“ไม่ไหวแล้ว... ไมค์จ๋า ได้โปรดเอาน้าเถอะนะ อย่าทรมานกันแบบนี้... อูย” คนที่นอนหงายอยู่บนเตียงร้องขอเสียงกระเส่า ไร้สิ้นยางอาย อ้อนวอนอย่างซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองว่าอยากโดนเอา ดาวรินเสียวซ่านจนต้องเปล่งเสียงร้องครางออกมาเป็นระยะ เมื่อจุดอ่อนไหวที่สุดในร่างกายกำลังถูกกระตุ้นทั้งบนและล่าง เพราะว่าขณะริมฝีปากร้อนผ่าวของ ไมเคิลแนบเน้นลงมาเบิร์นกุหลาบงามของหล่อน มือของเขาก็ดันต้นขาด้านในให้แบะอ้า และมืออีกข้างที่เหลือก็เอื้อมขึ้นมาบีบบี้หัวนมของหล่อนไปพร้อมๆ กัน “ได้ครับ... ผมใส่ให้แน่ๆ แต่ขอเลียอีกนิดนะครับ” หนุ่มน้อยสายเบิร์นกระตุกยิ้ม ลากลิ้นเฉาะผ่าลงมากลางร่องกลีบอวบนูน ทำให้โพรงสวาทของสาวใหญ่เพื่อนแม่ขมิบหมุบๆ ใบหน้าบิดเบ้ทรมาน เรือนร่างของน้าดาวเริ่มสั่นเกร็งตามจังหวะปลายลิ้นเสียบแทงเข้ามารัวๆ
‘ดาวริน’ หรือ ‘น้าดาว’หล่อนยังจดจำได้ไม่เคยลืม ตอนที่ไมเคิลยังเป็นเด็กๆ น่ารักน่าชัง ดาวรินเคยมองเด็กชายลูกครึ่งฝรั่งคนนี้ด้วยสายตา ‘เอ็นดู’ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้มา ‘ดูเอ็น’ ของเขา ในวันที่ไมเคิลเติบใหญ่เป็นหนุ่มฉกรรจ์สุดหล่อเหลากระชากใจสาว
ดาวรินไม่เคยคาดคิด ว่าเรื่องราวความใกล้ชิดของหล่อนกับลูกชายเพื่อนจะกลายมาเป็นความสัมพันธ์ฉันชู้สาวสุดเร่าร้อนเกินกว่าใครจะคาดคิด... ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่วัยก็แตกต่างกัน
.........
‘ไมเคิล ชายหนุ่มยังคงรักและรอคอย ‘น้าดาว’ เสมอมา ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ต้องห่างกัน ไมเคิลไม่เคยเปิดใจรับผู้หญิงคนไหนเข้ามาในชีวิต ด้วยหัวใจมันยืนยันว่ารักมั่นกับ ‘เพื่อนแม่’ คนนี้คนเดียวเท่านั้น
ไมเคิลยังคงรอโอกาสที่จะได้พิสูจน์ความรักของตนอีกครั้ง เมื่อพบว่าระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา... ยังไม่นานพอที่จะลืม ‘น้าดาว’ สุดเร่าร้อนคนนี้
(รสสวาทรักต่างวัย)
“นั่นไมเคิลใช่ไหม”
หัวคิ้วของสาวใหญ่วัยสามสิบแปดปีชิดเข้าหากันด้วยความสงสัย ‘ดาวริน’ หันมาถาม ‘กานดา’ เมื่อเหลือบไปเห็นหนุ่มหล่อรูปร่างสูงใหญ่ไซส์ฝรั่งซึ่งเป็นลูกชายของกานดา ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่โรงจอดรถ
“อะไรกัน... นี่เธอจำหลานไม่ได้หรือไง... นี่แหละเจ้าไมเคิลลูกชายฉัน”
กานดากล่าว
“โห... โตเร็วมากอ่ะ”
ดาวรินนึกย้อนไปเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นไมเคิลยังไม่สูงใหญ่ขนาดนี้ แต่ด้วยพันธุกรรมของบิดาซึ่งเป็นฝรั่งชาวอเมริกัน ก็ทำให้ไมเคิลแลดูสูงใหญ่สะดุดอย่างที่เห็น
“ไมค์... จำได้ไหมนี่ใคร”
กานดาร้องเรียกลูกชายที่กำลังเดินตรงเข้ามาใกล้เทอเรสที่หล่อนกับเพื่อนรักกำลังนั่งคุยกันอยู่
“จำได้สิครับ... สวัสดีครับน้าดาว”
ชายหนุ่มเข้ามายกมือไหว้ ก่อนจะทรุดร่างลงนั่งใกล้นางกานดาผู้เป็นมารดา
ไมเคิลไม่เคยลืมเพื่อนของแม่คนนี้ จะเพราะอะไรเสียอีกล่ะ... ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าดาวรินเป็นผู้หญิงที่มีความสะสวยสะดุดตาเหลือเกิน ใบหน้าของหล่อนคมสวย ผมดำขลับ ตาคม ผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้าน และที่สำคัญก็คือทรวงอกอะร้าอร่ามคัพดับเบิ้ลดีที่ทำเอาหนุ่มน้อยอย่างไมเคิลใจเต้นระทึกทุกครั้งเมื่อได้เจอหน้า
“นึกว่าจำน้าดาวไม่ได้เสียแล้ว”
นางกานดากล่าวกลับลูกชาย
“จำได้สิครับ”
ไมเคิลมองหน้าสาวใหญ่เพื่อนมารดา รอยหยักที่มุมปากขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหวาน
สาเหตุที่ไมเคิลต้องเรียกเพื่อนของแม่ว่า ‘น้า’ ก็เพราะว่าหล่อนเป็นเพื่อนรุ่นน้องของนางกานดา ดาวรินอายุก่อนกว่ากานดาสามปี
“เหนื่อยไหมลูก... รอเดี๋ยวนะแม่จะเอาน้ำเย็นมาให้”
นางกานดามองร่างอาบเหงื่อของลูกชาย เพราะว่าไมเคิลเพิ่งกลับจากแตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ ที่สนามหน้าเทศบาล ร่างกายจึงโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อ อาบพราวไปทั่วเรือนร่าง ริ้วลายกล้ามเนื้อของหนุ่มฉกรรจ์น่ามอง ดาวรินมองเห็นสรีระของไมเคิลชัดเจนเต็มตาก็เพราะว่าเขาถอดเสื้อยืดพาดบ่าเอาไว้ ทั้งตัวก็เหลือแค่กางเกงบอลผ้าร่มขาสั้นปิดกึ่งกลางกายเอาไว้แค่นั้น
“ไม่ได้เจอกันนาน... โตขึ้นเป็นกอง”
ดาวรินยังคงตะลึงมองลูกชายของเพื่อนรัก ก็ใครจะคิดว่าเด็กชายตัวเล็กๆ ที่หล่อนเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อน วันนี้จะเติบโตเป็นชายหนุ่มสุดหล่อเหลา ออร่าเจิดจรัสไม่แพ้ดารา
ดาวรินรู้ว่าไมเคิลได้ความหล่อเหลาของบิดามาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
หล่อนยังจดจำ ‘วิลเลี่ยม’ ซึ่งเป็นพ่อของไมเคิลได้ไม่เคยลืม ดาวรินยอมรับว่าเคยนึกอิจฉากานดา ที่หล่อนได้สามีเป็นฝรั่งชาวอเมริกันสุดหล่อเหลาที่เพื่อนๆ แอบมองอย่างนึกอิจฉา
“ไมเคิล... ตอนนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”
ดาวรินอยากรู้
“สิบแปด... ย่างสิบเก้าแล้วครับน้าดาว”
ชายหนุ่มตอบพลางคว้าเสื้อยืดที่พาดบ่ามาเช็ดเหงื่ออาบพราวอยู่ทั่วแขน ดาวรินเผลอมองเส้นขนสีดำที่แผ่คลุมแผงอกแกร่งไปด้วยมัดกล้าม ขนบางส่วนลามลงมาถึงกล้ามท้อง ก่อนจะไปรวมกันเป็นแพหนาอยู่รอบสะดือและลึกลงไปใต้ขอบกางเกงผ้าร่มชื้นเหงื่อแนบเนื้อ มองเห็นต้นขาแข็งแกร่งสุดเซ็กซี่ กลิ่นเหงื่อกลิ่นกายของหนุ่มฉกรรจ์ที่นั่งอยู่เหนือลมโชยมากระทบจมูกของดาวรินเป็นระยะ... ทำเอาหัวใจเต้นแรง
“นอกจากเล่นฟุตบอลแล้วยังเล่นกล้ามด้วยหรือจ๊ะ”
สาวใหญ่เพื่อนมารดาชวนคุย ขณะสายตายังแสดงความสนใจในตัวชายหนุ่มไม่คลาย
“ครับน้าดาว... ใกล้สนามบอลมีโรงยิม เสร็จจากเล่นบอลผมก็แวะเล่นเวททุกวันครับ”
“แล้วตอนนี้เรียนชั้นไหนแล้ว”
“จมมอหกแล้วครับ... ระหว่างนี้กำลังรอเอ็นทรานส์ อาทิตย์หน้าผมกะว่าจะเข้าไปติวที่กรุงเทพฯ ครับ”
เสียงฝีเท้าของกานดาดังใกล้เข้ามาทุกที อึดใจสั้นๆ ต่อมาเจ้าของบ้านก็มาถึงพร้อมกับแก้วน้ำเย็นในถาดโลหะสีเงินสำหรับลูกชาย ส่วนอีกแก้วเป็นน้ำมะเขือเทศ สำหรับดาวรินเพื่อนรัก
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่สมมติขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริงแต่อย่างใด ชื่อบุคคล และสถานที่ที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง ไม่มีเจตนา อ้างอิงหรือก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ ………. นิยายเรื่องนี้… ไม่มีแก่นสารสารัตถะอะไรนักหนา ทั้งเรื่องขับเคลื่อนด้วยอารมณ์อันมืดดำของมนุษย์ ดำเนินเรื่องด้วยตัณหาราคะสุดร้อนแรง ท่านใดที่ไม่ชอบโปรดหลีกเลี่ยง *เราเตือนท่านแล้ว*
กรุงเทพฯ มหานคร ตอนเช้า ที่ห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ เสียงพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างลูกสะใภ้กับเพื่อนสาวของหล่อนที่อยู่ปลายสาย ทำให้ พ่อเลี้ยง ‘เพลิง’ ถึงกับชะงัก ต้องแอบฟังอย่างเสียมารยาท เพราะมันเหมือนเป็นการหยามเกียรติของลูกชายจนเขาทนไม่ได้
ทีปต์อุทานเบาๆ กับภาพที่เห็น… มาลิลล์กำลังนอนหงายอยู่บนเตียง ในสภาพเปลือยเปล่าล่อนจ้อน โดยมีหมอนสีขาวสองใบรองไว้ที่แผ่นหลัง ทำให้สองเต้าคัพเอฟอวบใหญ่มหึมา นูนเด่นอวดสายตาของทีปต์ และสิ่งที่ทำเอาเลือดกำเดาของทีปต์แทบสาดทะลักออกมา ก็คือของดีที่กำลังเปิดเปลือยอยู่ระหว่างเข่าสองข้างตั้งชัน มือข้างหนึ่งจับกล้วยหอมดุนดันเข้าออกเป็นจังหวะ “อ่า… ลุงทีปต์จ๋า กระแทกหนูเถอะค่ะ… อูย… ของลุงใหญ่เหลือเกิน… ซี้ดดดด… เห็นแล้วอยากสุดๆ” มาลิลล์หลับตาพริ้ม…
“ไม่ให้เลียข้างล่าง... งั้นผมดูดข้างบนนะที่รัก” อดัมส์ยังมีอารมณ์ขี้เล่น แม้ในตอนจะร่วมรัก เขารีบผละออกมาจากง่ามขา จูบไซ้ขึ้นมาที่ท้องน้อย กระทั่งถึงเต้านมของหล่อน ครอบริมฝีปากดูดเลียอย่างโหยหาเอาเป็นเอาตาย “อุ๊ย... วันนี้คุณดำซาดิสม์จัง” อรทัยสะดุ้งเฮือก เมื่อทรวงอกอวบโดนมือใหญ่ของสามีบีบขยำอย่างแรง จากนั้นก็เกลือกใบหน้าฟอนฟัดอย่างไม่ลืมหูลืมตา อรทัยเสียวซ่านสุดๆ รีบบีบนมยัดปากเขาที่ค้อมลงมาดูดเลียหัวนมอย่างตะกละตะกลาม อดัมส์ดูดเลียสลับไปมาระหว่างยอดอกทั้งสองข้างเสียงดังซ่วดๆ เหมือนกำลังซดกลืนของอร่อย ทำเอาสาวน้อยที่แอบยืนดู เกิดอาการเสียวซ่านขึ้นมาที่ยอดอกของตัวเองอย่างควบคุมเอาไว้ไม่ได้ รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังโดนพี่เขยดูดนม
แก้วตาพึมพำในใจ มองพี่เขยจัดหนักพี่สาวของหล่อน ยิ่งมอง… ก็ยิ่งตื่นเต้นมีอารมณ์ หน้าขาหนีบแน่น บิดไปบิดมาจนรู้สึกได้ว่ามีน้ำหล่อหลื่นเหนียวๆ หลั่งชุ่มออกมาแฉะแพนตี้ตัวน้อย พอเอามือเอื้อมลงมาแตะที่ง่ามขา ก็รู้ว่ามีน้ำใสๆ ไหลเยิ้มเป็นยางย้อยติดนิ้ว ‘อุ๊ย… ’ แก้วตาตกใจ หลังจากแอบดูจนน้ำเดิน ด้วยภาพที่เกิดขึ้นในห้องนอน อยู่ห่างจากสายตาของหล่อนเพียงช่วงแขนกระมัง จึงเห็นทุกอย่าง ชัดเจนเต็มสองตาทั้งภาพทั้งเสียง คมชัดปานว่ากำลังมองผ่านจอภาพระบบเอชดี “อ๊าย... ผัวจ๋า... เมียเสียว... เมียทรมาน” ใบหน้าของลีนาบิดเบะ สะบัดไปด้วยความซ่านสยิว ก้นอวบขาวดีดเด้ง แอ่นส่ายไปตามอารมณ์กระเจิดกระเจิง โดนกระแทกกระทั้นดุเดือดขนาดนี้ไม่ว่าเป็นใครก็คงเคลิบเคลิ้มไม่ต่างจากหล่อน ลีนาเปล่งเสียงร้องครางออกมาตลอดเวลาที่ท่อนเอ็นคัดแข็งเป็นลำเหมือนดุ้นมะระจีนใหญ่ๆ ของสามีกระแทกใส่จนมิดสุดโคนพวงสวรรค์ บลั่กๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“ไม่ไหวแล้วครับ… ผมแข็งแทบระเบิดแล้ว… ไม่เชื่อก็ลองจับ… ” บอสหื่นดึงมือข้างหนึ่งของเลขามาทางด้านหลังเธอจึงต้องไล้ลูบสัมผัสความเป็นชาย ใหญ่ยาวน่าสะพรึง ยิ่งลูบไล้ของเขา… มือเธอยิ่งสั่น ใบหน้าร้อนผะผ่าว ความเสียวซ่านแล่นวาบเข้ามาตรงกึ่งกลางกาย ใจเต้นระทึก มือยังจับท่อนเนื้อยาวใหญ่ของบอส ใหญ่มากจนมือกำไม่รอบ
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
แรกเริ่มเขา 'ซื้อ' เธอมาเพื่อบำบัดความใคร่ เมียชั่วคราวที่มีไว้แก้เหงา แต่สุดท้ายแล้ว...เมียชั่วคราวนั่นแหละ ที่อยากได้เป็นเมียจริงๆ ผู้หญิงสู้ชีวิตอย่างนับดาว...ไม่ยอมแพ้โชคชะตาที่นำพาตนเองไปรับบทน่าอดสู เธอถูกหลอกจากคนที่ไว้ใจที่สุด!! กับการ 'ขายตัว' เขาเหยียดหยามสารพัด ดุถูกจนเธอเจ็บช้ำเจียนตาย เธอเลือกทางหนี เพื่อจบปัญหาน่าปวดหัวครั้งนี้.... ขอเริ่มต้นใหม่ กับชีวิตแบบใหม่ แต่ทำไมล่ะ?...ทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยเธอ ในเมื่อเขาชิงชังเธอนักหนานี่นา?????
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"