“ฉะ...ฉันไม่พร้อม” บอกว่าไม่พร้อม ผลลัพธ์คงจะดีกว่าคำว่า ‘ไม่ยอม’ ล่ะมัง “ไม่พร้อมก็ไม่พร้อม แต่คืนนี้พี่จะค้างกับออม” นอนด้วยกันน่ะนะ...หล่อนไม่คิดว่าเขาจะแค่นอนเฉยๆ แน่! “กลับห้องของคุณไปเถอะ ฉันขอร้อง” “ออมคิดจะทำอะไร” เขาคาดคั้นถาม สายตาที่ใช้มองเธอนั้นจ้องเขม็ง “คิดจะหนีไปจากพี่งั้นสิ นัดใครไว้ที่ไหนหรือมันจะมาหาออมที่นี่” “ฉันไม่ได้นัดใครทั้งนั้น ออกไปเลยนะออกไป” หล่อนทำท่าจะพุ่งเข้ามาผลักเขาอยู่รอมร่อ “ฉันๆๆ พี่รู้สึกไม่คุ้น ฟังไม่รื่นหู ไม่อยากจะอ้อนพี่แล้วสิ ก็ไหนแต่ก่อนชอบพูดนัก ออมอย่างนั้น ออมอย่างนี้” เขายวนหล่อนเล่นเมื่อเห็นหล่อนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “ไม่คุ้นก็เรื่องของคุณ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก” ศิดิตถ์ส่ายหน้า “ไม่ยุ่งไม่ได้ ผัวเมียกันจะไม่ให้ยุ่งกันก็คงแปลก”
นี่คือบ้านที่หล่อนต้องใช้ชีวิตอยู่จริงๆ น่ะเหรอ
ร่างบอบบางที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลหลังพักฟื้นมาร่วมเดือนกวาดสายตามองรอบห้องนอนส่วนตัวที่สาวใช้รับกระเป๋าแล้วหิ้วเดินนำขึ้นมายังห้องที่หล่อนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
หล่อนตายแล้วเกิดใหม่เพราะอุบัติเหตุเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เกิดใหม่ในร่างของผู้หญิงอายุน้อยซึ่งอยู่ในวัยนักศึกษา
ถึงตอนนี้หล่อนยังไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องราวพิลึกพิลั่นนี้ได้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงเรื่องที่เคยอ่านจากหนังสือนิยายหรือเห็นจากละครโทรทัศน์
ตัวตนแท้จริงของหล่อนสลายเป็นเถ้าไปแล้วเพราะญาติที่ต่างจังหวัดมารับร่างไร้ลมหายใจพร้อมเงินชดเชยก้อนโตจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน จบชีวิตเด็กกำพร้าที่เคยแต่เป็นกาฝากของเหล่าญาติทั้งทางฝั่งพ่อกับแม่
‘หลานสาวตายทั้งคน ลุงป้าน้าอาแย่งกันรุมทึ้งค่าทำขวัญอย่างกับแร้งลง’
คือคำค่อนขอดจากปากผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งที่หล่อนพบและรับรู้ว่าเธอคือคุณป้าของ ‘น้องออม หรือ อันริมา’ เจ้าของร่างสะโอดสะองที่ยามนี้มีวิญญาณของหญิงสาวอายุสามสิบสิงสู่อยู่
สรุปแล้วหล่อนลัดขั้นตอนการเกิดใหม่หรือว่าหล่อนเป็นผีวิญญาณแย่งชิงการมีชีวิตอยู่ของคนอื่นกันแน่...หญิงสาวพยายามทำความเข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ฟื้นขึ้นมาบนเตียงของโรงพยาบาลเอกชนแล้วพบว่าญาติพี่น้องที่รายล้อมล้วนเป็นคนไม่เคยพบหน้าคร่าตากันมาก่อน สักครั้งสักหนก็ไม่เคย
‘หรือสมองยัยออมจะกระทบกระเทือน’ ป้าชะเอมญาติผู้ใหญ่ของอันริมาลงความเห็นก่อนจะสะอื้นฮักเป็นวรรคเป็นเวร ร้อนถึงพี่ชายของน้องออมที่ชื่ออาร์มต้องเข้ามาปลอบ
‘ยัยออมเพิ่งฟื้นนะครับป้าเอม ให้เวลายัยออมอีกหน่อยจะดีกว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ใช่เบาๆ มีคนตายตั้งสองคน’
‘ใครตาย...’ หล่อนได้ยินเสียงไม่คุ้นหูถามออกไป เสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากที่ยังบวมแตกเพราะแรงกระแทกจากอุบัติเหตุ
‘เอ่อ...’ หญิงสูงวัยทำท่าทางอึกอัก หันไปสบตากับหลานชาย แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีชายหญิงคู่หนึ่งควงแขนกันเข้ามาในห้อง หลังจากพบหน้ากันในครั้งที่สอง หล่อนก็จำได้ว่าทั้งคู่คือบิดาและมารดาเลี้ยงของอันริมา
‘ไม้กับผู้หญิงที่เขาขับรถชนตายไงล่ะ เธอชื่อจันทร์ๆ อะไรสักอย่าง’ คำพูดและท่าทีเมื่อเอ่ยชื่อหญิงเคราะห์ร้ายรายนั้นราวกับเอ่ยถึงมดปลวกไร้ค่าที่เป็นการเสียเวลาแม้จะจดจำ
‘ไม่พูดสักคำหล่อนจะตายมั้ย’ ป้าชะเอมตวาดแว้ด ด้วยเข้าใจไปเองว่าการตายของคนชื่อไม้กำลังทำให้หลานสาวของตนเสียขวัญ
‘จันทร์เมษา...’ เจ้าของชื่อครางเสียงแผ่วเบา ไม่สนใจว่าขณะนั้นสตรีต่างวัยสองคนกำลังเริ่มต่อปากคำกันไปมา
จันทร์เมษาจำได้เพียงว่าหลังจากนั้นหล่อนกรีดร้องอย่างเสียขวัญ และพยายามจะลงจากเตียง หล่อนจึงถูกบิดาและพี่ชายเจ้าของร่างรวบตัวไว้ ไม่นานนักก็มีพยาบาลกรูกันเข้ามาในห้อง หลังจากถูกให้ยาเพิ่ม สติการรับรู้ของหล่อนก็ดับวูบไปอีกหน
ทุกครั้งที่รู้สึกตัว หล่อนจะร้องขอกระจก และก็พบความจริงว่าตัวเองไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะอยู่ตัวคนเดียวมานานหลายปีตั้งแต่ ‘ถูกไล่’ ออกจากบ้านที่ต่างจังหวัด การเปลี่ยนแปลงที่มาอย่างปัจจุบันทันด่วนทำให้หล่อนเก็บงำอารมณ์ ไม่ตีโพย ตีพาย และพยายามควบคุมสติให้รู้เท่าทันเหตุการณ์ปัจจุบันเพื่อจะหาคำตอบให้ได้ว่า เหตุใดตนเองถึงได้มาอยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้
ทุกๆ วันในโรงพยาบาล หล่อนจะค่อยๆ ซึมซับเรื่องราวจากปากป้าชะเอมและญาติๆ ที่มาเยี่ยม จึงได้รู้ว่าเพื่อนผู้ชายของ อันริมาเป็นคนขับรถยนต์คันที่พุ่งชนหล่อนขณะเดินร้องไห้อยู่ริมถนน
ใช่...ตอนนั้นหล่อนกำลังร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก ก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง แล้วสติก็ดับวูบ กระทั่งความเจ็บปวดค่อยทวีขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างสะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยาระหว่างพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลในสามสี่วันแรก
“คุณออม...คุณออมคะ” เสียงของสาวใช้ชื่อมดเรียกสติของจันทร์เมษาให้คืนกลับมา
“เอ่อ...มีอะไรหรือจ๊ะ...มด” หญิงสาวพยายามจดจำรายละเอียดและผู้คนที่เกี่ยวข้องกับอันริมาไว้จนขึ้นใจ เพราะข้ออ้างเรื่องสมองกระทบกระเทือนหลังอุบัติเหตุถ้าถูกหยิบยกมาใช้บ่อยเกินไปก็อาจจะดูมีพิรุธได้
มดมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่คุณหนูขี้เหวี่ยงขี้วีนพูดจ๊ะจ๋ากับหล่อน ผิดกับแต่ก่อนที่ชอบกระชากเสียงใส่ เรียกจิกหัวว่านังมด ไม่ก็อีมด
“คุณออมจะลงไปกินข้าวกลางวันข้างล่างหรือให้มดยกมาข้างบนคะ”
จันทร์เมษานิ่งครู่หนึ่งแล้วบอก “ยกข้าวต้มหรือโจ๊กถ้วยนึงมาให้ฉันข้างบนก็พอ”
หล่อนอยากอยู่เงียบๆ ใช้เวลาคิดและวางแผนการใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า
รับคำสั่งแล้ว มดก็เดินออกจากห้องไป หญิงสาวเจ้าของห้องคนใหม่เริ่มเดินสำรวจห้องนอนที่ใหญ่เป็นสองเท่าของห้องเช่าในอดีตที่มีห้องน้ำ มุมวางที่นอน มุมทำอาหารเล็กๆ และมุมตากผ้ารีดผ้าในตัวเสร็จสรรพ
หลังบานตู้เสือผ้ากรุกระจกตลอดแนวสูงจรดเพดานมีเสื้อผ้าสำหรับใส่ทุกฤดูและหลากสีสันอัดแน่นอยู่เต็มตู้ บนโต๊ะกระจกเครื่องแป้งก็ไม่ต่างกัน เครื่องสำอางที่วางอยู่บนนั้นล้วนแต่เป็นแบรนด์ดังราคาสูงลิ่ว และหล่อนในอดีตก็ไม่เคยคิดจะเฉียดกายเข้าใกล้ของฟุ่มเฟือยเหล่านี้ด้วยว่าเงินเดือนพนักงานบริษัทจะใช้แต่ละวันช่างกระเบียดกระเสียรเต็มที
จันทร์เมษาหมดแรงกับความเหลื่อมล้ำที่พบเจอแบบกะทันหัน หญิงสาวไม่ได้เดินเข้าไปสำรวจภายในห้องน้ำ หล่อนทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียง มันคือเตียงสี่เสาสุดหรูที่หล่อนเคยเห็นตาม โชว์รูมขายเฟอร์นิเจอร์ ละครหลังข่าวและหน้านิตยสาร
รสนิยมของเจ้าของห้องเดิมกับหล่อนดูผิดกันลิบลับ หล่อนที่เป็นยาจกวิญญาณกลับเข้ามาอยู่ในร่างลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่ง
ไม่ยุติธรรมทั้งกับตัวหล่อนและเจ้าของร่างเดิม แต่หล่อนจะทำอย่างไรได้ พูดออกไปคนเขาจะหาว่าบ้า หากร่ำร้องอยากไปพบพระพบคนทรงเจ้า เพื่อให้พวกเขาช่วยคลี่คลายเรื่องประหลาดนี้คนอื่นก็จะหาว่างมงาย อีกทั้งแต่ก่อนแต่ไรตัวหล่อนก็ไม่เคยเชื่อถือคนจำพวกนั้น ด้วยคิดว่าเป็นคนต้มตุ๋นหลอกลวง หล่อนเชื่อแต่เพียงว่าทำดีต้องได้ดี
วิญญาณหล่อนอยู่ในร่างนี้ แล้วหญิงสาวที่ชื่ออันริมาล่ะ น้องออมตายวิญญาณแตกดับไปแล้วหรือเป็นผีเร่ร่อนรอวันช่วงชิงร่างของเธอคืน
ยิ่งคิด จันทร์เมษายิ่งปวดหัวจี๊ด หล่อนจะสามารถใช้ชีวิตในร่างคนอื่นได้อย่างไรไม่ให้รู้สึกผิด
หล่อนยังไม่อยากตายไปกับอุบัติเหตุที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ แต่การมีชีวิตในร่างของคนอื่น การต้องแสดงเป็นคนอื่นนับจากวันนี้ไปหล่อนก็ไม่ปรารถนามันเลยสักนิด!
เพราะสัมพันธ์สวาทจากแผนลวง เขาผู้ไร้ซึ่งความรัก จึงเกลียดชังในสิ่งที่เธอไม่ได้ก่อ ตราหน้าด่าทอดั่งหญิงแพศยาไร้ค่า เธอจำสั่งหัวใจให้ด้านชา เพียงฝืนทนอยู่ทดแทนคุณ
ถานเจ๋อบอกว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเขาจะไปเฟิงโจว เฉวียนโจวและถายโจว “เฟิงโจว...” ชายหนุ่มพยักหน้า “ข้าจะไปดูเฉิงหยางปิงเสียหน่อย” สือจิ่วมือกำลังพับผ้า สายตามองอาจื้อที่นั่งเล่นกลองป๋องแป๋งอยู่บนตักอาเจ๋อ “ดูเฉยๆ นะ อย่าเข้าไปยุ่งกับเขา” “กลัวเขาจะทำอะไรข้างั้นรึ เขาไม่รู้จักข้านะ” “ไม่รู้แหละ ถ้าเขาไม่มายุ่งกับเราก่อน ก็ห่างๆ เขาไว้ ข้าไม่อยากให้เจ้าไปดึงดูดเขากลับมาวุ่นวายกับอาจื้ออีก อาจื้อเป็นลูกของข้า” “เป็นลูกข้าด้วย” ถานเจ๋อย้ำ สือจิ่วเห็นถึงความแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น “ตราบใดที่ข้ายังเป็นพระเอกในนิยายเรื่องนี้ ตัวร้ายจะทำอะไรข้าได้” “จัว...ย้าย” เสียงเล็กพูดขึ้นมา คนเป็นพ่อมันเขี้ยวจึงบีบแก้มเด้งของเด็กชายพร้อมทำเสียงดึ๋งๆ ไปด้วย มีเสียงฟึดฟัดของเจ้าอ้วนให้ได้ยิน มือเล็กฟาดกลองป๋องแป๋งใส่เข่าอาเจ๋อไปหนึ่งหน สือจิ่วค้อนพระเอกคนเก่งกับความขี้โอ่ของเขา “ก็ไหนเจ้าบอกว่าพระเอกชื่อจ้าวต่งหมิง” ถานเจ๋อวางอาจื้อบนเตียง มีเขานั่งกั้นไม่ให้ลูกตก ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นนับ “ตอนนี้จ้าวต่งหมิงคงอายุหกขวบเองมั้ง ถ้าเขาเป็นพระเอก เจ้าอ้วนก็ต้องเป็นตัวร้าย มิสู้ข้าแย่งตำแหน่งพระเอกมา ให้เฉิงหยางปิงเป็นตัวร้ายไปเลยยังดีกว่า ส่วนเจ้าก็เป็นนางเอก...ดีไหม”
เมื่อชีวิตและความสาวถูกตีราคาเพียงห้าแสนบาท เดือนอ้ายที่ถูกบังคับขายตัวจึงยอมตกเป็นทาสสวาท มอบความรักและหัวใจให้ผู้เป็นเจ้าของชีวิตเธอ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะตอบแทนเธอกลับ ด้วยความรักไม่ใช่เพียงความใคร่ แต่ถึงแม้เธอจะรักและทำทุกอย่างเพื่อเขามากแค่ไหน ในหัวใจของจักรพัฒน์ เดือนอ้ายก็เป็นได้เพียงนางบำเรอที่หน้าตาคล้ายคนรักเก่า สำหรับเขา เธอเป็นได้แค่เงาของแพรพราว ไม่ใช่วุ้นหรือเดือนอ้ายที่เขารัก
นางหาใช่คณิกา เพราะความเข้าใจผิดจึงเกิดสัมพันธ์สวาทคืนเดียว ก่อกำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขที่คุณชายเช่นเขาไม่เคยรู้ว่ามี ****** นางบังเอิญพบเขาบนถนนระหว่างพาเสี่ยวอวี๋ออกไปข้างนอก บังเอิญพบเขานั่งในร้านใกล้กับแผงขายขนมของนาง บังเอิญที่เขาอยากไปนั่งดูเด็กๆ เล่นกันที่ตลาด บังเอิญมีคนสั่งขนมแป้งทอดของนางตะกร้าใหญ่ และคนที่มารับก็คือเขา บังเอิญกับผีน่ะสิ! ‘ท่านลุงหลางใจดี’ ‘เสี่ยวอวี๋ชอบท่านลุงหลาง’ ‘ท่านลุงหลางบอกจะพาไปเที่ยว’ ‘ท่านลุงหลางบอกว่ารักเสี่ยวอวี๋’
‘คนของอ้าย อ้ายหวง ไม่เป็นที่หนึ่ง ไม่เป็นที่สอง ถ้าพี่เครื้อรักจริง อ้ายต้องเป็นเมียคนเดียวเท่านั้น’ เน้นคำว่า ‘เมีย’ หนักหน่อย เพราะตำแหน่งนี้ไอ้อ้ายคู่ควร! ‘อ้ายดูแลตัวเอง สะอาดตั้งแต่หัวถึงเท้า วันไหนเที่ยวเล่นมอมแมมหน่อยพี่เครื้อก็ยกเว้นนะ’ ‘อืม’ ‘อ้ายรู้จักกาลเทศะ มีน้ำใจ อันนี้พี่เครื้อชมเองบ่อยๆ ยืดได้ใช่มะ’ ‘ได้’ ‘อ้ายซักล้างกวาดถูทำความสะอาดบ้านได้ งานช่างก็ทำคล่อง กับข้าวก็ทำเป็น ถ้ามีของสดในตู้เย็น ยังไงก็ต้องได้กับไว้กินข้าวสักจาน เนี่ย...ดีพร้อมทุกด้านแบบนี้ ถ้าพี่เครื้อปล่อยอ้ายหลุดมือ จะต้องมีคนบอกว่าพี่เครื้อน่ะ...โงว่วววว’ ‘ครับๆ...พี่จะไม่โงว่ววว น้องอ้ายต้องเป็นเมียพี่เครื้อคนเดียวเท่านั้น’
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง ฟู่หนานเซียวก็ขจัดความหวาดระแวงและความเย่อหยิ่งให้หมดแล้ว และกอดเมิ่งชิงหนิงอย่างแน่น "กลับมาอยู่กับผมดีมั้ย?" เธอเคยเป็นเลขาของเขา และเป็นคู่นอนของเขาในตอนกลางคืนด้วย ใช้ชีวิตแบบนี้กินเวลาสามปี เมิ่งชิงหนิงทำตามที่เขาบอกโดยตลอด ราวกับสัตว์เลี้ยงที่ว่าง่าย จนกระทั่งฟู่หนานเซียวประกาศว่าเขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น เธอจึงตัดสินใจให้พ้นจากความรักที่ไร้ค่าของตนเองและเตรียมจะจากไป แต่ใครจะไปรู้ว่า มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพัวพันของเขา การตั้งครรภ์ของเธอ และความโลภของแม่เธอค่อยๆ ผลักเธอลงสู่นรก สุดท้ายก็โดนทรมานอย่างหนัก เมื่อเธอกลับมาในอีกห้าปีต่อมา เธอก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่งห้าปี
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ