เธอถูกส่งมาให้เขาในฐานะ...ของบรรณาการ ทางรอดมีเพียงหนึ่งคือต้องมีทายาทกับ...เขา นายหัวหนุ่มเจ้าของเกาะ เขาคือตัวร้ายแต่หากได้ถอดรูป เขาคือผู้ชายที่ใครๆ ก็อยากจับจอง
เธอถูกส่งมาให้เขาในฐานะ...ของบรรณาการ ทางรอดมีเพียงหนึ่งคือต้องมีทายาทกับ...เขา นายหัวหนุ่มเจ้าของเกาะ เขาคือตัวร้ายแต่หากได้ถอดรูป เขาคือผู้ชายที่ใครๆ ก็อยากจับจอง
“เซ็นสิ” น้ำเสียงนิ่งๆ เอ่ยบอก เมื่อเห็นคนตรงหน้ายังคงนั่งนิ่ง ไม่ยอมเซ็นรับทราบข้อตกลงในกระดาษนั่นเสียที
“ค่ะ” ร่างเล็กๆ เอ่ยรับ แต่มือข้างที่กำลังจับปากกาอยู่นั้นกลับสั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้ เพราะเนื้อหาในเอกสารตรงหน้ามันช่างบีบหัวใจของเธอเสียเหลือเกิน
เธอรู้ว่าครอบครัวเป็นหนี้ผู้หญิงตรงหน้า แต่ไม่คิดว่าจำนวนจะมากมายถึงสิบล้านเช่นนี้ หนี้ที่เธอไม่ได้ก่อแต่ต้องร่วมชดใช้ เพราะคนที่ก่อหนี้คือบิดาที่เวลานี้หนีไปอยู่ที่ไหนเธอก็ไม่อาจรู้ หากตัวคนเดียวเธอก็คงหนีไปเช่นกัน แต่นี่เธอยังมีน้องสาวอีกคนให้ดูแล ส่วนแม่นั้นได้จากไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
รินลดาสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะยอมจรดปลายปากกาเพื่อเซ็นรับทราบวิธีการปลดหนี้ด้วยหัวใจที่ถูกบีบอัด แม้ข้อตกลงในเอกสารตรงหน้าจะเกินรับได้ แต่มันก็ยังดีกว่าเธอกับน้องไม่มีที่ให้ซุกหัวนอน อีกอย่างหลังเซ็นชื่อลงไปเธอก็จะได้เงินก้อนแรกมาทันที และหากเธอทำสำเร็จลุล่วงนอกจากจะปลดหนี้ได้แล้ว ยังได้เงินอีกก้อนเพื่อไปตั้งตัว แต่ถ้าไม่ทุกอย่างก็ว่างเปล่า แถมเธอยังจะมีหนี้เพิ่มมาอีกต่างหาก
เมื่อเซ็นชื่อเสร็จ รินลดาก็ยื่นเอกสารในมือคืนให้คนตรงหน้า ที่พอเห็นว่าเธอเซ็นชื่อกำกับไว้แล้วก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“พรุ่งนี้ออกเดินทางได้เลย”
“พรุ่งนี้เลยเหรอคะคุณหญิง” สีหน้าของรินลดาบ่งบอกว่าเธอตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
“ใช่...ฉันไม่อยากเสียเวลารอ” แม้จะสงสัยในความเร่งรีบนี้ แต่รินลดาก็ไม่อาจเอ่ยถามออกไปได้ นั่นเพราะไม่ใช่เรื่องที่เธอควรต้องรู้ ขนาดรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายเธอยังไม่เอ่ยถามว่าเป็นยังไง ทำราวกับปลงตกในชีวิตก็ว่าได้
คุณหญิงฤทัยพอใจในรูปร่างหน้าตาของรินลดาไม่น้อย แต่ก็เผื่อใจเพราะหากรินลดาหนีกลับมาก่อนจะเสร็จงานเหมือนคนก่อนๆ เธอจะได้มองหาคนใหม่ไปแทนที่ ต้องมีผู้หญิงสักคนที่ถูกใจลูกชายตัวดีของเธอสิ ไม่ใช่ส่งใครไปก็ทำเสียเรื่องจนเขาเสียขวัญหรือไม่ก็เกือบตายแบบนั้นทุกครั้ง
อีกอย่างคือเธอมีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะไม่อยากได้สะใภ้ที่ไม่อยากได้ อยากรู้นักว่าผู้หญิงคนนั้นมีดีอะไรกัน ลูกชายของเธอถึงได้รักถึงได้หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแบบนี้ นิสัยต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง แถมยังเคยเป็นเมียน้อยเมียเก็บมาอีก พื้นหลังแบบนั้นเหรอจะริมาเป็นสะใภ้เธอ...ไม่มีทาง
“หรือเธอติดขัดอะไร” คุณหญิงฤทัยเอ่ยถามขึ้น พร้อมสบตาของรินลดามาตรงๆ ท่าทางที่เห็นทำเอาเธอถึงกับใจสั่นอยู่ไม่น้อย
“ปะ...เปล่าค่ะ”
“เปล่าก็ดี ฉันจะส่งคนไปรับตัวเธอทันทีที่รู้ว่าเธอท้อง”
“ค่ะ” รินลดาเอ่ยรับได้แค่นี้ ตอนนี้รู้แล้วว่าต้องไปที่ไหนและต้องเจอกับใคร แค่คิดใจมันก็สั่นเพราะความกลัวเสียแล้ว แต่ก็บอกตัวเองให้สู้ เพราะนี่คือทางที่เธอเลือกจะเดินเอง
“ห้ามบอกลูกชายฉันเรื่องเอกสารนี่อย่างเด็ดขาด เขาจะรู้แค่ว่าเธอไปในฐานะเมียที่ฉันส่งไปให้เท่านั้น อ้อ...อย่าลืมว่าถ้าเธอเปลี่ยนใจกลางครันก็จะไม่ได้อะไรเลย และต้องจ่ายหนี้คืนให้ฉันภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย”
“ค่ะ”
“ส่วนสัญญาก็อ่านถี่ถ้วนดีแล้วใช่ไหม จะมาแย้งทีหลังไม่ได้แล้วนะ” แม้จะเคี่ยวเรื่องผลประโยชน์ แต่เพราะเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้าเหมือนลูกเหมือนหลาน ทำให้คุณหญิงฤทัยใจร้ายไม่ได้เต็มหัวใจนัก เพราะหากจะทำตามที่พูดจริงป่านนี้คงไล่ครอบครัวของรินลดาให้ออกไปจากบ้านที่เอาโฉนดมาเพื่อค้ำประกันเงินกู้นานแล้ว
แต่ที่ปล่อยให้ยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ นั่นก็เพราะมีแผนบางอย่างในใจ และก็เพื่อต้องการให้หญิงสาวตรงหน้าโตเป็นสาวเต็มที่เสียก่อน โตทั้งรูปร่างหน้าตาและโตเรื่องความรู้ด้วย อย่างน้อยๆ ตอนนี้รินลดาก็คว้าปริญญาใบแรกมาครองได้ รูปร่างหน้าตาก็สวยคมอย่างที่คิด แถมยังไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยใดๆ
“ดีแล้วค่ะ”
“ก็ดี จะได้ไม่ต้องมาเรียกร้องกันทีหลัง”
“ค่ะ”
“ไปเตรียมตัวซะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะให้คนไปรับเธอที่บ้าน”
“ค่ะ”
“แล้วนี่เงินก้อนแรก เอาไปสิ” เอ่ยจบคุณหญิงฤทัยก็ยื่นซอง สีน้ำตาล ที่ภายในมีเงินสดปึกใหญ่มาให้รินลดา
“ขอบคุณมากค่ะ” รินลดายกมือไหว้พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็รับซองสีน้ำตาลมาถือไว้ในมือ จู่ๆ หัวใจก็รู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อหมดธุระ รินลดาก็กลับออกไปจากบ้านหลังโออ่าของครอบครัวพิทักษ์ธรรมรักษ์ โดยมุ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อชำระค่าเทอมของน้องสาวที่ผลัดจ่ายมาจนเลยกำหนด จากนั้นก็นำเงินส่วนที่เหลือไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟที่ติดค้างมาจนเกือบถูกตัดเช่นกัน และก่อนเข้าบ้านก็ซื้ออาหารแห้งและสดตุนไว้เป็นเสบียง
จนลดาน้องสาวที่เพิ่งกลับมาจากเรียนต้องเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นนะพี่ทราย ทำไมของกินถึงได้มากมายขนาดนี้”
“พอดีพี่ขายที่ได้ เจ้านายเลยให้เงินเปอร์เซ็นต์มานิดหน่อย” รินลดาเอ่ยถึงงานพิเศษที่เธอรับทำมาตั้งแต่เรียนยังไม่จบ แม้เงินเดือนจะน้อยแต่ก็อยู่ได้ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่ว่านี่แหละ
“ว้าว! มีแซลมอนด้วย รู้ได้ยังไงว่าฟ้าอยากกิน”
“รู้สิ...เพราะฟ้าเป็นน้องพี่ไง” จะว่าไปแซลมอนชิ้นสุดท้ายที่เธอเห็นลดากินคงเมื่อปีก่อนกระมัง ทำไงได้ในเมื่อเธอกับลดาต้องประหยัด แต่ถึงอย่างนั้นรินลดาก็ห้ามไม่ให้น้องสาวหางานพิเศษทำ โดยเธอรับอาสาหาเงินเข้าบ้านเพียงคนเดียว ขอแค่ลดาตั้งใจเรียนให้จบเธอก็พอใจมากแล้ว ซึ่งลดาเองก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหลให้พี่สาวต้องกังวลเช่นกัน
เธอคือ....นางโจร ส่วนเขาคือนายตำรวจ...มือหนึ่ง แต่พรหมลิขิตกลับชักพาให้นางโจรอย่างเธอปล้นความรักไปจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่าง...เขา +++++ “ผมบอกไปหรือยังว่าผมรักคุณ” “ยังค่ะ” มีนาเอ่ยตอบด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อคืนเหมือนเธอจะได้ยินเมฆาบอกรัก แต่มันก็แผ่วเบาเสียจนคิดว่าเธอคงฝันหรือไม่ก็เพ้อไปเองคนเดียว “โอเค...ผมรักคุณ” เมฆาบอกรักคนในอ้อมกอด มันคือคำว่ารักที่แสนเรียบง่ายแต่ทว่ากลับตราตรึงอยู่ในความรู้สึก ทั้งจากคนพูดและคนที่ได้ยิน เพราะหากไม่แน่ใจว่ารักเมฆาหรือจะพูดคำนี้ออกมา “ผู้ชายเขาบอกรักกันง่ายๆ แบบนี้เหรอคะ” “ใครบอกว่าง่าย เมื่อคืนกว่าผมจะบอกรักคุณมีนด้วยภาษากายได้ก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเชียวนะ” “ทะลึ่ง” มีนามองค้อนมาให้ นั่นเพราะรู้ความหมายที่เมฆาเอ่ยว่าคืออะไร “ผมพูดเรื่องจริง” “แต่ฉันเป็นโจรที่เคยยกเค้าบ้านคุณนะคะ ถูกแจ้งจับอีก แบบนี้คุณยังจะรักฉันอย่างนั้นเหรอ” “มีกฎหมายข้อไหน ห้ามไม่ให้ตำรวจรักกับโจรบ้าง” “ก็...” คนฟังแย้งไม่ออก “ผมว่าความรักมันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว รักก็คือรัก” “แต่เราต่างกันเกินไป ฉันคิดว่า...” “โลกนี้ไม่มีคำว่าต่าง ต่อให้มีเราก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากันก็ได้นี่ครับ ผมขอแค่โอกาส” “ฉัน...” “ผมรักคุณมีน ต่อให้จะนอนคิดนั่งคิดหรือตีลังกาคิดก็ยังรัก” เมฆาเอ่ยคำว่ารักให้คนในอ้อมกอดได้ยินและได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาอีกครั้ง “แล้วถ้าฉันปฏิเสธละคะ คุณจะว่ายังไง” “ผมคงเสียใจหนักมากแน่” เมฆาเสียใจจริงๆ แต่เขาคงไม่ถอดในจากเธอด้วยเรื่องแค่นี้แน่ แต่ทว่าคำพูดหลังจากนั้นของมีนากลับทำให้คนฟังยิ้มกว้างออกมา “แต่ฉันไม่อยากเห็นคุณเสียใจ” “งั้นก็รับรักผม ได้ไหม” “เฮ้อ! ไหนๆ ฉันก็ได้คุณแล้วก็คงต้องแมนๆ รับผิดชอบ ฉันรับรักคุณก็ได้อะ คุณจะได้ไม่ร้องไห้เสียใจเพราะฉัน” มีนาพูดติดตลก นั่นเพราะไม่อยากให้บรรยากาศตอนนี้อึดอัด คำพูดของเธอทำให้เมฆาถึงกับหัวเราะ ก่อนจะรั้งผ้าห่มขึ้นมาห่มคลุมโปงทั้งเธอและเขา แล้วเริ่มปฏิบัติการยืนยันว่าแท้จริงแล้วใครได้ใครกันแน่ และใครต้องรับผิดชอบใคร
‘เขาเป็นแวมไพร์ที่ปฏิเสธการดื่มเลือด แต่กลับไม่ปฏิเสธหากจะได้กลืนกินเธอ’ ------------ “วันนี้นายริทเป็นอะไร ดูเหม่อๆ” “นั่นนะสิ” คนงานอีกคนเห็นด้วย ก่อนจะหยุดการสนทนาใดๆ แล้วตัดดอกไม้ต่ออย่างขะมักเขม้น ส่วนคนที่พวกเขาเอ่ยถึงนั้น ตอนนี้ก็กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้าเช่นเดียวกัน กระทั่งได้ดอกไม้ครบตามจำนวน เชโรมจึงเดินไปยังรถที่ตอนนี้มีดอกไม้แสนสวยอยู่ท้ายกระบะเต็มไปหมด แต่จังหวะนั้น สายตาของเชโรมกลับมองไปเห็นกระต่ายสีขาวที่เขาเลี้ยงไว้หลุดออกมาจากกรง จึงเดินไปอุ้มมันขึ้น ท่าทางเขาดูอ่อนโยนเสียจนมาศิตาที่ผ่านมาเห็น คิดว่าตัวเองตาฝาด จนต้องขยี้ตาแรงๆ สามสี่ครั้ง “ผู้ชายหน้าโหดกับกระต่ายสีขาว ดูยังไงก็ไม่เห็นจะเข้ากันสักนิด สงสัยจะเลี้ยงกระต่ายไว้กินแน่ๆ” “เลี้ยงไว้ดูจ้ะ นายริทชอบกระต่ายสีขาว ตรงนู่นเป็นกรงกระต่าย มีหลายสิบตัว” คนงานสาวคนหนึ่งเอ่ยแย้งให้ผู้เป็นเจ้านาย “ชีวิตดูมุ้งมิ้งกิงก่องแก้วขัดแย้งกับหน้าตาสุดๆ แวมไพร์ตนอื่นๆ มีแต่จะเลี้ยงกระต่ายไว้ดื่มเลือด นี่อะไร เลี้ยงไว้ดูเล่น โอ๊ย! พ่อมังสวิรัติ” มาศิตาบ่นคนเดียวอีกตามเคย ตามมาด้วยอีกประโยค “สอนแวมไพร์ให้ดื่มเลือด มันจะเหมือนสอนจระเข้ว่ายน้ำปะวะเนี่ย ของมันเป็น มันอยู่ในสายเลือด จะให้เรามาสอนเขาทำไม หืม” คนข้างๆ ที่เผลอได้ยินทั้งสองประโยคนี้เข้า กลับมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด พอจะถามมาศิตาก็เดินตัวปลิวไปเสียแล้ว “ใครเป็นแวมไพร์หว่า หรือเราจะหูฝาดไป” คนงานสาวที่เพิ่งจะเอ่ยแก้ต่างเรื่องกระต่ายให้เชโรมไปเมื่อครู่ถึงกับคิ้วขมวด พูดกับตัวเองตามมาศิตาไปอีกคน ------------------ “แต่ศิตาไม่ยอมให้พี่ริทตายเด็ดขาด เพราะศิตารักพี่ริท” เอ่ยจบก็โน้มใบหน้าลงไปจูบเชโรม จูบที่ต่างฝ่ายต่างต้องการจากกันและกันมาโดยตลอด จูบที่ฝันว่าครั้งแรกมันต้องโรแมนติกและน่าจดจำ ไม่ใช่จูบที่ได้กลิ่นคาวเลือดจากริมฝีปากเขาเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด เลือด! ใช่…เลือด คำๆ นี้ทำให้มาศิตานึกอะไรขึ้นมาได้ เธอคือผู้พิทักษ์ เลือดของเธอแวมไพร์ที่ยืนจ้องอยู่ตรงนั้นยังต้องการ แล้วทำไมเธอถึงไม่ให้เชโรมชิงดื่มเลือดของเธอเสีย ไม่แน่ว่า หากเขาได้ดื่มเลือดมนุษย์จริงๆ เชโรมอาจมีพลังขึ้นมาก็เป็นได้ มาศิตาถอนจูบออก แล้วแสร้งโอบกอดเชโรม ก่อนจะกระซิบให้เขาฝังคมเขี้ยวลงไปบนลำคอเพื่อจะได้ดื่มเลือดเธอ แต่เหมือนเชโรมกลับส่ายหน้าปฏิเสธกับแผนนี้ กระทั่งมาศิตาชิงลงมือก่อน เธอกัดริมฝีปากตัวเองสุดแรงจนเลือดไหล แม้จะเจ็บแต่ก็ยอมทน จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงไปจูบเชโรมอีกครั้ง ทันทีที่ได้สัมผัสเลือดของผู้พิทักษ์ นั่นทำให้เลือดในกายของแวมไพร์หนุ่ม ผู้ที่ไม่เคยลิ้มรสชาติของเลือดใดๆ มาก่อน พลันพลุ่งพล่านราวกับเปลวไฟ “เจ้าทำอะไร” แดนเองก็ได้กลิ่นเลือดของมาศิตาเช่นเดียวกัน รวมทั้งจ้องมองความผิดปกติของเชโรมอย่างไม่กะพริบตา เลือดเพียงหนึ่งหยด กลับทำให้นัยน์ตาที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนแปรเปลี่ยนมาเป็นสีแดงเพลิงในทันที ร่างกายที่เคยเจ็บปวดกลับค่อยๆ หาย และรู้สึกถึงพลังที่ไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนวิ่งพล่านไปทั่วร่าง “แววตาแบบนั้น เจ้าเป็นใครกัน หรือว่า…”
จูบแรกก็เป็นของเขา จูบครั้งที่สอง สาม สี่ ก็ยังคงเป็นของเขา แบบนี้โสภิตาจะหนีจาก CEO หนุ่มที่เธอบังเอิญผ่านไปช่วยชีวิตเขาไว้ได้อย่างไร ++++++++++++++++ **โปรย 1 “เท่าที่ได้คุยกันฉันว่านายเชนคนนี้นิสัยก็ใช้ได้” “อึนๆ มึนๆ นี่เหรอใช้ได้” โสภิตาอยากจะบอกเหลือเกินว่าบางครั้งราเชนก็กวนตีนเธอ “อื้อ...นายเชนเขาให้ความพิเศษกับแกนะ ขนาดปลายังแกะก้างออกให้ นี่ถามจริงๆ แกไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ” “ก็...” โสภิตาอ้ำๆ อึ้งๆ เธอนั้นไม่มีประสบการณ์เรื่องความรัก เรียกได้ว่าชั่วโมงบินน้อยมากๆ ใครมาดีหรือมาร้ายบางครั้งก็มองไม่ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง อาศัยเพียงแค่สัญชาตญาณของตัวเองซึ่งบางครั้งมันอาจผิดพลาด “หรือคิดมากเรื่องฐานะที่นายเชนมีน้อยกว่าแก” “ไม่ใช่เรื่องนั้น ถามว่าฉันรู้สึกดีกับเขาไหมก็...อื้ม บางครั้งเวลาฉันอยู่กับเขาแล้วเหมือนตัวเองเป็นง่อย จากที่ทำอะไรได้เองก็เริ่มอยากให้เขาทำให้ อยากให้เขาช่วย” นั่นคือความเปลี่ยนแปลงที่โสภิตารู้ตัวเองดี “ไม่แปลกหรอก เพราะผู้หญิงเราต่อให้แข็งแกร่งยังไงลึกๆ ในหัวใจก็อยากมีใครสักคนมาดูแล” “แกก็เป็นเหรอ” “เป็นสิ บางครั้งฉันยังงอแงให้บอสจับแมลงสาบเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเห็นตอนไหนฉันกระโดดกระทืบตอนนั้น” คำพูดของรติชาทำให้โสภิตาหัวเราะออกมาเพราะนึกภาพออกทันที เวลานั้นปิลันธน์คงทั้งกลัวทั้งอยากกำจัดให้คนรักส่วนรติชาก็คงหัวเราะชอบใจแน่ๆ “นึกว่าฉันเป็นอยู่คนเดียว” “แกนะเข้มแข็งมากนะหวาน เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นหัวหน้าคนงาน รับผิดชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย ที่ผ่านมาอาจเพราะแกยังไม่เจอใครที่สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้แกเลยไม่เปิดใจ แต่ถ้าตอนนี้แกเจอคนคนนั้นแล้วฉันแนะนำว่าแกควรฟังเสียงหัวใจของตัวเองให้มาก ว่าอยากอยู่แบบที่ผ่านๆ มาหรืออยากจับมือกับใครสักคนไปจนวันตาย” นั่นคือคำแนะนำจากใจของรติชาเพราะเธอเคยลังเลแบบนี้มาแล้ว หากเวลานั้นตัดสินใจผิดตอนนี้เธออาจโกนหัวบวชชีที่วัดป่าที่ไหนสักแห่ง “ฉันอยากจับมือใครสักคน” ++++++++++++++++ ***โปรย 2 “ฉันเกลียดที่สุดคือคนโกหก ที่ผ่านมาฉันรู้สึกดีกับนายเพราะเข้าใจมาตลอดมานั่นคือนาย แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใครกันแน่ นายจะโกหกอะไรฉันอีกไหม ฉันต้องโง่ไปอีกกี่ครั้ง” น้ำเสียงของโสภิตานั้นสั่นเครือ “ผมสัญญาว่าจะไม่โกหกอะไรคุณอีกแล้ว สาบานให้ตาย...” จังหวะที่ราเชนกำลังจะสาบานให้ตัวเองตาย โสภิตาก็ยกมือขึ้นมาปิดปากของเขาไว้เสียก่อน “ลองตายดูสิ ฉันจะลากตัวนายขึ้นมาแล้วสับๆ” ราเชนอึ้งกับประโยคที่ได้ยินก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าโสภิตาไม่ยอมให้เขาตายง่ายๆ สินะ “โอเคๆ ผมไม่ตายแล้วก็ได้ ยกโทษให้ผมเถอะนะคุณหวาน ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” “นายนี่มัน ทำฉันทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนคนเป็นไบโพลาร์แบบนี้ได้ยังไง รับผิดชอบสติฉันมาเลย” “ถ้าผมรับผิดชอบจริงๆ คุณหวานจะตอบตกลงไหมครับ” “อื้อ” “จริงๆ นะ” ราเชนถามย้ำ ส่วนคนที่ตามความเจ้าเล่ห์ของเขาไม่ทันก็ไม่ได้เอะใจอะไรแม้แต่น้อยเช่นกัน “จะรับผิดชอบอะไรว่ามา” “แต่งงานกันไหม”
‘พรพระพาย’ คือสาวสวยวัยยังไม่แตะเลขสาม แต่ทว่าอาภัพเพราะต้องเป็นหม้ายถึงสองครั้ง แต่งงานครั้งแรกสามีเสียชีวิตตั้งแต่คืนส่งตัวเข้าหอ แต่งงานครั้งที่สอง (ว่าที่) สามีกลับไม่โผล่หน้ามางานแต่งงาน ‘กานต์’ คือชายหนุ่มหน้าโหดลุคเหมือนโจรป่า แต่ทว่าเขามาเพื่อทำลายกำแพงอันสูงลิ่วหวังพาคนที่รักให้หลุดพ้นคำว่า ‘หม้าย’ หากการแต่งงานครั้งที่สามเกิดขึ้น!! มันจะ…ล่ม! หรือจะ…รุ่ง! จะเป็นงานแต่งงานในฝันที่แสนจะโรแมนติก หรือจะวิวาห์เหาะเพื่อแก้เคล็ดล้างอาถรรพ์กันนะ
เขาคือพระเอกดาวค้างฟ้า เล่นละครเรื่องไหนเรตติ้งพุ่งแรงเสมอ ในขณะที่เธอก็เป็นแค่เอ็กตร้าในกองถ่าย ที่เอ๋อๆ เด๋อๆ เพราะไม่ได้เป็นแฟนคลับของเขาเธอจึงไม่ได้แสดงออกว่าปลื้ม แต่ยิ่งเธอเฉยเขายิ่งสนใจ กระทั่งมีเหตุการณ์ให้ทั้งคู่ได้ทำงานร่วมกัน จูบแรกของทั้งคู่เกิดขึ้นก็เพราะงาน แต่หัวใจของเธอกลับถูกริมฝีปากนุ่มและแสนร้ายกาจของพระเอกกระชากจนหลุดลอยและมันมักจะลอยไปหาเขาโดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน ของขวัญวันเกิดปีนี้ของเธอก็ยังเป็นจูบจากเขา จูบที่ทำให้ใจสาวหวั่นไหวและยากจะต้านทาน หัวใจเธอถูกเขาไล่ต้อนจนมุม ทางเดียวที่จะรับมือคือพุ่งเข้าชนแล้วเอาหัวใจเป็นเดิมพัน
ถึงอาดิน เรารู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้วนะคะ เป็นสิบปีที่มิลค์มีความสุขมาก ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่มิลค์จะหยุดรักอาดินได้เลย นอกจากจะหยุดรักไม่ได้แล้ว ยังรักมากขึ้นๆ ทุกๆ วัน สิบปีมานี้มิลค์ได้บอกรักอาดินไปหลายครั้ง ทุกๆ ครั้งที่บอกไปมิลค์มีความสุขมากค่ะ ถึงแม้อาดินจะไม่ตอบรับมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่มิลค์ก็ยังพยายามต่อ เพราะหวังว่าสักวันอาดินจะหันมามองเห็นความรักที่มิลค์มีให้และรับมันไป แต่ว่า...มันคงไม่มีวันนั้นแล้วจริงๆ มิลค์ขอโทษนะคะที่เอาแต่ใจ ที่ตามกวนใจอาดิน หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันสักพัก มิลค์ขอให้อาดินเจอคนที่ใช่ คนที่อาดินรัก ส่วนมิลค์จะขอเฝ้ามองอาดินอยู่ห่างๆ แทน ลาก่อนค่ะ มิลค์
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
" ถ้าฉันยังไม่เบื่อเธอก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ...นอกจากเธอจะนอนถางขาให้ฉันเอาจนกว่าฉันจะเบื่อไปเอง! "
เพียงแค่ฉันสอบตก พี่ชายตัวดีก็ถึงกับดั้นด้นไปหาครูสอนพิเศษมาให้ ตอนแรกฉันก็เบื่อ แต่พอได้เจอหน้าครูสอนพิเศษคนนั้นความคิดของฉันมันก็เปลี่ยนไป "คนอะไรน่าจับทำผัว" อุปส์! >///< ........................................................................ ความฉิบหายมันจะเริ่มมาเยือนถ้าหากเพื่อนของคุณเอ่ยขอความช่วยเหลือ ชีวิตของผมตอนแรกมันก็สงบสุขอยู่หรอก แต่พอมาเจอกับยัยเด็กที่ชื่อ 'สโนว์ไวท์' เข้า ชีวิตผมก็ไม่เคยสัมผัสกับคำว่าสงบสุขอีกเลย "ทำยังไงก็ได้ให้น้องกูเรียนเก่งขึ้นก็พอ" "เปลี่ยนสมองง่ายกว่านะกูว่า" ปกติผมเป็นคนที่นิ่งและใจเย็น แต่พอมาอยู่กับเธออารมณ์ของผมมันก็ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนคนที่ใกล้จะบ้าเต็มที "เรื่องรักอ่ะเซียน แต่เรื่องเรียนไม่รู้เรื่อง"
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
หลังจากที่แฟนหนุ่มประสบอุบัติเหตุรถชนและหมดสติไปหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ฟื้นคืนความทรงจำขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาจำได้ว่ามีคนที่เขารักมายาวนาน ดังนั้น สิ่งแรกที่เซิ่งหลินชวนทำเมื่อฟื้นจากอาการโคม่า คือการขอเลิกกับฉินเวย “เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฉันความจำเสื่อม ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจทำจริงๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราตัดขาดความสัมพันธ์ ความรักของเราก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย ” ฉินเวยไม่ได้ว่าอะไร บัญเอิญว่าการวิจัยยาใหม่ในห้องทดลองสำเร็จ ฉินเวยจึงขอเข้าร่วมการทดลองยา “เมื่อคุณรับประทานยาเม็ดนี้ ความทรงจำส่วนนี้จะถูกลบไปอย่างถาวร คุณฉินเวย คุณตัดสินใจดีแล้วหรือ?”
อาร์ม>>>นักศึกษาปี4 คณะวิศวะ สุดหล่อที่โคตรใจร้อนไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนนอกจากน้องสาวอย่างแอมแปร์และเพื่อนรักอย่างน้ำฝน "เด็กแพทย์กูนึกว่ามีแต่คนเรียบร้อย แต่คนนี้กูว่ามาร้อยก็เรียบ" เมเบิ้ล>>>นักศึกษาปี4 คณะแพทย์ สาวสวยประจำคณะ เพื่อนสนิทของน้ำขิง สวยแรง เก่ง ฉลาด "เรียนแพทย์เขาใช้สมองนะ ไม่ใช่การแต่งตัว" ดีม>>>นักศึกษาป.โท คณะวิศวะ เพื่อนสนิทของอานนต์ เพลย์บอย เจ้าชู ไม่เคยจริงจังกับใคร "ก็พี่อยากรับผิดชอบหนูนี่คะ" แอมแปร์>>>นักศึกษาปี1 คณะบริหารสาวสวยที่พี่ชายโคตรหวง น่ารัก นิสัยดี แต่ดวงซวยเสียทีให้ผู้ชายในผับของพี่ตัวเอง "จะตามหนูเป็นเงาเลยรึไงคะ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY