ลุ้นไปกับภารกิจของแม่ครัวหัวป่าที่จะต้องพิชิตร่างกายและหัวใจหนุ่มใหญ่จอมหื่นและเอาแต่ใจ “เรื่องอะไร” เอ่ยถามเสียงเข้ม พร้อมพลิกกายนอนตะแคง แขนใหญ่ยกขึ้นเท้าตั้งฉากกับเตียง ให้มือใหญ่รับน้ำหนักของศีรษะ คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงพร้อมเครื่องหมายคำถามที่ผุดขึ้นเต็มวงหน้า “เรื่องที่คุยกันตอนก่อนจะเข้าบ้านไงเล่า” กันติชาแหวใส่ สองมือเล็กยกขึ้นเท้าสะเอว ไอร้อนผ่าวเริ่มเอ่อล้นทั่วกายและแผ่ซ่านไปถึงใบหน้า ที่เคยเป็นสีน้ำผึ้งเริ่มมีสีแดงแต่งแต้ม ปลายจมูกเล็กโด่งเชิดขึ้น ริมฝีปากขบเม้มจนราบเรียบเหมือนไม้บรรทัด “อย่าบอกนะ คุณคิดจะกลับคำน่ะ” “เอ๊ะ...ถ้าจำไม่ผิด ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรกับเธอเลยนะยาหยี มีแต่เธอนั่นแหละที่พูดและคิดอะไรไปฝ่ายเดียว” ราชันย์ถามยิ้มๆ วงหน้าคมคร้ามแย้มยิ้มจนนัยน์ตาพราวระยับ กวาดมองไปทั่ววงหน้าขาวนวลที่งองุ้มเหมือนจวักตักแกงพร้อมส่งค้อนให้เขาขวับ
“นังแก่ปากเสียนั่นมาทำไมยายว่าว”
เสียงถามอ้อแอ้ๆ
เหมือนคนลิ้นคับปากดังจากร่างผอมกะหร่องกะแหร่งที่เดินโซซัดโซเซไม่ตรงทาง
จนต้องใช้มือช่วยจับโน่นจับนี่สลับกับหยุดยืน
เพื่อคายน้ำเหม็นที่กระหน่ำดื่มเข้าไปทิ้งตลอดทาง
กันติชาผ่อนลมหายใจออกจากปอด เมื่อเห็นคนถามก้าวขึ้นนั่งบนบันไดขึ้นบ้านได้สำเร็จและปลอดภัย
ไม่สะดุดขาตัวเองหรืออะไรก็ตามที่วางอยู่ข้างๆ
แตกกระจายและล้มก้นกระแทกพื้นเหมือนเช่นวันก่อนๆ
แม้จะอยู่ในอาการมึนเมาเพียงใด แต่ฤทธิ์รงค์ก็ยังจำได้ดี
คนที่มานั้นเคยด่าว่าเขาไม่เอาถ่าน ดีแต่เมาเหมือนหมาแล้วก็สร้างภาระให้กับหลานสาวต้องมาหาเลี้ยง
อยากด่ากลับ แต่...เถียงไม่ทัน ก็เลยต้องยอมแพ้
กันติชาเบ้หน้าและหันไปอีกฝั่งด้วยเหนื่อยหน่ายใจ เมื่อเห็นสภาพเมามายของน้าชายที่ชวนให้หนักใจยิ่งนักและเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม
เพราะรู้ดีว่าถึงตอบไปตอนนี้น้าชายก็จำไม่ได้อยู่ดี โน่นต้องสร่างเมาก็คือรุ่งสางของอีกวันโน่นแหละถึงจะคุยกันรู้เรื่อง
‘ไม่รู้จะกินไปทำไมหนักหนากับ
เหล้าไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิด กินแล้วยังทำให้เสียสุขภาพอย่างแรงและกลับไปแก้ไขเรื่องในอดีตไม่ได้ด้วย
นอกจากจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่านั้น’
แม้จะเข้าใจ น้าชายต้องการดื่ม เพื่อดับทุกข์จากการคิดถึงบางคน
แต่การดื่มมากไปก็ทำให้สุขภาพจิตเสีย สุขภาพทรุดโทรมและเสื่อมไว
เธอยังอยากให้มีคนที่รักอยู่เป็นกำลังใจให้อีกนานๆ
“เฮ้ย...มึงจะหนีไปไหนวะนังว่าว
กูถามไม่ได้ยินหรือไง” ฤทธิ์รงค์มองหลานสาวด้วยสายตาเกรี้ยวกราดและน้อยใจปะปนกัน
น้ำเสียงที่ตวาดแหวใส่ไปก็เช่นกัน ยิ่งอีกคนไม่สนใจน้ำตาก็เอ่อล้นคลอเบ้า
วงหน้าอวบอูมเพราะฤทธิ์ของสุราที่กินเข้าไปเป็นเวลาหลายปีแดงก่ำ หายใจฟืดๆ ฟาดๆ
ไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่ทำมาหากินด้วยตัวเองได้ กันติชาเริ่มที่จะไม่สนใจเขาเสียแล้ว น้ำตาคนมึนเมาเอ่อล้นคลอด้วยความหวาดกลัวว่ากำลังจะสูญเสียคนที่รักไปอีกคน
ทำไมใครๆ ถึงต้องทอดทิ้งเขาด้วย เขาไม่ดีที่ตรงไหน? ...ฤทธิ์รงค์ก่นถามตัวเองในใจ หรือเพราะเขากลายเป็นไอ้ขี้เมา
ไม่...ศีรษะทุยสะบัดแรงๆ ถึงเขาจะเมา แต่ยังพูดจารู้เรื่องนะ ยังรักคนเป็นด้วย
เขารักกันติชาไง รัก...รักมากด้วย รักพอที่จะทำทุกอย่างให้หลานมีความสุข
ยกเว้นอย่างเดียวที่ถูกขอแล้วเขาทำให้ไม่ได้ นั่นคือ...
“งดเหล้า เป็นตายยังไงก็จะไม่หยุดกิน
เพราะมันคือความสุขอย่างที่สองที่เขาทำได้”
กันติชามองน้าชายด้วยหนักใจ นี่ก็อีกอย่างที่น้ำเหม็นๆ
ทำให้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนที่เคยแต่งกายสะอาดสะอ้าน พูดจาสุภาพเรียบร้อย
กลับกลายเป็นแต่งกายสกปรก เสื้อผ้ายับยู่ยี่และเหม็นเน่าชวนอาเจียน
อารมณ์ที่เคยดียิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาหยอกล้อให้คนอื่นยิ้มเสมอๆ
กลับกลายเป็นหงุดหงิดง่าย ก้าวร้าวรุนแรง แปรปรวนง่ายยิ่งกว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเสียอีก
ใครพูดไม่เข้าหูนิดเดียวก็เอะอะอาละวาดด่าทอ
ชวนเขาทะเลาะต่อยตีอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ เคยมีบางคนทนไม่ไหวต่อยจนล้มคว่ำและล้มทั้งยืน
แต่น้าก็ไม่สนและกินหนักมากขึ้นไปอีก จนเกือบจะเรียกว่าอาบน้ำเหล้าต่างน้ำแล้ว
น้าชายอะไรก็ดีไปหมด เสียอย่างเดียวพอเหล้าเข้าปาก ก็จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น
เมาจนบางครั้งนอนกับหมาข้างถนนก็ได้ ร้อนถึงเธอที่ต้องออกตามหาด้วยความเป็นห่วง
ไม่ก็เพื่อนบ้านที่สมเพชเวทนาจนทนไม่ไหวหอบหิ้วมาส่ง
ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่รับปากกับเธอ จะไม่กินอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ระงับใจตัวเองไม่ได้
เจอเพื่อนชวนเข้าหน่อยก็รีบรับมาดื่มมือไม้สั่น เธอเคยถามกินเข้าไปทำไมนักหนา
กินแล้วเขาจะกลับมาหาหรือไง ก็ตอบกลับมาอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ และตัดพ้อต่อว่า
เธอไม่รักและคิดผลักไสให้ไปไกล เธอเลยไม่เซ้าซี้ถามต่อ
“หนูว่าน้าฤทธิ์ไปนอนดีกว่าค่ะ เมามากแล้ว
มีอะไรตื่นเช้าค่อยมาคุยกัน” กันติชาบอกและรีบเดินเลี่ยงไปอีกทาง
เพื่อไปเอาตะกร้าใส่ของและเงินที่ได้แอบซ่อนเอาไว้
นำไปซื้อเนื้อสัตว์และผักสดมาเตรียมไว้ทำอาหารขายในวันพรุ่งนี้
“ไม่...กูไม่ไป
มึงอย่าเสือก...มีหน้าที่หาเงินมาให้กูใช้ ก็ทำไป อย่ามายุ่งเรื่อง” ฤทธิ์รงค์ต่อว่าหลานสาวที่มักจะทำตัวเป็นแม่มากขึ้นทุกวัน
มือใหญ่กระดกเหล้าขึ้นดื่มและขว้างทิ้งอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำหวานๆ
และอร่อยลิ้นที่ทำให้เขาลืมเรื่องราวซึ่งทำให้หัวใจเหมือนถูกเผาไหม้จมอยู่ในกองแห่งความทุกข์ระทมหมดไปจากขวด
“เฮ้ย!! นังว่าวขอเงินไปซื้อเหล้าหน่อยซิวะ
มานหมดแล้วนะ เห็นไหม” ฤทธิ์รงค์ร้องโวยวายเสียงดังลั่น แต่เสียงที่ออกมากลับยานๆ
และจับคำแทบไม่ได้ ร่างเล็กผอมกะหร่องกะแหร่งพยายามลุกจากที่นั่งเดินตามไปไถเงินหลานสาวเพื่อไปซื้อเหล้ากิน
ก็พอดีกับที่กันติชาเดินออกจากทางด้านหลังของบ้านในชุดเตรียมพร้อมที่จะออกไปด้านนอก
“หนูไม่มีเงินให้น้าเอาไปซื้อเหล้าอีกแล้วนะ
ถ้าอยากจะกินก็หาเงินเอาเอง”
เมื่อหงุดหงิดและรำคาญเข้ากันติชาก็ตัดบทอย่างไม่สนใจอาการลงแดงของน้าชาย
แต่ก็แอบมองผ่านม่านสายตาด้วยความรักและสงสาร
ฤทธิ์รงค์สูดลมหายใจ พร้อมแผดร้องเสียงดังลั่นด้วยความไม่ชอบใจ
ดวงตาแดงก่ำขุ่นขวางจ้องหลานสาวด้วยความโกรธเคือง แล้วก็ได้เห็นบางอย่าง
ทำให้นึกถึงคำพูดของคนบางคน ดวงตาที่แดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราก็มองหน้าหลานสาวใหม่อีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา
เออแฮะ...นังว่าวสวยอย่างที่ไอ้เสี่ยอ้วนซึ่งเป็นทั้งเจ้าของตลาดและออกเงินกู้หน้าเลือดที่คอยรีดไถคนจนๆ
เหมือนกับขูดรีดเลือดจากปู แต่กับเขาแล้วไอ้เสี่ยนี่กลับหยวนๆ ให้เสมอ
ไปหยิบยืมมาใช้ก่อนโดยไม่คิดดอกเบี้ย แถมขอยืมสิบกลับให้มาเป็นร้อยเสียอีกด้วยจริง
ดวงตาแดงก่ำคมวาว
มือใหญ่ยกขึ้นลูบปลายคางเบาอย่างคนกำลังใช้ความคิด ไอ้เสี่ยนั่นตาแหลมกว่าที่คิด
ที่เห็นเพชรซึ่งซุกซ่อนอยู่ในโคลนตมอย่างหลานสาวเขา มิหนาละ
หวังของสูงอย่างนี้นี่เองถึงได้ยอมควักเงินให้เขาอย่างไม่เสียดายเลย ทั้งที่ความจริงแล้วเค็มยิ่งกว่าเกลือ
ขนาดทะเลยังต้องเรียกพี่เลย
“ถ้ามึงไม่ให้
กูจะไปเอากับไอ้เสี่ยอ้วนหน้าปากซอย มันคงให้กูหรอกนะ ให้เยอะด้วย เพราะมันจ้องมึงตาเป็นมันอยู่ไม่ใช่หรือไงนังว่าว”
ฤทธิ์รงค์ถามอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
วงหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราแย้มยิ้ม จ้องหลานสาวตามันวาว
ไม่ใช่จะทำจริงๆ หรอกนะ ก็เพียงแค่ขู่เท่านั้นเอง ช่วยไม่ได้อยากงกเองนี่นา
ขอนิดหน่อย ร้อยครึ่งร้อยไปซื้อเหล้า ไม่เห็นจะมากมายอะไรเลย แล้ววงหน้าอวบอูมและแดงก่ำก็มีรอยยิ้มแต่งแต้ม
เมื่อเห็นท่าทางงอนสะบัดของหลานสาวสุดที่รัก
กันติชากัดริมฝีปากจนห้อเลือด สองมือกำแน่นจนปลายเล็บที่เริ่มจะยาวและยังไม่ได้ตัดเล็มให้เรียบร้อยทิ่มแทงไปในฝ่ามือ
แต่ก็เจ็บไม่เท่าที่หัวใจเจ็บและรวดร้าวไปหมดทั้งทรวงกับความคิดของน้าชาย
ก่อนรีบตัดใจผ่อนลมหายใจยาวๆ ผ่อนออกจากจมูกและริมฝีปาก
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี