไต่เต้าขึ้นมาจากตำแหน่งผู้จัดการธรรมดาๆ คนหนึ่ง หากแต่ด้วยความที่เป็นคนหล่อเหลา เฉลียวฉลาด พูดจาฉะฉานน่าเชื่อถือ มีบุคลิกภาพเป็นที่สะดุดตาของผู้พบเห็น ประกอบกับเป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความรู้และความสามารถโดดเด่นจนเป็นที่ยอมรับของผู้บริหาร ไม่นานเขาก็สามารถผงาดกล้าขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของโรงแรม ซึ่งทำหน้าที่วางแผนและกำหนดนโยบาย การบริหารต่างๆ หลังจากที่เคยทำงานแค่ในระดับปฏิบัติการเท่านั้น
“จะให้เลื่อนสัมภาษณ์ออกไปก่อนไหมคะ…งั้นดิฉันจะบอกให้เธอกลับไปก่อนนะคะ ถ้าคุณไทเลอร์สะดวกเมื่อไรค่อยนัดให้เข้ามาสัมภาษณ์กันอีกที…แต่ตอนนี้เธอทำแบบทดสอบความสามารถพื้นฐานเสร็จแล้วค่ะ”
“เป็นยังไงบ้าง…”
ถามพลางยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม
พีระพงษ์เริ่มหันเหความสนใจมายังเรื่องที่วิไลวรรณกำลังรายงาน ตั้งแต่ได้รู้ว่าหญิงสาวที่กำลังรอรับการสัมภาษณ์เป็นชาวเวียดนาม
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่สมมติขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริงแต่อย่างใด ชื่อบุคคล และสถานที่ที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง ไม่มีเจตนา อ้างอิงหรือก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ ………. นิยายเรื่องนี้… ไม่มีแก่นสารสารัตถะอะไรนักหนา ทั้งเรื่องขับเคลื่อนด้วยอารมณ์อันมืดดำของมนุษย์ ดำเนินเรื่องด้วยตัณหาราคะสุดร้อนแรง ท่านใดที่ไม่ชอบโปรดหลีกเลี่ยง *เราเตือนท่านแล้ว*
กรุงเทพฯ มหานคร ตอนเช้า ที่ห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ เสียงพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างลูกสะใภ้กับเพื่อนสาวของหล่อนที่อยู่ปลายสาย ทำให้ พ่อเลี้ยง ‘เพลิง’ ถึงกับชะงัก ต้องแอบฟังอย่างเสียมารยาท เพราะมันเหมือนเป็นการหยามเกียรติของลูกชายจนเขาทนไม่ได้
ทีปต์อุทานเบาๆ กับภาพที่เห็น… มาลิลล์กำลังนอนหงายอยู่บนเตียง ในสภาพเปลือยเปล่าล่อนจ้อน โดยมีหมอนสีขาวสองใบรองไว้ที่แผ่นหลัง ทำให้สองเต้าคัพเอฟอวบใหญ่มหึมา นูนเด่นอวดสายตาของทีปต์ และสิ่งที่ทำเอาเลือดกำเดาของทีปต์แทบสาดทะลักออกมา ก็คือของดีที่กำลังเปิดเปลือยอยู่ระหว่างเข่าสองข้างตั้งชัน มือข้างหนึ่งจับกล้วยหอมดุนดันเข้าออกเป็นจังหวะ “อ่า… ลุงทีปต์จ๋า กระแทกหนูเถอะค่ะ… อูย… ของลุงใหญ่เหลือเกิน… ซี้ดดดด… เห็นแล้วอยากสุดๆ” มาลิลล์หลับตาพริ้ม…
“ไม่ให้เลียข้างล่าง... งั้นผมดูดข้างบนนะที่รัก” อดัมส์ยังมีอารมณ์ขี้เล่น แม้ในตอนจะร่วมรัก เขารีบผละออกมาจากง่ามขา จูบไซ้ขึ้นมาที่ท้องน้อย กระทั่งถึงเต้านมของหล่อน ครอบริมฝีปากดูดเลียอย่างโหยหาเอาเป็นเอาตาย “อุ๊ย... วันนี้คุณดำซาดิสม์จัง” อรทัยสะดุ้งเฮือก เมื่อทรวงอกอวบโดนมือใหญ่ของสามีบีบขยำอย่างแรง จากนั้นก็เกลือกใบหน้าฟอนฟัดอย่างไม่ลืมหูลืมตา อรทัยเสียวซ่านสุดๆ รีบบีบนมยัดปากเขาที่ค้อมลงมาดูดเลียหัวนมอย่างตะกละตะกลาม อดัมส์ดูดเลียสลับไปมาระหว่างยอดอกทั้งสองข้างเสียงดังซ่วดๆ เหมือนกำลังซดกลืนของอร่อย ทำเอาสาวน้อยที่แอบยืนดู เกิดอาการเสียวซ่านขึ้นมาที่ยอดอกของตัวเองอย่างควบคุมเอาไว้ไม่ได้ รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังโดนพี่เขยดูดนม
แก้วตาพึมพำในใจ มองพี่เขยจัดหนักพี่สาวของหล่อน ยิ่งมอง… ก็ยิ่งตื่นเต้นมีอารมณ์ หน้าขาหนีบแน่น บิดไปบิดมาจนรู้สึกได้ว่ามีน้ำหล่อหลื่นเหนียวๆ หลั่งชุ่มออกมาแฉะแพนตี้ตัวน้อย พอเอามือเอื้อมลงมาแตะที่ง่ามขา ก็รู้ว่ามีน้ำใสๆ ไหลเยิ้มเป็นยางย้อยติดนิ้ว ‘อุ๊ย… ’ แก้วตาตกใจ หลังจากแอบดูจนน้ำเดิน ด้วยภาพที่เกิดขึ้นในห้องนอน อยู่ห่างจากสายตาของหล่อนเพียงช่วงแขนกระมัง จึงเห็นทุกอย่าง ชัดเจนเต็มสองตาทั้งภาพทั้งเสียง คมชัดปานว่ากำลังมองผ่านจอภาพระบบเอชดี “อ๊าย... ผัวจ๋า... เมียเสียว... เมียทรมาน” ใบหน้าของลีนาบิดเบะ สะบัดไปด้วยความซ่านสยิว ก้นอวบขาวดีดเด้ง แอ่นส่ายไปตามอารมณ์กระเจิดกระเจิง โดนกระแทกกระทั้นดุเดือดขนาดนี้ไม่ว่าเป็นใครก็คงเคลิบเคลิ้มไม่ต่างจากหล่อน ลีนาเปล่งเสียงร้องครางออกมาตลอดเวลาที่ท่อนเอ็นคัดแข็งเป็นลำเหมือนดุ้นมะระจีนใหญ่ๆ ของสามีกระแทกใส่จนมิดสุดโคนพวงสวรรค์ บลั่กๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“ไม่ไหวแล้วครับ… ผมแข็งแทบระเบิดแล้ว… ไม่เชื่อก็ลองจับ… ” บอสหื่นดึงมือข้างหนึ่งของเลขามาทางด้านหลังเธอจึงต้องไล้ลูบสัมผัสความเป็นชาย ใหญ่ยาวน่าสะพรึง ยิ่งลูบไล้ของเขา… มือเธอยิ่งสั่น ใบหน้าร้อนผะผ่าว ความเสียวซ่านแล่นวาบเข้ามาตรงกึ่งกลางกาย ใจเต้นระทึก มือยังจับท่อนเนื้อยาวใหญ่ของบอส ใหญ่มากจนมือกำไม่รอบ
เสียงกระเส่าในยามค่ำคืน ไม่ได้มีแค่เสียงเดียวแต่มีถึงหลายคน สตรีนางน้อยที่อยู่บนเตียงหันมองสตรีที่จูบแม่ทัพปีศาจ นางพึ่งจะเป็นมือใหม่ที่ใหม่จนไม่กล้าทำสิ่งใด ได้แต่มองเขาเสพสมสตรีอื่นต่อหน้านาง เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังไม่หยุด ยิ่งทำให้นางประสาทเสีย หากแต่ว่าหากนางยังนิ่งมองอยู่เช่นนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้จะไม่มีที่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดเลยสิจะรออะไร ใช่ว่านางจะทำไม่เป็นเสียหน่อย
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
"ทำไม นอนกับผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอคุณถึงได้กลัวว่าผมจะทำอะไรคุณอีก ผมรุนแรงกับคุณหรือยังไง งั้นผมคงต้องรีบทำใหม่เพื่อแก้ตัว" "คุณหมอ!" เมรีญาหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับตำหนิเขาในใจที่กล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาอย่างหน้าไม่อาย "ว่าไง ตอบมาสิว่าผมทำให้คุณไม่ประทับใจหรอถึงต้องตั้งเงื่อนไขบ้าๆ นี้ขึ้นมา" เวทัสถามด้วยค วามโมโห ถ้าเป็นสองข้อแรกเขาพอเข้าใจและรับได้ แต่สำหรับข้อสามต่อให้เขารับปากเธอตอนนี้ในอนาคตเขารู้ตัวดีว่าคนอย่างเขาต้องผิดสัญญาแน่นอน เขาไม่มีทางห้ามใจตัวเองไม่ให้ยุ่งกับเธอได้! "ทำไมคุณมันเข้าใจอะไรยากแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนั้นอีก" หญิงสาวพยายามอธิบายกับชายหนุ่มด้วยเหตุผล แม้จะรู้ดีว่าคนข้างๆ เริ่มไม่มีเหตุผลกับเธอแล้ว "ผมไม่สัญญา" เวทัสตอบกลับทันทีพร้อมกับสต๊าทรถออกจากโรงแรมด้วยความไม่พอใจ
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ