‘บุษบารัญจวน’ ซีรีส์ดอกไม้โชยกลิ่นหอมรัญจวนล่อแมลงตัวผู้มาดอมดม ถูกสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนความดิบเถื่อนของมนุษย์ ที่มีทุกอารมณ์และแง่มุมของเหตุผลที่ยากจะทำความเข้าใจได้ เพราะบางครั้งความงดงามอ่อนหวานที่เห็นอาจแฝงไปด้วยความร้อนแรงจนเกินจะคาดเดา ‘กระดังงาร่อนไฟ’ เธอถูกตราหน้าว่าเป็นคน ‘กินผัว’ แม้จะเข็ดขยาดในชีวิตคู่ ทว่าความเร่าร้อนที่มีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันก็ทำให้เธอต้านแรงปรารถนานั้นไม่ไหว ‘เธอไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟ แต่เธอก็พร้อมที่จะร่อนกับไฟหากมีคนมาจุดชนวนความร้อนแรงนั้นให้’
‘หญิง 3 ผัว’ นั่นคือคำพูดที่ทุกคนตราหน้า ‘ชวนพิศ’ แต่เธอผิดอะไรกันเล่าในเมื่อเธอก็เป็นแค่แม่ม่ายผัวตาย และเธอก็มีผัวคนต่อๆ ไปอย่างเช่น ผู้หญิงอ่อนแอที่ต้องการคนปกป้องดูแล ต้องโทษว่าผัวเหล่านั้นชิงตายไปจากเธอเสียก่อนถึงจะถูก
ในเมื่อคนหนึ่งตายไปเธอก็ต้องหาคนใหม่มาทดแทน เพราะเธอเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อมีความต้องการขั้นพื้นฐานที่ผู้หญิงทุกคนต้องการไม่ต่างกัน และความอร่อยที่เคยได้ลิ้มลองไปแล้วนั้น หากจะจำกัดสิทธิ์ไม่ให้กินอีกเลย เธอคงทนไม่ได้
ชวนพิศคิดถึงความต้องการของตัวเธอเองที่มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันทั้งที่เธอจำต้องสะกดเก็บไว้เพื่อฐานะและหน้าตาในสังคม แม้ว่าจะต้องทนทรมานกับกระแสความอยากของตัวเองที่มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นๆ ทุกวันก็ตามที
ชวนพิศ... เธอเชื่อว่า ‘เธอไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟแต่เธอก็พร้อมที่จะร่อนกับไฟหากมีคนมาจุดชนวนความร้อนแรงนั้นให้’ ซึ่งทั้ง 3 ผัวที่ผ่านมานั้นรู้ดี แค่ร้างราหรือมีธุระที่ต้องห่างกันไม่กี่ช่วงวัน เธอยังกระหายในรสสวาทนั้นจนต้องตักตวงอย่างไม่รู้เบื่อรู้หน่ายเมื่อเขากลับมาทำหน้าที่ผัวให้เธออีกครั้ง
และในเวลานี้เมื่อผัวคนที่ 3 มาตายจากไปเกือบครึ่งปี เธอจะต้องทนเก็บกดความทรมานไว้นานแค่ไหนใครจะรู้บ้าง แค่ถ้อยคำสบประมาทของชาวบ้านที่พนันกันว่าไม่เกินเดือนเธอต้องมีผัวใหม่มาเติมเต็มความไม่พอของเธออย่างแน่นอน
แม้จะไม่แคร์ใคร แต่สายตาของญาติพี่น้องที่มองเธออย่างคลางแคลงใจก็ทำให้เธอต้องสะกดเก็บความอยากไว้ให้ลึกที่สุดในหัวใจ แม้ในทุกค่ำคืนเธอจะทรมานเพราะหวนหารสสัมผัสจากของจริงที่ไม่มีวันเป็นไปได้ก็ตาม
“เฮ้อ!.”.
ชวนพิศถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อคิดไปแล้วคนที่กลุ้มก็มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น และมันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเวลานี้เธอยังคงไร้คนข้างกาย ดวงตาฉ่ำหวานแต่งแต้มเฉดสีเย้ายวนสายตาทอดมองตรงไปข้างหน้า
หญิงสาววัยเกือบเข้าเลข 3 ที่เห็นอยู่ในบานกระจกใหญ่สุดแสนจะอลังการของโรงแรมเลิศหรูแห่งนี้ยังคงสวยงามไร้ที่ติ ทรวดทรงองค์เอวอะร้าอร่ามเต่งตึงไม่แพ้สาววัยแรกรุ่น ยิ่งอยู่ในชุดเดรสเข้ารูปคอปาดสีม่วงเม็ดมะปรางก็ยิ่งช่วยขับเน้นผิวสีขาวอมชมพูให้ยิ่งนวลเนียนน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น
ค่ำคืนนี้เธอบรรจงแต่งตัวให้งดงามที่สุดแต่ไม่ใช่อยากจะให้ใครดู แต่ต้องแต่งเพราะว่างานแต่งงานที่ได้รับเชิญนี้จัดขึ้นที่โรงงามหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา เธอในฐานะแขกก็ควรจะแต่งกายให้เกียรติสถานที่ และการได้ไปพบปะผู้คนบ้างก็อาจทำให้เธอลืมความร้อนแรงอันเป็นสัญชาตญาณของตัวเองลงไปได้บ้าง ทว่าเธอคิดผิดถนัด
เพราะยิ่งมาในสถานที่ที่ตอกย้ำว่าในค่ำคืนนี้เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องทำอะไรกันบ้าง เพียงแค่คิดขึ้นมาความร้อนแรงก็ไม่ได้ปรานีเธออีกแล้ว เพราะเธอรู้ดีว่าสัมผัสร้อนๆ ในค่ำคืนแรกสำหรับการเข้าหอไม่ว่าอะไรก็ฉุดไม่อยู่ ความทรงจำร้อนๆ สำหรับคืนเข้าหอหวนมาในความคิด จนทำให้เธอไม่สนใจผู้คนรอบข้างที่ต่างเดินอวดโฉมกันไปมา ภาพเหตุการณ์ดำดิ่งสู่คืนวันเข้าหอ... ครั้งแรก
“หนูหน่อยเหนื่อยไหมจ๊ะ”
เสียง ‘พี่ชัย’ เจ้าบ่าวหมาดๆ ของเธอเอ่ยถามในทันทีที่ญาติทั้งสองฝ่ายออกจากห้องหอไปกันหมดแล้วและทิ้งให้เธออยู่ตามลำพังกับเจ้าบ่าวซึ่งเป็นรักแรกของเธอและเป็นรักเดียวมาตั้งแต่เริ่มเรียนมหาวิทยาลัยจนจบ
พี่ชัยทำงานเป็นคนขับรถให้นายฝรั่ง ซึ่งแม้ใครจะมองว่าอาชีพคนขับรถเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยเธอก็ไม่แคร์ เพราะเข้าใจและรู้ดีว่าหากพี่ชัยเลือกทำงานบริษัทตามสายอาชีพที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมา เธอและเขาก็คงจะไม่มีวันนี้ ไม่มีทางที่พี่ชัยจะก่อร่างสร้างตัวจนมีบ้านมีรถเป็นของตัวเองและถึงขนาดมีเงินมาสู่ขอเธอได้ เพราะแม้จะเป็นคนขับรถทว่าเงินเดือนก็มากกว่าพนักงานบริษัทถึงสามเท่าด้วยกัน
อาจเพราะได้ภาษา และอาจเพราะเป็นคนอัธยาศัยดีเจ้านายรักเพื่อนร่วมงานชื่นชอบ ทำให้พี่ชัยยังมีอาชีพเสริมคือขายสินค้าเงินผ่อนทุกอย่างในบริษัทด้วย เพราะระหว่างวันเมื่อส่งเจ้านายเข้าบริษัทแล้ว หากเจ้านายไม่มีตารางงานที่จะไปไหนต่อ พี่ชัยก็สามารถเป็นอิสระจะทำอะไรก็ได้ รวมทั้งไปจัดหาสินค้ามาขายด้วย
เธอจึงตกลงร่วมชีวิตกับเขาทันทีที่เรียนจบและที่สำคัญที่สุดก็คือ พี่ชัยให้เกียรติเธอเสมอไม่เคยคิดที่จะฉวยโอกาสเอากับเธอสักครั้ง อย่างมากก็แค่จับมือ หอมแก้มตามประสาคนรักกันเท่านั้น แต่ในเวลานี้มันไม่ใช่ สายตาหวานหยดย้อยที่มองมาสื่อความหมายบางอย่าง ความหมายที่เธอรู้ดีว่าคืออะไร
“เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ พี่ชัยไปอาบน้ำก่อนสิคะ เดี๋ยวหนูหน่อยจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้”
เธอตอบเอียงอายก่อนจะพาร่างกรุยกรายไปด้วยชุดเจ้าสาวเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าที่บรรจุเสื้อผ้าของเขาเอาไว้ก่อนจะถึงวันแต่งงานเพียงไม่กี่วัน นิ้วมือเกลี่ยไปมาตามชุดของเขาด้วยความประหม่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอเริ่มมีเงาของเขาเข้ามาปะปนไปทุกแห่ง
หากนาไม่แล้ง ข้าวไม่แห้งตาย ‘เดช’ ก็ไม่คิดจะหอบเอา ‘ฟ้า’ เมียรักเข้ามาทำงานในเมืองกรุง แต่ความจนทำให้เลือกไม่ได้ และงานดี เงินดี เจ้านายเห็นใจ ก็เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ทว่า... หากรู้ว่ามาแล้วจะต้องเสียเมียให้นายฝรั่ง เดชเลือกที่จะไม่มาเสียยังดีกว่า แต่... เสียแล้วคือเสียเลย สิ่งเดียวที่จะชดเชยความแค้นก็คือ ‘เมียนาย’ คุณผู้หญิงเร่าร้อน เร่งเร้า รุนแรง และมากครั้งเท่าที่ต้องการ เดชไม่รู้แล้วว่านั่นคือการแก้แค้นหรือรางวัล +++++ ‘เดช’ พา ‘ฟ้า’ เมียรักมาทำงานที่บ้านนายฝรั่ง แต่ ‘คริส’ นายฝรั่งกินเมียเขาไปแล้ว และยังเอาดุ้นยาวใหญ่มาล่อให้ฟ้าติดใจ จนฟ้ากินไม่อิ่มไม่พอ อยากได้อะไรที่เทียบเท่า เขาก็เลยแอบกิน ‘โรส’ เมียของนายฝรั่ง แก้แค้นให้สาสม แต่แค้นช่างแสนหวานและฉ่ำชุ่ม จนเขาต้องกินซ้ำๆ ยิ่งได้กินพร้อมๆ กับพี่โชค เขาก็ยิ่งเมามัน และแน่นอนว่าโรสชอบ ในขณะที่นายฝรั่งกระหยิ่มยิ้มที่ได้กินเมียเขา เดชกลับสุขและยิ้มกว้างยิ่งกว่า เพราะเขาได้กิน ‘คุณหนูแพทตี้’ คุณหนูช่างร่านร้อนไม่ต่างจากแม่ แน่นอนว่าเขาชวนพี่โชคมากินด้วย
‘หากหัวใจปราศจากความแค้น คงไร้แล้วซึ่งลมหายใจ’ สำหรับหล่อน เขาคือชายชุดดำ บอดี้การ์ดหน้านิ่งของพ่อ เคร่งขรึม เก๊กหล่อ หมางเมินใส่ราวหล่อนไม่สำคัญ ก็แน่ล่ะ เพราะพี่สาวเขากำลังจะมาเป็นเมียใหม่ของพ่อ แต่มีเหรอที่หล่อนจะยอม นารีมีรูปเป็นทรัพย์ฉันใด หล่อนก็พร้อมจะลงทุนเพื่อสิ่งที่ได้มา ภายใต้แว่นดำนั้น หล่อนต้องรู้ให้ได้ว่า ‘หัวใจ’ หรือเปล่าที่ซุกซ่อนอยู่ แต่สำหรับเขา... หล่อนคือ เหยื่อ! ที่ความแค้นจะได้เอาคืน
ความรักหรือเพียงความปรารถนาแค่ข้ามคืน พบกับนิยายสุดเร่าร้อน 3 เรื่อง 1.คืนเคาท์ดาวน์ 2.คืนฝนฉ่ำรัก 3.คืนเหงาสาวข้างบ้าน
#มาดามทรายกับชายเลี้ยงม้า เปิดประสบการณ์รักร้อนในฟาร์มม้ากันสักครั้ง หรือจะลองกลิ่นฟางแห้งบ่มแดดอุ่นๆ ในโรงนาก็ไม่เลวนะ +++++ เคิร์กรู้ว่าฉันชอบขี่ม้า เขาจึงสอนให้ฉันขี่ม้าจริงๆ หลังจากขี่เขาจนช่ำชองมาหลายครั้ง และฉันก็หัวไวสอนง่ายซะด้วย เพราะเมื่อฝึกหัดขี่ม้าจริงตอนเย็นเสร็จ พอตกกลางคืนฉันก็ซ้อมขี่กับม้าเทียมอย่างเคิร์กอยู่ทุกวัน ไม่ได้ว่างเว้น และก็มีบ้างเป็นบางวันที่ฉันทนไม่ไหวและเคิร์กก็อดไม่ได้ เมื่อฟางใหม่หอมกลิ่นแดดเร่งเร้าความกำหนัดของเราเหลือเกิน เคิร์กก็จะพาฉันไปซ้อมขี่กันที่คอกม้าในโรงนาซะหลายครั้ง และความตื่นเต้นก็ทำให้ฉันกับเคิร์กคึกคักกันมากเป็นพิเศษ ยามที่ฉันควบขี่เคิร์กอยู่ในโรงนา กลิ่นฟางแห้งที่รองรับร่างกายยิ่งใหญ่ของเขาอยู่นั้น เร้าใจจนฉันควบขี่เขาได้ไวกว่าที่เคยทำได้ บั้นเอวและช่วงบั้นท้ายทำหน้าที่โยกตัวไปข้างหน้าและโย้มาข้างหลัง ทว่าปากก็ร่ำร้องบอกถึงความเสียวซ่านที่ดุ้นบังเหียนกระทำกับร่องลึกลับของฉันอยู่ตลอดเวลา
พี่หนึ่งจะทำยังไงถ้าต้องเจอหน้า ‘พี่ชมพู่’ อยู่ทุกวัน รุ่นพี่สาวสวยที่เขาเคยไปสารภาพรัก แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยด้วยข้อหา ‘เด็กไป’ ครั้งนี้ พี่หนึ่งตั้งใจจะลบคำสบประมาทให้ได้ พี่ชมพู่จะได้รู้ว่า ‘รุ่นน้อง’ ก็ทำอะไรได้หลายๆ อย่างไม่แพ้รุ่นพี่ โดยเฉพาะพี่หนึ่งน่ะจบด็อกเตอร์สาขา ‘เซ็กซ์ศาสตร์’ มาซะด้วย ‘เด็กกว่าแล้วไง’ รุ่นพี่ถ้ามาเจอ ‘รุ่นน้อง... สายดาร์ก’ จะทนได้เหรอ พี่หนึ่งจะพิสูจน์เอง
เพราะเป็นคนสวน 'เมฆ' จึงต้องรดน้ำดอกไม้ของ 'คุณนายชวนชม' ทั้งวัน...ทั้งคืน ‘คุณนายครับ’ เป็นเรื่องราวความเร่าร้อนของ ‘เมฆ’ คนสวนหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวกายดำแดง ตามแบบฉบับคนท้องไร่ท้องนาเต็มขั้น เมื่อเมฆต้องมาทำสวนที่บ้านของ ‘คุณนายชวนชม’ เมฆก็เลยต้องเป็นคนสวนที่ดีที่สุด ดังนั้นดอกไม้ในบ้านของคุณนายไม่ว่าจะมีกี่ดอก เมฆก็ต้องทำหน้าที่รดน้ำดอกไม้เหล่านั้นให้ชุ่มฉ่ำ ทั้งวันและทั้งคืน
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
นาธัชชาถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจจากผู้เป็นพ่อ เพียงเพราะเธอมีส่วนทำให้แม่ต้องตาย ใครจะคิดว่าชีวิตเด็กเจ็ดขวบ จะถูกโชคชะตาเล่นตลกครั้งแล้วครั้งเล่า และพลิกผันจนกลายเป็น 18 มงกุฏ เพื่อความอยู่รอดของชีวิต ฟาเบียน (อายุ 35 ปี) ชายหนุ่มรูปหล่อทายาทคนโตแห่งมาร์ตินกรุ๊ป เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีธุรกิจโรงแรมทั้งที่ไทยและฝรั่งเศส ชีวิตของเขามีพร้อมทุกอย่างแต่กลับไร้เงาของสาวข้างกาย ใครๆ ก็พูดว่าเขาตั้งมาตรฐานผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตไว้สูง บางคนบอกว่าระดับเขาต้องได้ผู้หญิงระดับนางงามที่มีมงกุฏการันตีความสวย ซึ่งมันก็คงจะจริง เพราะสาวที่เข้ามาพัวพันเป็นสาวสวยที่มีมุงกุฏการันตี และไม่ได้มีแค่มงกุฏเดียว เพราะเธอเป็น 18 มงกุฏ นาธัชชา (อายุ 20 ปี) นาธัชชาหรือหนูนา เด็กหญิงผู้เผชิญกับชีวิตที่แสนรันทดตั้งแต่อายุแค่เจ็ดขวบ เธอถูกพ่อแท้ๆ ยัดเยียดให้เป็นตัวซวย เพียงเพราะมีส่วนทำให้แม่ต้องตาย ชีวิตของเธอต้องพลิกผันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นกราฟชีวิตที่มีแต่จะตกต่ำ จนถึงขั้นต้องเป็น 18 มงกุฏ เพียงเพราะความอยู่รอดของชีวิต ความแตกต่างและความห่างชั้นทางสังคม จะชักนำให้เขาและเธอมาเจอกันได้อย่างไร เรามาติดตามไปพร้อมๆ กันค่ะ - ฟาเบียน ลูกชายคนโตของ เซดริก และมาลารินทร์ จากเรื่อง Malalin of love ร้อยรักมาลารินทร์ - นาธัชชา หรือหนูนา ตัวละครใหม่ คำเตือน -นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น มิได้มีเจตนาชี้นำหรือเป็นตัวอย่างให้นำไปใช้ในชีวิตจริง -นิยายอาจมีเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่ไม่เหมาะสม ทั้งเรื่องเพศ และมีคำหยาบคาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน - นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้อ่านที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด