ตอนนี้ผมเปลี่ยนมาขับรถยนต์แล้วน่ะครับ และประสิทธิภาพการขับเคลื่อนก็แรงขึ้น! อึดขึ้น! กว่ามอเตอร์ไซค์หลายเท่าตัวนัก นี่ผมไม่ได้โม้นะครับ ไม่เชื่อพี่ก็ลองมาฟังเรื่องเล่าเขย่าต่อมเสียวของผมกันดีกว่า แล้วผมจะให้สิทธิ์พี่ๆ กดไลค์ ว่าที่ผมพูดมาน่ะมันจริงหรือเปล่า
จะว่าไปเรื่องเล่าของผมในวันนี้ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเลยนะครับ ก็ผมน่ะเลิกอาชีพนั้นมาได้ 2 ปีแล้วนี่ครับ ตั้งแต่เรียนจบผมก็กลับมาบ้านที่ร้อยเอ็ด หวังจะได้ทำงานตามวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา ทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ชุมชน ตามแนวคิดสำนึกรักบ้านเกิดของตัวเองน่ะครับ
ฟังแล้วดูดีใช่มั้ยล่ะ นั่นก็เหตุผลหนึ่ง ส่วนอีกเหตุผลที่ผมต้องจรลีกลับมาบ้านอย่างเร็วรี่ ก็ไม่พ้นเรื่องสาวๆ ตบตีกันแย่งชิงผมน่ะสิครับ โธ่! ทั้งใหญ่ ยาว อึด ทน อย่างผม จัดคิวไม่ว่างเว้นเลยครับ อย่าเพิ่งอาเจียนเอาอาหารเย็นออกมานะครับ มาฟังผมเล่าให้จบดีกว่า คืนนี้จะได้มีอะไรสนุกๆ ทำกัน คริคริ... คนหล่อแอบหัวเราะ
งานที่ผมใฝ่ฝันอยากจะมาทำก็คืองานพัฒนาชุมชนนั่นแหละครับ แน่นอนว่าพ่อแม่ผมดีใจที่สุดที่ผมกลับมาอยู่บ้าน มีงานการทำเป็นหลักแหล่ง แม้จะอยู่ในส่วนของลูกจ้างชั่วคราวก็ตาม แต่เมื่อโอกาสมาถึงผมก็จะสอบบรรจุให้ได้
งานในแต่ละวันของผมก็คือ การเข้าไปสำรวจความลำบากของชาวบ้านแต่ละครัวเรือน ว่ามีสิ่งใดขาดตกบกพร่องที่ต้องการให้ทางหน่วยงานที่ผมสังกัดเข้าไปช่วยเหลือบ้าง ซึ่งบางหมู่บ้านกว่าที่ผมจะไปถึง ทั้งฝุ่นลูกรัง ทั้งไอร้อนจากแสงแดดยามเที่ยงวัน หรือบางครั้งก็เจอฝนตกไม่บอกไม่กล่าว นั่นก็ทำเอาผมหมดสภาพไปไม่เป็นเลยครับ
ผมเลยตัดใจขายมอเตอร์ไซค์คันเก่งและเปลี่ยนเป็นกระบะคันเก่า คงพอนึกภาพออกนะครับว่ามอเตอร์ไซค์แลกกระบะ สภาพจะแค่ไหน แต่ผมต้องการงานลุยครับ ก็ต้องยอม
เงินเดือนน้อยนิดนี่ครับ ผมจึงต้องเลือกที่เหมาะสมและใช้ประโยชน์ได้จริง จะให้ผมไปเป็นหนี้แล้วผ่อนจนน้ำเชื้อหมดสาย ผมก็ไม่เอาหรอก ที่สำคัญงานของผมน่ะต้องเข้าไปตามหัวไร่ปลายนา รถหรูมาอยู่ทุ่งนาก็กลายเป็นรถฮ่างเหมือนกันแหละครับ
ดังนั้น เอาที่พอเหมาะนั่นแหละดีแล้ว เวลาขับตกหลุมตกบ่อจะได้ไม่เสียดาย อีกอย่างจะหาช่างดีจากไหนล่ะครับ แถวบ้านผมก็ใช้บริการอู่ซ่อมเครื่องไถนานี่แหละ และประโยชน์ดีเยี่ยมของเจ้ากระบะคันเก่านี้ก็คือ ผมได้พาพ่อแม่เข้าไปหาซื้ออุปกรณ์ทำการเกษตรในเมืองได้สะดวกด้วยสิครับ ไม่ต้องขี่สามล้อฮ่าง ต๊อกๆ แต๊กๆ ไปกันอีกแล้ว วันหยุดเมื่อไหร่ขอเพียงพ่อแม่บอกมา ลูกสุดหล่อจะพาไปเอง
พูดมาเสียยืดยาว พี่ๆ คงสงสัยกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าไอ้ที่ผมพร่ำมาซะมากมายนี่มันเกี่ยวอะไรกับ ‘รุ่นน้อง – รุ่นพี่’ กันล่ะ เกี่ยวสิครับ เกี่ยวมากด้วย ก็ไอ้งานหัวไร่ปลายนาของผมนี่แหละที่ทำให้รุ่นน้องประสบการณ์โชกโชนอย่างผม ได้โคจรไปพบกับรุ่นพี่สุดสวยที่เคยปรามาสผมเอาไว้
‘หนึ่ง... อย่าหาว่าพี่ว่าเลยนะ หนึ่งไปตั้งใจเรียน หาเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ได้ซะก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดมาจีบพี่ อีกอย่าง พี่ไม่ชอบเด็ก เข้าใจตรงนั้นนะ’ นั่นแหละครับวลีเด็ดของ ‘พี่ชมพู่’
พี่ชมพู่เป็นคนแรกที่สอนผมให้รู้จักคำว่า ‘รัก’ และสอนผมให้รู้จักคำว่า ‘เจ็บ’ ‘อกหัก’ และ ‘เจียมตัว’ นี่แหละครับอีกหนึ่งแรงผลักดันที่ทำให้ผมตัดสินใจเตลิดไปกรุงเทพฯ ในทันทีที่จบมัธยม ก็แค่ห่างกัน 2 ปี ซึ่งผมไม่คิดว่าพี่ชมพู่จะแก่กว่าอะไรทำนองนั้นเลย แต่ก็ไม่คิดว่าพี่เขาจะมองว่าผมเด็ก
คำพูดนั้นไม่เท่าไหร่หรอก แต่สายตาที่มองผมมันคือ ‘ไม่เจียมบอดี้’ เหมือนผมเป็นหมามองปลากระป๋องบนเครื่องบิน หรือไม่ก็เป็นเด็กน้อยที่แหงนมองว่าวที่หลุดลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่ 6 ปีที่ผ่านไป สถานะของผมกับพี่ชมพู่ไม่ใช่รุ่นพี่-รุ่นน้องอีกต่อไปแล้ว
วันนี้ผมเป็นเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนซึ่งมีหน้าที่มาสำรวจความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ส่วนพี่ชมพู่น่ะเหรอ เธอเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งก็คือพ่อของเธอเอง ผมกับเธอจึงต้องประสานงานกันอย่างช่วยไม่ได้ และแม้ผมจะทำทุกอย่างตามหน้าที่ แต่สิ่งที่พี่ชมพู่ทำกับผมไว้ ‘ผมไม่ลืม’ หรอกนะ
พี่ชมพู่ในวัย 26 ปี ดูอวบขึ้น อึ๋มขึ้น มากกว่าตอนเป็นนักศึกษาปี 2 มากมายนัก อาจเพราะเธอมีลูกมาแล้ว 1 คนก็ได้ ใช่ครับ พวกพี่อ่านไม่ผิดหรอก พี่ชมพู่เธอมีสามีแล้วครับ แต่สามีเธอทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ แค่ช่วงเทศกาลเท่านั้นที่จะกลับมาเยี่ยมบ้าน