การไม่ต้องพบเจอกันเป็นเรื่องดีที่สุด จะได้ไม่ต้องเพิ่มความทรงจำ เพราะคนที่จำ เจ็บเสมอ...
การไม่ต้องพบเจอกันเป็นเรื่องดีที่สุด จะได้ไม่ต้องเพิ่มความทรงจำ เพราะคนที่จำ เจ็บเสมอ...
รัมภาดาในชุดเจ้าสาวเปิดประตูแล้วก้าวเท้าออกจากตัวรถ ร่างเล็กเดินตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จในอีกไม่ช้า แล้วมันก็กำลังจะกลายเป็นเรือนหอของเธอ...
ดวงตากลมโตจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างสูงสามชั้นนั้นแล้วกัดฟันกรอด รวบชายกระโปรงสีขาวที่ยาวเฟื้อยขึ้นสูงเพื่อจะได้เดินถนัด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน
“ฉันมาแล้ว... ต้องการอะไรก็บอกมา...” หญิงสาวกดสวิตช์เปิดไฟจนด้านล่างของบ้านสว่างโร่ สายตากวาดมองไปรอบๆ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่ใจคิด เธอจึงมองขึ้นไปยังชั้นบนที่ยังมืดสลัว แล้วตะโกนเรียกหาใครบางคนอีกครั้ง
“แกอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันไม่มีเวลาเล่นตลกกับแกมากนักหรอก ไอ้เศษสวะ” แต่ทุกอย่างยังเงียบสงัด ประหนึ่งว่าเธอกำลังอยู่เดียวดายในบ้านหลังใหญ่ และใครคนที่นัดพบกับเธอนั้น เขาไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง
รัมภาดายิ่งออกอาการโกรธจัด กระทืบเท้าขึ้นบันไดไปยังด้านบน ไล่เปิดไฟทุกดวง ส่งเสียงก่นด่าเกรี้ยวกราด และเดินไปทั่วด้วยความร้อนใจ จนรู้สึกเหนื่อย... แต่ไม่มีอะไรตอบสนองกลับมาเลย ทำให้หญิงสาวคิดว่าตัวเองคงกำลังถูกปั่นหัวเข้าให้เสียแล้ว มันทำให้เธอยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ
“ไอ้สารเลว... มันหลอกเรา เสียเวลาจริงๆ” คิดได้ดังนั้นเธอก็ไม่นึกอยากจะขึ้นไปสำรวจยังชั้นสามของบ้านต่อ แต่ตัดสินใจเดินลงบันไดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด โดยไม่ได้ปิดไฟแม้แต่ดวงเดียว
สองมือเล็กผลักประตูบ้านด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่มันกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย นั่นทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ และออกแรงผลักอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น... ทำไมประตูเปิดไม่ออก” คราวนี้เธอลองใช้กำปั้นทุบจนเจ็บมือทั้งสองข้าง แต่ก็ยังไม่ได้ผล ดรุณีน้อยเริ่มหวั่นใจ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว เหมือนกับมีใครล็อกประตูบ้านจากด้านนอก ทำให้ไม่สามารถเปิดออกได้
“แกใช่ไหมไอ้บ้า... เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ เปิดเดี๋ยวนี้!” รัมภาดาตะโกนลั่น แต่ก็ยังคงได้ยินเพียงเสียงของตัวเอง เธอเริ่มเครียดกับสงครามประสาทของอีกฝ่าย
“กระเป๋ากับโทรศัพท์ก็อยู่ในรถ โธ่เอ๊ย...” เพราะความใจร้อนทำให้ตอนออกจากรถมาเธอไม่ได้หยิบอะไรติดมือมาด้วยเลย และคิดว่าทุกอย่างคงจะจบง่ายๆ เพียงแค่การเจรจาเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว คนที่นัดเธอมากำลังยั่วโมโหให้เธอเป็นบ้า
โครม!
“กรี๊ด!” แล้วจู่ๆ ของบางอย่างจากชั้นบนก็ล้มลงกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นติดๆ กันหลายครั้ง รัมภาดาเต้นเร่า กรีดร้องอยู่ตรงหน้าประตูบานนั้นด้วยความตกใจและตื่นกลัว... ใช่... ตอนนี้เธอกลัวจนหายใจแรงและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ด้วยไม่ได้คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์บ้าๆ อย่างนี้เกิดขึ้น
“แกจะทำอะไร... อยากได้เงินไม่ใช่เหรอ ออกมาสิ... ออกมาคุยกัน ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของแกนะ” สายตาหวาดหวั่นมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดระแวง สองมือกอดตัวเองเอาไว้โดยอัตโนมัติ ตามสัญชาตญาณของคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ
เธอลองผลักประตูอีกครั้ง เมื่อยังไม่ได้ผล หญิงสาวจึงตัดสินใจวิ่งกลับขึ้นไปบนชั้นสอง เพราะลนลานจนทำอะไรไม่ถูก คิดว่าหากขึ้นไปหลบในห้องคงจะปลอดภัยกว่าอยู่ในตัวบ้านโล่งๆ แบบนี้ แต่แล้ว...
“กรี๊ด!”
ไฟทุกดวงพลันดับพรึ่บลงเมื่อเธอพ้นบันไดขึ้นไปถึงชั้นสองของบ้านอย่างที่ตั้งใจ หญิงสาวนั่งทรุดลงกับพื้นด้วยความตกใจกลัว ก่อนจะรีบรวบรวมสติเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ไปให้ได้
กึก... กึก... กึก...
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หญิงสาวหันกลับไปมองและหยุดชะงัก ในตอนนี้เธอไม่ควรเปิดเผยตัว ไม่ควรอยากพบกับใครแล้ว ต่อให้มีความจำเป็นแค่ไหนก็ตาม เพราะอีกฝ่ายอาจตลบหลัง คิดปองร้ายเธออยู่ก็ได้ ถึงได้สร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายมากกว่าจะเป็นผู้ต่อรอง...
รัมภาดาพอจะจำได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงจุดไหน ก็รีบคลำหาตู้โชว์ใบใหญ่แล้วค่อยๆ เดินย่องไปนั่งหลบอยู่หลังตู้ใบนั้น นึกโกรธตัวเองที่รีบร้อนออกจากโรงแรมมา ทั้งที่กำลังลองชุดแต่งงานครั้งสุดท้ายยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายถึงขนาดอาจทำให้งานแต่งวันพรุ่งนี้มีปัญหาได้ จึงอยากเคลียร์ให้จบๆ ไป
เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของไอ้คนสารเลวคนนี้ ก็อาจสร้างความปั่นป่วนให้กับครอบครัวของเธอได้หากทำนิ่งเฉย... แล้วสักวัน เธอจะต้องกำจัดเสี้ยนหนามที่คอยเสียดแทงใจให้กลัดหนองนี้ออกจากชีวิตให้ได้
แต่เธอคงคิดง่ายเกินไปว่าเรื่องจะจบลงด้วยการจ่ายเงิน ดูเหมือน ‘มัน’ จะต้องการมากกว่านั้น ถึงได้พยายามทำให้เธอกลัว และมันก็ได้ผล ตอนนี้จิตใจของเธอสั่นคลอนไปหมด
บ้านทั้งหลังมืดมิด ประตูบ้านถูกปิดจากด้านนอกจนเธอไม่สามารถหาทางออกไปได้ โทรศัพท์ก็อยู่ในรถ ไม่ได้นำติดตัวมาด้วย จึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใคร ทุกอย่างประจวบเหมาะราวกับถูกวางแผนเอาไว้ ในตอนนี้ที่ทำได้ก็คือต้องซ่อนตัวให้รอดพ้นไปจนถึงวันพรุ่ง หรือจนกว่าจะติดต่อใครได้สักคน
เสียงฝีเท้านั้นเดินผ่านไปแล้ว และ ‘มัน’ ก็กำลังตามหาตัวเธออยู่
ต้องรอ... บอกกับตัวเองให้ใจเย็นๆ ในบ้านหลังใหญ่ที่มืดสลัวทุกทิศทาง อีกฝ่ายก็คงมีปัญหากับการมองเห็นเช่นกัน เพียงซ่อนตัวไม่ให้ถูกพบจนกว่าจะหาทางออกไปจากที่นี่ได้ ทุกอย่างก็เรียบร้อย รัมภาดา... ทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดี... “โทรศัพท์...” เธอพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าซึ่งแน่ใจว่ามาจากโทรศัพท์มือถือของเธอเอง “เป็นไปได้ยังไง ก็เราวางไว้ในรถ...” เธอไม่ได้หลงลืมไปแน่ๆ จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบไปแล้ว หญิงสาวก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมจนแน่ใจว่าเสียงเดินของผู้บุกรุกหายลับไปทางอื่นแล้ว จึงลุกย่อง ค่อยๆ คลำทางไปยังห้องนอนอันเป็นที่มาของเสียง ก่อนจะเปิดประตูแล้วรีบมองหา พยายามคิดในแง่ดีว่าคนงานที่มาทำบ้านอาจลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ แต่ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ของใคร มันก็เป็นทางรอดของเธอในเวลานี้
“อยู่ตรงไหนกันนะ...” ขณะนั้นเสียงโทรเข้าก็ดังขึ้นอีก เธอกวาดสายตามองไปตามเสียง “ตรงนั้นเอง ที่ระเบียง...” ร้องออกมาด้วยความดีใจ แล้วรีบก้าวเดินตรงไปยังอุปกรณ์สื่อสารที่เป็นที่มาของเสียง
ยังไม่ทันถึงที่ ทันใดนั้นลมก็พัดโชยเข้ามากระทบผิวเนื้อจนเย็นเฉียบ ร่างเล็กในชุดเจ้าสาวชะงักเล็กน้อย เพราะสิ่งทำให้เธอแปลกใจ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำไมประตูระเบียงห้องนอนถึงเปิดค้างอยู่ แต่เป็นเพราะโทรศัพท์ที่วางอยู่บนพื้นระเบียงเครื่องนั้นเป็นโทรศัพท์ของรัมภาดาจริงๆ
ทำไมมันจึงไปอยู่ที่นั่นได้...
หญิงสาวไม่มีเวลาจะสงสัยอีกต่อไป สองเท้ารีบก้าวตรงไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอยังส่องแสงสว่างวาบ พร้อมกับเสียงเรียกเข้าที่บรรเลงอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อได้เห็นเบอร์โทรที่ปรากฏอยู่บนนั้น ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกโพลง ก่อนสัญชาตญาณจะสั่งให้หันหลังกลับไปมองเงาร่างของคนที่มายืนซ้อนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“แก! ไอ้...”
ตุ้บ!
แรงปะทะที่หนักหน่วง กระแทกเข้าหาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ในหัวของรัมภาดาอึงอลไปหมด ก่อนจะรู้สึกตัวว่าร่างกายของเธอกำลังพลิกหงายไปทางด้านหลัง
“กรี๊ด!”
ในค่ำคืนอันมืดมิด... เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดขีดดังก้องอยู่กลางอากาศเวิ้งว้าง ร่างในชุดเจ้าสาวลอยละลิ่วลงมากระแทกพื้นอย่างแรง ก่อนจะกระตุกสองสามครั้งด้วยความเจ็บปวดแล้วแน่นิ่งไป ปล่อยให้เลือดค่อยๆ ไหลออกมานองพื้น จนชุดแต่งงานสีขาวเปรอะเปื้อนเป็นสีแดงฉาน ไม่มีโอกาสได้สวมใส่มันอีกครั้ง ในวันสำคัญที่แท้จริง ตลอดกาล...
"ไสหัวจากบ้านฉันซะ! แล้วไม่ต้องกลับมาอีกที่นี่ไม่ต้อนรับกาลกิณีที่มีเลือดชั่วๆ อย่างเธอ" "พี่อาร์ม...ปล่อยนะคะพี่อาร์มเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันดึกแล้วจะให้จันทร์เจ้าไปไหนคะ" หล่อนรู้ดีว่าเขาพูดจริงทำจริง ใจดวงน้อยแปลบปลาบหวิวเหมือนจะหลุดลอยไปตามแรงลากดึง อุตส่าห์หลบลี้หนีหน้าไม่ออกไปให้เขาเห็นวายยังถูกตามรังควาญจนได้ และที่สำคัญเขากำลังผลักไสหล่อนออกไปทิ้งข้างถนนหน้าบ้าน "อย่ามาเรียกฉันว่าพี่...ฉันไม่เคยคิดจะนับญาตินับเชื้อกับผู้หญิงกาลกิณีอย่างเธอ อย่าคิดว่ามีคุณแม่ให้ท้ายแล้วจะตีเสมอเป็นเจ้าของบ้านคนนึงได้นะ เพราะต่อไปนี้เธอ! ไม่ต้องเข้ามาเหยียบบ้านฉันอีกแล้ว จะไปไหนก็ไป!!!" ปัง! "ว้าย! พี่อาร์ม!!" ร่างเล็กถูกเหวี่ยงจนกระเด็นติดประตูรั้วที่ยังปิดสนิท แล้วยืนเท้าสะเอวทะมึงถึงจ้องหล่อนราวเป็นสัตว์เดรัจฉานน่ารังเกียจนักหนา "ออกไปซะ...ไม่มีเธอสักคนที่นี่คงสงบสุขมากขึ้น อีกหน่อยฉันจะแต่งงานพาเมียมาอยู่ที่นี่! ฉันไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องเลี้ยงลูกเมียน้อยอย่างเธอไว้เป็นหอกข้างแคร่ทำไม" พรพระจันทร์น้ำตาไหลทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ หัวอกของหล่อนแน่นจุกกับคำถาถางด่าทอต่างๆ นาๆ ที่เขาสรรหามาพ่นพูด ชายหนุ่มจะรู้บ้างไหมว่าหล่อนก็ไม่ได้อยากเกิดมาเป็นแบบนี้ ถ้าเลือกได้หล่อนคงไม่อยากมีชีวิตอยู่เป็นภาระ เป็นตัวปัญหาของใครหรอก....
ผมไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงรักคุณ หัวใจสั่งให้รัก ผมก็รัก ...หรัญย์... ____________ ว่ากันว่า...หากหญิงสาวคนใดได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาว หรือช่อบูเก้ในงานแต่งจะได้สละโสดเป็นคนต่อไป แต่ไม่เคยมีใครบอกหล่อนเลยว่า ผู้หญิงที่รับช่อบูเก้ของหล่อนได้ จะได้ว่าที่ผัวหล่อนไปด้วย!! ชีวิตต้องพลิกผันในชั่วข้ามคืน เมื่อเจ้าสาวหม้ายขันหมากอย่างณธิดาต้องหอบหิ้วหัวใจอันบอบช้ำอุ้มขวดเหล้าทั้งชุดเจ้าสาวซัดเซพเนจรหนีอดีตคนรักสุดโฉดที่ไม่โสดอย่างปากว่า เพราะมีทั้งเมียทั้งลูกมาเดินร่อนรื่นในงานแต่งที่หล่อนควรเด่นหรูที่สุด แต่กลับถูกแย่งซีนจนชุดแพงหมดแสงออร่า แล้วใครจะทน! ความเมาและบ้าบิ่นทำให้ณธิดาพบชายรูปงามท่ามกลางแสงดาวแสงเดือนและคลื่นทะเล หล่อนจึงบอกเขาว่าเมาจนความจำเสื่อมเพื่อให้เขาเอ็นดูอุปการะ ตั้งใจหันหลังให้รักครั้งเก่าที่น้ำเน่าจนเหม็นเขียว หลบลี้หนีหน้าผู้คนมาซบอกพ่อค้าผู้น่ากินกว่าลูกชิ้นปิ้งที่เขาขาย แต่กลายเป็นว่าหล่อนกลับถูกเขากิน! นัวๆ และตั้งชื่อใหม่ตามสินค้าหน้าร้านให้ว่า ‘ลูกชิ้น’ หรัญย์เป็นผู้ชายใจดี รักหมารักแมวและรักโลก ที่สำคัญ...เขาชอบกินลูกชิ้นเป็นชีวิตจิตใจ
เนื้อทองเป็นกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ พออายุได้สามขวบพ่อก็พาเข้ามาทำงานที่ไร่ของนายจ้างเก่าซึ่งผันตัวเองจากผู้รับเหมามาทำปลูกผลไม้ปลูกพืชเกตษรส่งออก เด็กสาวถูกเลี้ยงดูโดยผู้ชายตัวโตๆ ก็คือพ่อเพียงลำพัง ได้รับความเมตตาจาก 'นายใหญ่' และ 'นายผู้หญิง' เป็นอย่างดีเพราะเป็นเด็กฉลาด ช่างพูด พออายุได้หกขวบเจ้าของไร่ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ อัศเวทย์หรือนายแทนลูกชายคนเดียวจึงต้องกลับมาจากเมืองนอกกลางคันทั้งที่ยังเรียนไม่จบเพื่อสานต่อความตั้งใจของบิดามารดา ดูแลไร่แห่งนี้ในฐานะเจ้าของไร่คนใหม่อย่างเต็มตัว เนื้อทองเติบโตมาท่ามกลางสังคมของชาวไร่ชาวสวนที่เป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่ หล่อนจึงไม่ใคร่เรียบร้อยนัก กะโหลกแก่นแก้ว แต่ก็มีความอดทนสูงเหมือนพ่อ หล่อนเรียนรู้ทุกอย่างมาจากผู้ให้กำเนิด จนกระทั่งเมื่ออายุได้สิบสองปี พ่อก็พาหล่อนระหกระเหินไปยังถิ่นฐานอื่นอีกครั้ง เนื้อทองไม่อยากจากไร่ ไม่อยากจากทุกคนที่หล่อนรักไปเลย แต่ก็จำใจต้องตามบิดาที่มีเหตุผลส่วนตัวในการจากไปหนนั้น แต่แล้วหกปีต่อมา 'นายแทน' ก็ตามหาตัวหล่อนและพ่อให้กลับมาทำงานในตำแหน่งหัวหน้าคนงานอีกครั้ง ...พ่อก็ยอมเพื่ออนาคตของหล่อน กลับมาคราวนี้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป นายแทนแต่งงานกับอดีตพยาบาลสาวสวยชื่อพี่หม่อน พี่สาวใจดีที่นิสัยต่างจากนายราวฟ้ากับเหว พี่หม่อน...คือนางฟ้าแสนดีสำหรับเนื้อทอง แต่พี่หม่อนสุขภาพไม่ค่อยดีนายจึงหวงและเป็นห่วงมาก นายรักพี่หม่อน พี่หม่อนก็รักนาย ส่วนเนื้อทอง...เป็นเด็กที่สร้างแต่ความรำคาญหูรำคาญตาให้นายอยู่เสมอจนถูกดุอยู่ร่ำไป แต่ก็ได้พี่หม่อนคอยปกป้องเสมอ การมีพี่หม่อนเป็นช่วงชีวิตที่เนื้อทองรู้สึกมีความสุขที่สุด แต่ความสุขสำหรับหล่อนมันไม่เคยยั่งยืน วันหนึ่งพี่หม่อนก็จากไป...พร้อมๆ กับความเกลียดชังของนายแทนที่มีต่อหล่อนก็ได้ก่อตัวขึ้น เขาพร้อมที่จะทำลายหล่อนเพื่อบรรเทาความคับแค้นในใจอยู่ทุกเวลา... -------------- -------------- “ท้องไส้อยู่ไม่ใช่เหรอ ทำตัวเป็นลิงเป็นค่างให้ดีเถอะ ลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมาเธอเดือดร้อนแน่เนื้อทอง” “...” หล่อนอ้าปากค้าง ใจเต้นระส่ำกับคำพูดของแทน เมื่อคืนหล่อนไม่ได้ถามหมอพงศ์ว่ามีใครบ้างที่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของหล่อนบ้าง แต่ตอนนี้คงไม่ต้องหาคำตอบแล้ว เพราะนอกจากแทน...ก็ไม่มีใครน่ากังวลอีก หรือจะมีก็คงเป็นพ่อของหล่อน ซึ่งเนื้อทองยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อพ่อกลับมา “ถ้ารอดจากกระท่อมร้างท้ายสวนนั้นมาได้...ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ” แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความขมขื่นมากมาย ตลอดสามเดือนที่หล่อนต้องอดทนอยู่ที่นั่น มันเหมือนกับโลกอีกโลกหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนหล่อนไม่ใช่คน... “...” แทนมองด้วยสายตาไม่พอใจนัก แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร “อีกอย่างนะคะนาย ลูกเป็นของเนื้อทองคนเดียวค่ะ” พูดจบหล่อนหันหลังให้เขาแล้วเดินออกจากไป แต่แทนก็คว้าต้นแขนรั้งเอาไว้เสียก่อน “ถึงจะไม่ได้นอนกับเธอแบบนับไม่ถ้วน แต่ฉันก็มั่นใจว่าที่ลูกไปอยู่ในท้องเธอได้เพราะฉันทำ และฉันไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นอย่าแม้แต่คิดทำอะไรโง่ๆ เพราะฉันไม่ยอมแน่”
รัก...ไม่มีถูกไม่มีผิด มีแต่รักหรือไม่รัก ความรัก...ไม่ใช่รางวัลของความดี ทำดีหรือไม่ดีไม่ได้มีผลอะไร...เพราะคนไม่รักก็คือไม่รัก ------------- คุณเชื่อในเรื่อง ‘รักแท้’ ไหม เคยคิดหรือเปล่าว่าจะมีใครสะกดหัวใจของคุณไว้ แค่เพียงครั้งแรกที่เจอในช่วงเวลาสั้นๆ และหวั่นไหวทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวประทับใจเหล่านั้น แต่เขาไม่เคยจำ... ผ่านไปเนิ่นนาน... ในวันหนึ่งเมื่อฝันของคุณเป็นจริงขึ้นมา คุณได้อยู่เคียงข้างเขา ได้เป็นของเขา... คุณกลับพบว่าไม่มีอะไรเหมือนอย่างที่วาดฝันเอาไว้เลย ไม่มีเจ้าชาย ไม่มีความดีงามใดๆ ในตัวเขาที่คุณเคยศรัทธา... ทุกๆ วันมีแต่ความเลวร้ายที่คอยบั่นทอนให้จิตใจล่มสลาย ทุกๆ อย่างในตัวคุณไร้ค่าสำหรับเขา คุณไม่เคยได้เป็นคนสำคัญ และไม่มีวันได้เป็น คุณเป็นได้แค่เงาของใครบางคนที่เขาไม่เคยลืม แล้วคุณยังจะรักเขาได้เหมือนเดิมไหม ยังคงคิดว่าเขาคือ ‘รักแท้’ ของคุณหรือเปล่า....
บาปใดๆ ไหนเล่า...จะหอมหวานเท่าบาปสวาท ------------------- ปัง!! เพล้ง!! ขวดแก้วนั้นถูกปาเต็มแรงบุรุษไปกระทบกับประตูห้องที่สายตาคมเข้มเขม่นมองเคร่งขรึม เศษแก้วแตกกระจายเกลื่อนพื้น น้ำเมากระเด็นติดทั้งประตู ฝาผนังและพื้นตามแรงอารมณ์กราดเกรี้ยว หากนึกย้อนกลับไปคิดทบทวนดีๆ สัตตบงกชเป็นคนเอาเหล้าเข้ามาให้เขาก่อนจะขอตัวขึ้นไปนอน และเขาก็นั่งดื่มจนดึก...หลังจากนั้นก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งช่วงเช้า ทั้งที่...การดื่มก็ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา ต่อให้เมาแค่ไหนก็ไม่เคยไร้สติจนเลอะเลือนความทรงจำสูญสิ้น...อย่างเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา สันกรามขบเข้าหากันแน่นจนเกิดเสียงกรอดผ่านไรฟันหันกลับมาเปิดประตูห้องตัวเองแล้วย่างเท้าเข้าไปทันที มือนึงดึงประตูกระแทกปิดไม่เบาแรงนักตามอารมณ์ที่กำลังฉุนเฉียว นี่เขาต้องนอนร่วมบ้านกับผู้หญิงที่เพิ่งทำให้ครอบครัวของเขากับภรรยาแตกหักไม่มีชิ้นดีอย่างนั้นเหรอ ในคืนที่ฝนฟ้ากระหน่ำตกไม่ลืมหูลืมตา เมียรักต้องจากจรหนีไปอยู่ไหนเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ แต่คนก่อปัญหาร่วมกับเขากลับยังอาศัยอยู่ภายใต้หลังคาบ้านที่เพิ่งถูกสุมไฟจนวายวอด
ลู่หมิงเยว่ถูกแฟนนอกใจ และยังโดนดูถูกว่าเธอแค่ดีแต่หน้าตา ด้วยความโกรธ ลู่หมิงเยว่ใช้เสน่ห์ของเธอไปมีความสัมพันธ์กับเยี่ยนเฉิงจือประธานบริษัท แต่เธอกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ หลังจากเสร็จธุระนั้นเธอก็หนีไปเงียบๆ และยังเข้าใจผิดว่าคนในคืนนั้นคือเพลย์บอย เสิ่นเว่ยตง ทำให้เยี่ยนเฉิงจือเข้าใจผิดว่าเธอชอบคนอื่น เขาเลยแอบอิจฉาและหึงหวงอยู่เงียบๆ มานาน
... ในวันครบรอบแต่งงาน ฮั่วเยี่ยนสือ สามีผู้มั่งคั่งทิ้งเธอไป แล้วหาคนรักแรกของเขา ผู้ชายที่ไม่รักนวลสงวนตัวก็เหมือนสิ่งไร้ค่า ผู้ชายที่เธอเคยอ่อนข้อให้แต่ก็ไม่สนใจเธอ งั้นเธอไม่ต้องการแล้ว จึงขอหย่าทันที ฮั่วเยี่ยนสือไม่สนใจ ซูหว่านหนิงกลับเข้าสู่วงการบันเทิงและเฉิดฉาย รักแรกในอุดมคติชอบแกล้งอ่อนแองั้นเหรอ งั้นก็ให้เธอเผยธาตุแท้จริงให้ทุกคนได้เห็น อดีตสามีที่เป็นคนปากแข็งที่สุด "เมื่อเธอเบื่อแล้วเธอจะกลับมาหาฉัน" แต่ภรรยาที่เคยเต็มใจทำทุกอย่างให้เขานั้นไม่กลับมาอีกแล้ว ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในอาชีพเท่านั้น แต่ยังมีคนมากมายมาตามจีบเธออีก ดาราระดับโลกแสดงความรักอย่างแรงกล้า ผู้บริหารบริษัทสื่อพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้เธอยิ้ม แม้แต่ทายาทเศรษฐีอันดับหนึ่งก็ต้องการเธอเท่านั้น จากนั้นฮั่วเยี่ยนสือเริ่มตระหนก เปลี่ยนจากคนเย็นชากลายเป็นคนที่คอยติดตามไม่ห่าง ใช้ทุกวิถีทางเพื่อตามจีบภรรยา ซูหว่านหนิงไม่แม้แต่จะมอง "เมื่อก่อนคุณเฉยเมยกับฉัน ตอนนี้คุณไม่คู่ควรกับฉันแล้ว" ฮั่วเยี่ยนสือขอร้องเธออย่างบ้าคลั่ง "หนิงหนิง เราแต่งงานใหม่เถอะ" ซูหว่านหนิงแสดงท่าทางหยิ่ง "คุณฮั่ว ฉันไม่เคยกลับไปหาของที่ทิ้งไปแล้ว"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หลินจิงซู หญิงสาวผู้ล้มเหลวทุกอย่างในชีวิตเพราะครอบครัวเฮงซวย เธอย้อนเวลาไปยังปี1990 อาศัยความรู้ในโลกอนาคตเพื่อเก็บเกี่ยวโอกาสทางธุรกิจ ก่อร่างสร้างตัวจนมั่งคั่งร่ำรวย เพื่อบดขยี้ทุกคนที่เคยรังแก!
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY