เมื่อตวนหวางผู้มีอาการเบื่อหน่ายต่อรสรักเดิมๆ ได้พบกับหงเหมยผู้ที่มาพร้อมกับระบำสามชุด 1. มองได้แต่สัมผัสไม่ได้ 2. สุภาพบุรุษใช้ปากไม่ใช้มือ 3. ร้อยคำมิสู้หนึ่งสัมผัส ระบำเร่าร้อนของหงเหมยจะเยียวยารักษาอาการนี้ของเขาได้หรือไม่ ยามที่เขาได้ลิ้มรสดอกเหมยดอกนี้ จะรู้สึกหวานปานใด
เสียงพิณกำลังบรรเลงอย่างครึกครื้น
ภายในโถงรับรองขนาดใหญ่ของวังตวนหวาง ยามนี้แสงไฟสว่างไสว มีชายหนุ่มนั่งชมการแสดงอยู่ที่โต๊ะเตี้ยที่ตั้งเรียงเป็นแถวสั้นขนาบสองด้าน เขาเหล่านี้ล้วนเป็นขุนนางรุ่นใหม่ที่ใกล้ชิดกับตวนหวาง
นางรำในชุดเสื้อกระโปรงสีฟ้าหวานเจ็ดคนกำลังกรีดกรายร่ายรำไปตามทำนองพิณและกลองอยู่ตรงกลางโถง แต่ละนางเกล้าผมสูงเผยให้เห็นลำคอเรียวระหง ทุกนางล้วนมีใบหน้างามสมส่วนที่ถูกแต่งเติมสีสันให้สะคราญยิ่งขึ้น เรือนร่างของพวกนางดึงดูดสายตาด้วยส่วนโค้งส่วนเว้าชัดเจน อาภรณ์ที่สวมใส่บางเบาจนเห็นผิวกายขาวเนียนชวนลูบไล้ เสื้อชั้นในเป็นผ้าแถบเกาะอกสูงไม่ถึงคืบ ขอบบนต่ำเสียจนแทบจะเห็นอกอวบปลิ้นออกมา เสื้อชั้นนอกคอกว้างเนื้อบางเบาก็มิได้ช่วยปกปิดอะไร ยามพวกนางบิดกายสะบัดไหล่ตามจังหวะ อกอวบอิ่มก็กระเพื่อมจนผู้ชมรอบข้างต้องกลั้นหายใจตาม
และยามพวกนางโยกเอวส่ายสะโพก ยิ่งเน้นให้เห็นเอวคอดกิ่วและสะโพกกลมกลึง เรียวขายาวกรีดกรายไปมา แลเห็นเนื้อขาวเนียนวับแวมอยู่ภายใต้กระโปรงเนื้อเบาบาง
บรรดาชายหนุ่มที่นั่งชมอยู่ด้านข้างต่างเพ่งมองกันไม่วางตา
พวกนางเหมือนรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ตึงเข้มของผู้ชม ร่ายรำไปก็ค่อยๆ หมุนพลิ้วบิดกายตามจังหวะ เพียงไม่กี่ก้าว สาวงามหกคนก็มายืนเรียงกันหน้าแถวโต๊ะด้านข้าง เหลือเพียงนางที่งามที่สุดยืนโดดเด่นอยู่ตรงกลางด้านหน้าของตวนหวาง
พวกนางขยับกันอย่างพร้อมเพรียง ขาข้างหนึ่งงอเล็กน้อยจิกปลายเท้า สะโพกกลมกลึงแอ่นขึ้น พร้อมๆ กับมือทั้งสองก็ลูบไล้ขึ้นมาจากข้างสะโพก สายตาฉ่ำปรือจับจ้องที่ผู้ชมเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มเย้ายวน คล้ายดึงดูดสายตาของผู้ชมให้มองตามมือทั้งสองที่ยังค่อยๆ ไล่ขึ้นมาจรดใต้เนินปทุมถัน เอวเล็กสะบัดสะโพกพลางยกขากรีดควงเป็นวง ผ้ากระโปรงบางเบาก็พลิ้วไล้ลงมาตามขาที่ถูกยกขึ้นสูงเผยให้เห็นน่องเรียวขาวก่อนที่พวกนางจะวางเท้าลงแล้วหมุนกายกลับหลังหันไป
จากนั้นพวกนางแอ่นอกเอนหลังเป็นสะพานโค้งครึ่งวง พลางสะบัดสะโพกและไหล่ไปตามจังหวะ แลเห็นอกอวบอิ่มชูชันส่ายไปมาพร้อมกับแถบเสื้อเกาะอกที่ร่นลงไปอีกนิด เรียกเสียงอุทานซี๊ดเบาๆ ดังขึ้นรอบด้านอย่างอดไม่ไหว ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้นต่างนั่งโน้มตัวมาข้างหน้า คล้ายกับอยากจะเข้าใกล้นางรำเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ พร้อมๆ กับบางอวัยวะที่เริ่มแข็งเกร็งขึ้นตามจินตนาการของแต่ละคน
แต่เจ้าของงานที่นั่งอยู่บนพื้นยกสูงที่หัวแถวกลับมองดูอย่างไม่มีอารมณ์ร่วม
มู่จวิ้นเจี๋ย หรือตวนหวาง เป็นชายหนุ่มรูปงามวัยยี่สิบต้นๆ ใบหน้าสมส่วนดุจรูปปั้น คิ้วหนาตาคมกริบ ดูเป็นที่น่าเกรงขามและดึงดูดเพศตรงข้ามได้ในเวลาเดียวกัน แต่บัดนี้สายตาที่มองนางรำเบื้องหน้ากลับดูเบื่อหน่าย
สองสัปดาห์มานี้ มู่จวิ้นเจี๋ยไม่มีอารมณ์เพศเอาเสียเลย ปกติเขาเป็นดั่งอาชาดุดันที่ควบได้อย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อยในแต่ละคืน วังหลังของเขาแม้มีชายาและนางบำเรอเพียงแปดคนซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับอ๋องและองค์ชายคนอื่นๆ แต่สตรีของเขาล้วนงามสะคราญ แต่ทว่ายามนี้เขากลับรู้สึกไม่เกิดอารมณ์กับสตรีใดในจวนของตนเลย
คืนนี้เป็นงานวันเกิดของเขาซึ่งซ่งเหอผู้เป็นสหายสนิทได้รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมีการแสดงพิเศษที่เขาจะต้องพอใจ เขาคาดว่าซ่งเหอจะส่งสตรีโฉมงามมาถวาย แต่นี่ก็ผ่านไปจนกว่าครึ่งงานแล้ว ยังมิเห็นนางใดดูโดดเด่นเป็นพิเศษเลย
เขาส่งสายตาขุ่นเคืองไปที่ซ่งเหอที่นั่งอยู่เยื้องลงไปทางด้านขวามือ
แต่ซ่งเหอมิได้มองมา สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่นางรำที่ยืนอยู่ตรงกลาง สายตาเขาดุจจะกลืนกินนางมิปาน เสียงเพลงจบลงแล้ว พร้อมๆ กับนางคนนั้นบิดกายมาทางซ่งเหอแล้วย่อกายค้างไว้ในท่าปิดการแสดง สองแขนเหยียดขึ้นพร้อมสองมือประกบกันอยู่เหนือศีรษะ เน้นให้สายตาคนดูจับอยู่ที่อกอวบอิ่มที่แอ่นมาข้างหน้าเล็กน้อย ผ้าเกาะอกไหลลงมาตามเต้าขาวสล้างจนแทบจะเห็นยอดปทุมถันทั้งสองข้าง สะโพกบิดไปยังด้านหลัง กายย่อลงเล็กน้อยพร้อมขาข้างหนึ่งเหยียดเฉียงออกมาด้านหน้า แลเห็นเรียวขาขาวรำไรภายใต้ผ้าบาง สายตาฉ่ำเยิ้มสบตาเขาอยู่อึดใจหนึ่งอย่างมีนัยแล้วจึงหรุบต่ำอย่างสะท้านเมื่อเห็นสายตาหื่นที่มองกลับมา
มู่จวิ้นเจี๋ยกระแอมเสียงดัง ซ่งเหอพลันรู้สึกตัว เขาขยิบตาให้นางรำคนงามก่อนนางจะถอยออกจากโถงไป จากกนั้นจึงหันมากล่าวกับมู่จวิ้นเจี๋ย “หวางเหยี่ย กระหม่อมมีของขวัญจะถวายพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียง ซ่งเหอปรบมือสองครา ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาพร้อมๆ กับร่างเล็กบางในเสื้อคลุมปิดมิดชิดของสตรีนางหนึ่งก็ก้าวเข้ามา นางย่อกายทำความเคารพ “ถวายบังคมหวางเหยี่ยเพคะ”
เสียงกังวานใสมีจังหวะจะโคนชวนฟัง เป็นเสียงที่น่าจะขับร้องได้ไพเราะยิ่ง
... สตรีในเสื้อคลุมปิดมิดชิด? ซ่งเหอกำลังเล่นพิเรนท์อะไรอยู่?... มู่จวิ้นเจี๋ยคิด
“ลุกขึ้น ไหนเจ้าลองเงยหน้าขึ้นมาให้เราดูซิ” เขากล่าว เสียงทุ้มดังกังวาน
สตรีร่างเล็กลุกขึ้นยืนอย่างสงบเสงี่ยมพร้อมเงยหน้าขึ้น เพียงแสงไฟจับที่ใบหน้าของนาง ทั้งโถงก็เงียบลงในบัดดล
ใบหน้าเพรียวหวานรูปไข่ หน้าผากโหนกรับกับจมูกโด่งและคิ้วบางโก่งดุจใบหลิ่ว ตาคมโตเรียวขึ้นดั่งปีกหงส์ ดวงตานางดำขลับดั่งบ่อน้ำลึกแต่ดูฉ่ำหวาน ประกายตาระยิบระยับดั่งกำลังเชื้อชวนให้คนที่มองนั้นก้าวเข้ามาใกล้ คล้ายดั่งว่านางมีความลับชวนให้ค้นหา ผิวนางขาวเนียน แก้มแตะแต้มด้วยสีแดงระเรื่ออย่างธรรมชาติ ปากบางได้รูปกระจับแต่ริมฝีปากอวบอิ่ม ยามนี้ริมฝีปากคู่นั้นเผยอออกเล็กน้อยชวนให้จินตนาการถึงความหวานชุ่มภายใน รอยยิ้มหวานสะเทิ้นอายระบายอยู่บนใบหน้าสะคราญนั้น
เสื้อคลุมเนื้อไหมละเอียดทิ้งน้ำหนักลงไปบนร่างเล็กบาง แลเห็นส่วนโค้งส่วนเว้าและความอวบอิ่มเกินความบางของร่างเล็ก ปลายเท้าเล็กเปลือยเปล่าโผล่ออกมาจากใต้เสื้อคลุม ท่าทางนางที่ยืนตรงดวงหน้างามสะคราญดูไว้ตัว หากแต่ดวงตาและริมฝีปากของนางกลับชวนให้บุรุษจินตนาการถึงบทรักที่ดุดัน
อย่างนี้สิเล่าที่เขาเรียกว่า ‘งามสยบเมือง’!
มู่จวิ้นเจี๋ยชะโงกกายไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ ดวงตาเย็นชาคล้ายปรากฏแววพึงพอใจ มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงอาการคึกคักที่กำลังกลับคืนมาพร้อมๆ กับเลือดที่สูบฉีดในร่างกาย
“เจ้าชื่ออะไร? ไฉนแต่งกายเยี่ยงนี้?” เสียงทุ้มถาม
“หม่อมฉันมีนามว่าหงเหมยเพคะ” เสียงใสตอบคำถามของมู่จวิ้นเจี๋ย ประโยคแรกฉะฉาน แต่ประโยคที่ตามมาคล้ายลังเล “หม่อมฉันมีระบำมาถวายหวางเหยี่ยเพคะ”
“โอ๋ว ระบำอันใดใยแต่งกายเยี่ยงนี้?” มู่จวิ้นเจี๋ยถาม ด้วยสายตาที่เชี่ยวชาญกับเรือนร่างของสตรี เขาเห็นแล้วว่านางผู้นี้สัดส่วนดูไม่เลวเลย
“ชุดของหม่อมฉัน... ชุดของหม่อมฉันมีไว้ให้หวางเหยี่ยทอดพระเนตรแต่เพียงผู้เดียว ไม่เหมาะสำหรับสายตาผู้อื่นเพคะ”
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"