“ฉันจะเป็นเมียของนายดินค่ะ” ไม่รู้ว่าส้มหล่นหรือโชคร้ายกันแน่ที่จู่ๆ คุณหนู ‘หยาดฟ้า’ ของตระกูลเศรษฐีเมืองกรุงก็มาถวายตัวยอมเป็นเมียของ ‘ไอ้ดิน’ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น ไอ้ดินค่อนข้างจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะไม่ให้งงได้อย่างไร เขาไม่รู้จักมัดจี่กับเจ้าหล่อนนี่ จู่ๆ ก็มาบอกว่าจะเป็นเมียเขา เป็นใครก็งงทั้งนั้นแหละ! ก่อนที่เขาจะได้รับรู้ว่าเหตุนี้เกิดขึ้นเพราะหยาดฟ้าถูกบิดาบังคับให้แต่งงาน เธอจึงหนีมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด และได้เจอกับกุลีหนุ่มที่นี่ ประจวบเหมาะกับที่บิดาของเธอโทรมาคาดคั้นให้เธอกลับไปแต่งงานพอดี เธอถึงได้ลั่นวาจานี้ออกมาให้บิดารู้ว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่ที่ยินยอมพร้อมใจจะเป็น ‘เมีย’ ของเขาแล้ว หาใช่ผู้ชายที่บิดาจัดเตรียมมาให้ สำหรับไอ้ดิน นี่คงไม่ใช่ส้มหล่นหรอก เป็นคราวเคราะห์เสียมากกว่า เขาจึงรีบบอกปัดหัวขวิด “ไม่ล่ะครับคุณหนู ผมคงไม่อาจเอื้อมไปเด็ดดอกฟ้าหรอก ผมก็แค่กุลีใช้แรงงานไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงให้คุณหนูอยู่ดีกินดีได้” “ไม่ต้องกินดีอยู่ดีก็ได้ แค่ให้ฉันอยู่ด้วยก็พอ” “ให้อยู่ด้วยก็ไม่ได้ครับ ก็คุณหนูน่ะเป็น...” “เป็นเมียนายดินไงล่ะ” เป็นที่ไหนกัน เขายังไม่ได้ซั่มเธอเลยสักกะยก! ไอ้ดินปวดขมับตุบๆ ขณะที่หยาดฟ้าเชื้อเชิญเขาเป็นการใหญ่ “แล้วนี่มัวรออะไรอยู่ รีบพาฉันเข้าบ้านสิ จะได้ทำอะไรอย่างที่ผัวเมียเขาทำกัน” เธอรู้หรือเปล่าว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะ!? ไอ้ดินไม่แน่ใจนัก แต่แวบเดียวก็แน่ใจแล้ว เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็ดึงคอเสื้อให้หน้าอกอิ่มล้นทะลักออกมา ไอ้ดินมองจ้องตาไม่กะพริบ ได้สติมาอีกครั้งก็ตอนที่สาวเจ้าเอ่ยปาก “มาสิพี่ดิน มาเอากัน ฟ้าพร้อมจะเป็นเมียพี่แล้ว” ดูพูดจาเข้า เรียกแทนตัวด้วยชื่อ แทนเขาว่าพี่ชวนให้เอ็นดูอีก! โอ๊ย! ไอ้ดินจะบ้าตาย! เห็นทีเขาคงหนีไม่พ้นการถูกยัดเยียดความเป็น ‘ผัว’ ด้วยฝีมือหยาดฟ้าแล้วล่ะ
การแต่งงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จะทำเป็นทีเล่นทีจริงไม่ได้ เพราะคนที่จะแต่งงานกันนั้น นั่นหมายความว่าทั้งคู่มั่นใจและตกลงปลงใจกันแล้วว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า ต่างต้องพึ่งพาอาศัยดูแลกัน เสมือนสามีภรรยา เสมือนเพื่อนพี่น้อง เสมือนคนรักที่แทบจะใช้ลมหายใจเดียวกัน...
นั่นเป็นคำสอนของบิดาที่ ‘หยาดฟ้า’ จำได้ดี แต่ในตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่าสิ่งที่บิดาพร่ำสอนกรอกหูเธอมานั้นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด
ทำไมน่ะหรือ?
ก็ไอ้เรื่องการแต่งงานบ้าๆ นั่น แท้จริงแล้วมันไม่ได้เกิดจากการตกลงปลงใจของเธอเลยสักนิดนี่นา!
ทำเอาเธอที่ผิดหวังจากคำพร่ำสอนของบิดาต้องระเห็จระเหินมาพักใจที่บ้านพักตากอากาศในชนบทของจังหวัดทางภาคกลางตอนบนเพียงลำพัง หยดน้ำตามากมายไหลออกจากดวงตาคู่สวยเป็นระลอกเมื่อคิดวกวนถึงคำพูดของคนเป็นพ่อที่ประกาศกร้าว...
‘ถ้าแกไม่ยอมแต่งกับผู้ชายที่ฉันหาให้ แกก็ออกจากบ้านนี้ไป แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่ออีก!’
เป็นการทะเลาะกันที่รุนแรงมากเสียด้วยล่ะ เพราะนอกจากหยาดฟ้าจะไม่ยอมรับการบังคับของบิดาแล้ว เธอยังท้าทายด้วยการออกจากบ้านมาตามคำสั่งของบิดา และไม่คิดจะหวนกลับคืนไปที่บ้านหลังใหญ่ชานเมืองกรุงเทพฯ อีกตลอดชีวิต!
ทว่าเด็กนักเรียนนอกที่เพิ่งจะเรียนจบและกลับไทยมาอย่างเธอก็ไม่รู้จะไปที่ไหน ญาติคนอื่นๆ ก็ไม่สนิทมากพอที่จะไปขอพักอาศัยอยู่ด้วย เธอจึงตัดสินใจเลือกบ้านพักตากอากาศที่ครอบครัวไม่ค่อยได้มาอยู่เป็นที่พักพิงชั่วคราวระหว่างที่รอให้อารมณ์เดือดดาลและปัญหาระหว่างเธอกับพ่อคลี่คลายลง
แต่เอาล่ะ จะขอย้อนความกันหน่อย เผื่อจะยังไม่เข้าใจที่มาที่ไปว่าเหตุใดบิดาของหญิงสาวถึงได้หาผู้ชายมาประเคนให้เธอถึงที่ขนาดนี้
หยาดฟ้า หรือ ‘คุณหนูหยาดฟ้า’ เธอเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของเศรษฐีที่ดินรายหนึ่งที่ครอบครองที่ดินทองมากมาย ทำให้บิดาหวงแหนเธอมากประหนึ่งไข่ในหิน เมื่อครั้งที่ส่งเธอไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอกเมืองนา เขาก็กังวลเหลือเกินว่าบุตรสาวจะไปคว้าเอาฝรั่งมังค่ามาเป็นแฟน โชคดีที่หยาดฟ้าเป็นคนคงแก่เรียน กลับมาอย่างไร้พันธะให้ได้สบายใจ แต่เป็นบิดานี่ล่ะที่สร้างพันธะให้กับเธอเสียเอง ด้วยเห็นว่าผู้ชายหน้าไหนก็ไม่เหมาะสมที่จะครองคู่กับเธอ นอกเสียจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่เขาจัดหามาให้
หยาดฟ้าไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย กระทั่งชื่อก็ไม่เคยได้ยิน อันที่จริงจะต้องบอกว่าเธอไม่สนใจจะฟังและจำมากกว่า เพราะเธอคัดค้านหัวชนฝาเมื่อคนเป็นพ่อหมายมั่นปั้นมือจะจับเธอคลุมถุงชน
‘นี่มันสมัยไหนแล้วคะพ่อ พ่อยังจะจับฟ้าคลุมถุงชนอีกเหรอ’
‘เพราะเป็นสมัยนี้ยังไงเล่า ฉันถึงจะต้องเฟ้นหาคนดีๆ ให้แก อยากแต่งไปแล้วน้ำตาเช็ดหัวเข่า เป็นทุกข์เป็นโศกเพราะมีผัวแย่ๆ หรือไง’
‘แต่ฟ้าไม่ได้รักเขา แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็นเลย’
‘เรื่องนั้นจิ๊บจ๊อย ฉันนัดให้แกได้เจอเขาได้ ส่วนเรื่องรัก...แต่งๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเองแหละ’
แต่งๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง...หยาดฟ้ารังเกียจประโยคนี้ที่สุด มันเป็นประโยคที่เธอไม่เคยเชื่อเลยว่ามันจะเป็นความจริง และเพราะไม่เชื่อ เธอจึงได้โต้เถียงกับบิดาคอเป็นเอ็น จากการโต้เถียงกันไปมาก็ลุกลามใหญ่โตเมื่อหญิงสาวไม่มีท่าทีอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย ทำให้บิดาของเธอต้องตวาดกร้าวด้วยความเหลืออด
‘หยาดฟ้า! ฉันเลี้ยงแกมา มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก แต่ครั้งนี้แกไม่รับ ก็ถือว่าแกโง่เต็มทนแล้วรู้ตัวไหม เสียแรงที่ส่งไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา!’
‘แต่มันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับการที่พ่อจะจับฟ้าคลุมถุงชนเลยนะคะ ไม่รู้ล่ะ ยังไงฟ้าก็ไม่แต่ง’
‘ถ้าแกไม่ยอมแต่งกับผู้ชายที่ฉันหาให้ แกก็ออกจากบ้านนี้ไป แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่ออีก!’
และนั่น...ก็เป็นประโยคสุดท้ายที่หยาดฟ้าได้ยินจากปากคนเป็นพ่อ
หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตา ไม่ใคร่สนใจสิ่งที่รบกวนจิตใจอีกต่อไป
เฮอะ พ่อนะพ่อ มาตัดพ่อตัดลูกกันเรื่องนี้หรือ? ก็ได้ แล้วจะได้รู้ว่าหยาดฟ้าไม่ใช่ตุ๊กตาที่พ่อจะจับแต่งตัวได้ตามใจ!
หญิงสาวหมายมั่นปั้นมือว่าจะมาตั้งหลักยังสถานที่แห่งนี้ก่อน จากนั้นก็จะหางานทำ แล้วออกไปใช้ชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเองตามประสาสาวมั่นสมัยใหม่...ที่เธอคิดเอาเองว่าเธอเป็นสาวมั่น ทั้งที่จริงแล้ว เธอไม่ได้เป็นคนมั่นใจในตัวเองอะไรสักเท่าไรเลย ค่อนไปทางขี้กลัวด้วยซ้ำ แต่แปลก...เวลาที่ถูกท้าทาย เธอมักจะตัดสินใจหุนหันพลันแล่นทุกที ครั้งนี้ก็เช่นกันที่เธอพรวดพราดออกจากบ้านเพื่อประชดพ่อ
เป็นการกระทำที่...โง่เง่า
หญิงสาวรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ เหมือนกัน แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อออกมาแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป ถอยหลังกลับไปก็คงมีแต่ถูกจับแต่งงานเท่านั้น
เธอนั่งฟุบหน้านิ่งอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัวเงียบๆ จนกระทั่งเสียงท้องร้องจ๊อกขึ้นมา หญิงสาวถึงได้ขยับตัวไปเปิดประตูตู้เย็นเพื่อดูว่าพอจะมีอะไรมาประทังความหิวได้บ้าง
ไม่มี...ไม่มีเลย
บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานาน ต่อให้มีแม่บ้านมาทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้ง แต่ก็ใช่ว่าแม่บ้านจะซื้ออาหารมาตุนไว้ให้เสียหน่อย ทำให้หยาดฟ้าจำต้องคว้าเอากุญแจรถยนต์มาถือไว้ในมือ แล้วตรงออกไปนอกบ้านเพื่อที่จะไปหาอะไรกิน
แต่การหาของกินในชนบทแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไรนัก เพราะบ้านพักตากอากาศของครอบครัวเธออยู่ในพื้นที่ห่างไกลชุมชนหลายกิโลเมตร ที่ใกล้ที่สุดก็คือโรงสีข้าวขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดไปอีกไม่กี่สิบไร่ ร้ายกว่านั้นคือหยาดฟ้าไม่รู้ว่าเมื่อเข้าเมืองไปแล้ว จะไปหาซื้อข้าวของจากที่ไหน จึงตัดสินใจที่จะขับรถไปยังโรงสีข้าวก่อนเพื่อจะถามไถ่คนที่นั่นเป็นข้อมูล
ใช้เวลาไม่นานก็ขับถึง ร่างสะโอดสะองที่หย่อนตัวลงจากรถนั้นเรียกสายตาของคนงานที่กำลังแบกกระสอบข้าวเปลือกให้หันมามองเป็นตาเดียว คิดกันไปในทางเดียวด้วยว่าทำไมจู่ๆ โรงสีแห่งนี้ก็มี ‘นางฟ้า’ เหาะจากสวรรค์ลงมาสถิตบนโลกมนุษย์
แต่หยาดฟ้าไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้นเลย หรือบางที...เธออาจจะชินไปแล้วก็ได้ เพราะชื่อว่าหยาดฟ้าของเธอนั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ทว่าได้มาเพราะเธอมีดวงหน้าที่งดงามหยาดฟ้ามาดินตั้งแต่เยาว์วัย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้บิดารักเธอดั่งไข่ในหิน
หญิงสาวเดินผ่านสายตาคนงานพวกนั้นไปข้างใน ก่อนจะชะเง้อชะแง้อยู่บริเวณหน้าออฟฟิศห้องกระจกราวกับว่ามองหาใคร
“มาหาใครเหรอครับ”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อหยาดฟ้าหันไปมองก็พบว่าเป็นเสียงของ...เอ่อ...คนงานหนุ่มที่เหงื่อโทรมกายเลยทีเดียวล่ะ สงสัยคงเพราะไปแบกกระสอบข้าวเปลือกมา
“ถ้าจะมาหาเถ้าแก่ เถ้าแก่ไม่อยู่หรอกนะครับ ออกไปทำธุระ ไม่กลับเข้ามาแล้ว คงต้องมาพรุ่งนี้”
เขาว่าต่อเมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร หยาดฟ้าจึงรีบโบกมือแล้วเปิดปาก
“ไม่ได้มาหาใครหรอกค่ะ ฉันแค่จะมาถามอะไรสักหน่อยเฉยๆ”
เรียวคิ้วเข้มของชายหนุ่มคนนั้นเลิกขึ้นสูง “ถามอะไรเหรอครับ”
“ก็...มาถามว่าแถวไหนมีของกินขายบ้างน่ะค่ะ”
คำถามแปลกประหลาดนี้ทำให้คนฟังย่นคิ้วลงมาทันควัน พร้อมกับยกหลังมือขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าคร้าม
“ของกินมีขายเยอะแยะครับคุณ ในตลาดน่ะ ขับรถเข้าเขตชุมชนไปก็จะมีตลาดใหญ่อยู่ เป็นตลาดเย็น กับข้าวขายเพียบ ถ้าจะซื้อวัตถุดิบไปทำกับข้าว ผมก็แนะนำตลาดเช้า แต่คงต้องไปพรุ่งนี้ เปิดตั้งแต่ตีสี่ตีห้า”
เขาว่าส่งๆ หยาดฟ้ายกมือขึ้นพนมไหว้ขอบคุณเขา
“ขอบคุณมากค่ะ พอดีฉันไม่ค่อยได้มาอยู่ที่นี่ ก็เลยไม่คุ้นเส้นทาง”
“คุณเพิ่งมาอยู่?”
เขาเดาเอาจากคำพูดของเธอ ทำให้หยาดฟ้าพยักหน้า
“ค่ะ เพิ่งมาอยู่วันนี้วันแรกเลย”
เมื่อมนุษย์เพศชายเกิดการวิวัฒนาการทางร่างกาย ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงสามารถตั้งท้องได้ และเพราะความเมาชนิดหลุดโลกในคืนวันนั้น ‘นภัทร’ เดือนคณะสุดหล่อจึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงว่าตัวเองจัดการรวบหัวรวบหางลากหลืบคณะอย่าง ‘สิงหา’ ไปมี one night stand เป็นที่เรียบร้อย เรื่องควรจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่จบเมื่อชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้น นภัทรหายตัวไป กลับมาอีกครั้งพร้อมกับข่าวลือประหลาดๆ ก่อนสิงหาจะพบว่าต้นเหตุของข่าวลือคือเด็กหญิงตัวน้อยอย่าง ‘น้องณดา’ ที่สิงหาสงสัยเหลือเกินว่าจะเป็นลูกของเขา “ให้เรียกนายว่าพ่อไม่ได้หรอก น้องณดาไม่ได้ลูกของนาย” “งั้นเรียกป๊ะป๋าก็ได้” “ไม่ได้” “แด๊ดดี้” “นี่...พอเลย” “ดาดา” คำเรียกที่หลุดจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยทำเอาคุณพ่อกำมะลอยิ้มหน้าบาน ปฏิบัติการทวงคืนความเป็นพ่อต้องมา ต่อให้นภัทรไม่ยอมรับ งั้นสิงหาก็ขอเข้าทางลูกสาวตัวจิ๋วก็แล้วกัน! รับผมเป็นพ่อของลูกเถอะนะครับ!
เพราะไปตีกับเกรียนคีย์บอร์ดที่บังอาจเอานิยายเธอมาวิจารณ์หยาบๆ คายๆ ว่างานเธอเชิดชูระบอบปิตาธิปไตย ตามมาด้วยการดูแคลนเหยียดหยามทางเพศสภาพอีกหลายอย่าง ทำเอา ‘อาคิรา’ นักเขียนนิยายประโลมโลกถึงกับเลือดเฟมินิสต์ในกายเดือดพล่าน กล้าดียังไงมากล่าวหาเธออย่างนี้ งานเธอถึงจะเป็นงานประโลมโลก แต่ใช่ว่าจะเชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่สักหน่อย! ต้องตามไปตบตีจนกว่าจะชนะ เถียงแพ้รอบนั้น แต่คนไม่แพ้ ตามหาแอคเคาทน์ของคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘เวนไตย’ ไปจนเจอเข้ากับตอจังเบ้อเร่อ โดยหารู้ไม่ว่าเวนไตยคนนี้ หาใช่ไอ้เวรตะไลที่ประนามหยามเหยียดแต่อย่างใดไม่ ทว่าเป็นบรรณาธิการหนุ่มผู้คว่ำหวอดในวงการวรรณกรรมสร้างสรรค์สังคมต่างหาก “ฉันจะทำให้ดูว่างานเขียนฉันมันไม่ได้เชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่!” “งั้นก็ลองเขียนมาดู ผมอยากอ่านเหมือนกัน อยากรู้ว่านักเขียนอย่างคุณจะทำได้ดีสักกี่น้ำ” โดนท้าทายมาถึงกับปรี๊ด คอยดูเถอะ เธอจะเอารางวัลมาฟาดหน้าไอ้เวรตะไลนี่ให้ได้เลย!
เพราะอกหักจากคนที่แอบชอบมานาน ทำให้ ‘ภีม’ พาตัวเองไปในที่อโคจรเพื่อที่จะระบายความเศร้าเสียใจออกไปบ้าง หากทว่าในคืนนั้น เขากลับได้พบกับชายแปลกหน้าอย่าง ‘สุดเขต’ ที่บังเอิญเข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งสองเกือบจะลงเอยกันด้วยความสัมพันธ์ข้ามคืน หรือที่เรียกกันว่า One night stand หากทว่าก็เกิดเรื่องวุ่นๆ เสียก่อน ก่อนที่ภีมจะพบว่าผู้ชายที่เขาได้เจอในคืนนั้น เป็นคนคนเดียวกับคนที่เขาแอบชอบตกหลุมรัก ให้ตาย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการ ‘ลัก’ ความรักของภีมก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสุดเขตไม่สามารถลืมความน่ารักของภีมลงได้เลย เขาต้องเอามาให้ได้ ทั้งตัวภีม และความรักของภีม จะเอามาให้ได้ทั้งหมดเลยคอยดู!
แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจ ทว่าปีศาจกวางอย่าง ‘ลู่ลู่’ กลับหาได้พิสมัยการระรานมนุษย์สักเท่าไรนัก สะอาดบริสุทธิ์เสียจนแทบจะลุแก่ตบะแล้ว ทว่า... ชีวิตของเขาก็หาได้สงบสุขอีกต่อไปเมื่อนักพรตปราบปีศาจอย่าง ‘เยี่ยนเฉิน’ หนีตายจากการถูกล่าเพราะดันไปต้มตุ๋นชาวบ้านวิ่งทะเล่อทะล่ามาสลบอยู่หน้าถ้ำ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็หาได้ไร้น้ำใจนัก มอบไมตรีช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน หากแต่เยี่ยนเฉินกลับตอบแทนบุญคุณด้วยการทำให้ชีวิตของลู่ลู่แปดเปื้อนด้วยมลทิน บีบบังคับให้ปีศาจกวางน้อยรวมหัวในแผนต้มตุ๋นชาวบ้านเพื่อเอาคืน! นักพรตจอมกะล่อนผงาด ใช้ชีวิตอย่างสำราญ ขณะที่ปีศาจน้อยถูกจิกหัวใช้ให้ไประรานชาวบ้านไม่เว้นวัน อะไรไม่ว่า เยี่ยนฉินยังขยันลูบหางเล็กๆ ของเขาเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรือไงว่าตรงนั้นน่ะ...มะ...มัน... ...ทำให้ตัวร้อนผะผ่าวนะ! ต้องมีสักวันที่พลั้งเผลอไปมากกว่านี้แน่ สวรรค์! ลู่ลู่ผู้นี้จะหลั่งน้ำตาเป็นสายโลหิตแล้ว!
หากผู้ใดเชื่อว่าทะเลทรายผืนนี้โหดร้าย ผู้นั้นย่อมเชื่อในสิ่งที่ผิด เพราะสิ่งที่โหดร้ายกว่าผืนทะเลทรายแห้งแล้ง คือกองกำลังโจรทะเลทรายของ 'อัลมิราน' ผู้นี้ต่างหาก โหดร้าย...ชั่วช้า...เลวสามานย์ ดูเหมือนจะเป็นคำสร้อยที่พ่วงท้ายชื่อของโจรหนุ่มนามเลื่องลือไปเสียแล้ว แต่เขาจะสนใจสิ่งใดกัน ในเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าชั่ว เขาก็จะเป็นคนชั่วให้สมดั่งที่ถูกบีบคั้น เพียงเพื่อให้ได้อัญมณีแห่งสุลต่านมาครอบครอง เขาก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว หากแต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์จะนำพาให้เขาพบกับอัญมณีมีชีวิตแห่งทะเลทราย...'จามิล' นักระบำร่อนเร่ผู้มีเสน่ห์เย้ายวน เพียงได้ชมระบำทะเลทรายของจามิลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หัวใจของอัลมิรานก็ถูกครอบครองไปสิ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังก้าวเข้าสู่หุบเหวอเวจีแสนหวานที่จะฉุดคร่าชีวิตเขาไปเสียแล้ว...
เพราะเจอกับทาร์ซานหนุ่มในฝูงลิงชิมแปนซีโดยบังเอิญ คณะสำรวจจึงมีมติเห็นชอบให้ศึกษาพฤติกรรมของ 'ลีโอ' อย่างละเอียด และหน้าที่ผู้สังเกตการณ์จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 'จรินทร์' นักสัตววิทยาหนุ่มน้องใหม่ไฟแรงของคณะ ดังนั้นบันทึกระหว่างเขาและคุณทาร์ซานจึงได้เริ่มต้นขึ้น... "กิน?" "ไม่ลีโอ อันนั้นกินไม่ได้" จรินทร์ชี้ไปที่ปากกาในมือของลีโอ ลีโอเปลี่ยนไปคว้าเอากระดาษทิชชูขึ้นมา "กิน?" "นั่นก็กินไม่ได้" ถูกสั่งห้าม ลีโอก็ขยับมาคว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่จรินทร์นุ่งอยู่แล้วเลิกขึ้นสูงจนอะไรต่อมิอะไรโผล่ออกมารับลมเย็น "กิน?" จรินทร์ปรายตามองใบหน้าใสซื่อที่พยักพเยิดไปยังของสงวนของเขา พลันเม้มริมฝีปากไปครู่ก่อนจะว่าออกมา "อันนี้...กินได้" เจ้าป่าเจ้าเขาลงโทษแน่นอน!
“อู้ว… ยังเป็นสีชมพูจริงๆ… ” เสี่ยรุตน์หมายถึงหัวนมที่ยังไม่เคยต้องมือและปากลิ้นของชายใดมาก่อน รีบกดริมฝีปากครอบดูดลนลานราวกับไม่เคยเจอมาก่อน “อื๊อออ… ” น้ำหวานพยายามข่มกลั้นเสียงร้อง ทว่ามันยิ่งทำให้เสี่ยรุตน์ชอบใจ กดใบหน้าซุกไซ้เต้าเนื้อพร้อมกับวนลิ้นรัดเลียรอบเม็ดทับทิมสีชมพู ชูชันขึ้นมาด้วยความสยิว กะซวกดูดลงมาถึงวงป้านลานหัวนมสีเนื้อ จ๊วบ… จ๊วบ… จ๊วบ… จ๊วบ… เสียงดูดเลียลนลาน ทำเอาเจ้าของเต้าเนื้อรู้สึกเสียวซ่าน สองขาสั่นเกร็งแทบยืนไม่ไม่อยู่
เล่อซานเป็นคนใบ้ เธอถูกสามีละเลยมาเป็นเวลาห้าปี ม้แต่เธอตั้งท้องยังถูกแม่สามาีทำร้ายจนแท้งลูก หลังจากการหย่าร้าง สามีของเธอก็ประกาศหมั้นกับคนรักในใจของเขาทันที เธอกุมท้องที่นูนเล็กน้อยไว้ ในที่สุดก็ได้สติและเข้าใจว่าเขาไม่เคยจริงจังกับเธอมาก่อน... เธอหันหลังจากไปอย่างเด็ดขาด และทั้งสองก็กลายเป็นคนแปลกหน้า หลังจากที่เธอจากไป ชายคนนั้นก็ตามหาเธอไปทั่วโลก เมื่อพวกเขาได้พบกันอีกครั้ง เธอก็รักคนอื่นไปแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาถามอย่างถ่อมตัวว่า "ได้โปรดอย่าไป..." ทว่าคำแรกที่เธอพูดก็คือให้เขาไปให้พ้น!
ซ่งหยุนหยุนแต่งงานไปแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่เคยปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนจบเลย ด้วยความโกรธหนัก เธอจึงมอบกายให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่งแทนในคืนการแต่งงานนั้น หลังจากวันนั้น เธอก็ถูกชายคนนั้นจับตาเข้า...
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
จางลี่สตรีเกิดมาพร้อมกับความเกลียดชัง บิดามารดาไม่รัก พี่สาวรังเกียจ รอบด้านทำร้ายร่างกาย ชาติภพนี้นางถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทำร้ายจนตาย เมื่อเกิดพบชาติใหม่อีกครั้ง นางก็ขอตอบแทบพวกเขาอย่างสาสม อย่าคิดว่าชาติภพนี้พวกเขาจะได้อยู่สุขสบาย นางในชาตินี้จะถนอมพวกเขาเป็นอย่างดี “ข้าไม่ใช่คนดี ท่านอย่าได้หวังว่าข้าจะดีเหมือนคนอื่น หากท่านปรารถนา พบสตรีที่ดีก็เชิญไปหาที่อื่น” บุรุษปริศนาที่ติดตามนางจะเลือกเส้นทางไหน แล้วนางจะตอบแทนพวกเขาเหล่านั้นเช่นไร รอพวกเขาหาคำตอบ แต่บอกได้เลยว่านางหาได้ใจดีเหมือนชาติที่แล้วไม่ “ข้าเตือนท่านแล้ว ว่าอย่าได้หวังว่าข้าจะเป็นคนดี”
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"