“โรคนี้ รักษาได้อยู่สามวิธีนะ ใช้ยา ผ่าตัดและ... ท้อง” คำตอบของคุณหมอทำให้หญิงสาวเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ “งั้นวิธีสุดท้ายแล้วกันค่ะ...รบกวนคุณหมอด้วยนะคะ"
“โรคนี้ รักษาได้อยู่สามวิธีนะ ใช้ยา ผ่าตัดและ... ท้อง” คำตอบของคุณหมอทำให้หญิงสาวเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ “งั้นวิธีสุดท้ายแล้วกันค่ะ...รบกวนคุณหมอด้วยนะคะ"
“เป็นอะไรมาคะเนี่ย” เสียงหวานๆ ของผู้ชายในชุดกาวน์สีขาวทำให้ใจฉันชื้นขึ้นมานิดหน่อย ฉันนั่งตัวงออยู่บนเก้าอี้ในห้องตรวจโรคทั่วไป เป็นเพราะฉันปวดท้องแบบแปลกๆ มาหลายครั้งทั้งในช่วงมีประจำเดือนและก่อนประจำเดือน ตอนแรกฉันก็เข้าใจว่าทุกคนเป็นแบบนี้ แต่ไปๆ มาๆ ฉันว่ามันไม่ใช่ มันมากเกินไปสำหรับการปวดท้องประจำเดือน
หน้าฉันซีดและเต็มไปด้วยเหงื่อ หายใจไม่ถนัดนัก เพราะความรู้สึกปวดมันเริ่มตั้งแต่ท้องน้อยไปยันเรียวขา ราวกับถูกสูบแรงไปซะหมด
“ปวดท้องค่ะหมอ” ฉันทำเสียงเหมือนจะร้องไห้พร้อมกับใช้มือปาดเหงื่อ “ปวดมากเลย แต่ก่อนก็ปวดแค่ตอนประจำเดือนมา ตอนนี้ประจำเดือนไม่มาก็ปวด ปวดลงไปถึงขาเลยค่ะ”
ฉันอธิบายอาการ ก่อนที่นัยน์ตาจะสบกับป้ายชื่อที่ปักด้วยไหมสีแดง ‘พชร อัครโภคิน’ และเป็นคราเดียวกับที่คุณหมอถอดแมสก์ออก อาการปวดท้องของฉันก็หายไปชั่วครู่
“ปวดตรงท้องน้อยเหรอคะ”
ฉันตะลึงกับความเนียนใสของใบหน้าคนตัวสูงกว่า ฉันอยู่แถวนี้มาตั้งหลายปี มีแต่หมอแก่ๆ ไม่ก็หมอรุ่นแม่ แต่ฉันไม่เคยเห็นหมอวัยใสที่หน้าเบ้าเกาหลีขนาดนี้มาก่อน
โอ๊ย น่ารัก หล่อ ฉลาด แถมยังพูดจาคะขา หน้าตาก็ผ่าน ฉันเผลอมองหน้าหมออยู่นาน นานจนหมอสะกิดและเรียกชื่อฉันอีกรอบ
“คนไข้คะ”
“คะ? อ๋อ ใช่ค่ะ”
โอ๊ย ปวดท้องก็ปวด อยากกรี๊ดหมอก็อยาก
“หมอเป็นหมอใหม่ที่นี่เหรอคะ” ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงสงสัย เขายิ้มให้เล็กน้อย
“เปล่าหรอก เป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ปีสุดท้าย เพิ่งมาฝึกที่นี่เอง ถ้าไม่เก่งพอก็ขอโทษด้วยนะ” หมอว่าอย่างถ่อมตัว ก่อนจะโฟกัสที่อาการปวดท้องของฉันอีก จู่ๆ คนตัวสูงก็ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนฉันสะดุ้งเล็กๆ “เหงื่อออกเต็มเลย ปวดมากเลยสิคะ”
“อะ อ๋อ ใช่ค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คงเพราะหน้าหมอใกล้มาก ใกล้กว่านี้ก็จูบกันแล้ว
“คนไข้ชื่อเล่นว่าอะไรนะคะ จะได้เรียกถูก”
“ตะ เตยค่ะ” ฉันตอบก่อนจะเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ใบหน้าร้อนขึ้นมาหนึ่งระดับเพราะได้กลิ่นน้ำหอมของหมอลอยเข้ามาแตะจมูกฉัน และไม่รู้ฉันประสาทหรือเมากลิ่นของมัน ฉันจ้องหมอด้วยสายตาวอนนาบีและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ “เอาเบอร์บ้านกับเบอร์มือถือไปด้วยเลยไหมคะ”
“คะ? อ๋อ คนไข้กรอกเบอร์ไว้ในแฟ้มประวัติแล้วนี่นา” เขาหัวเราะ
“งั้นถ้าหมอมีเบอร์เตยแล้วก็อย่าลืมโทรนะคะ จะรอค่ะ” ฉันมองหมอด้วยสายตามีเลศนัย มือข้างที่ว่างเกลี่ยผมไปทัดหู
“...” หมอย่นคิ้วงง
“หมายถึงโทรมาถามอาการเตยไงคะ แต่ถ้าอยากถามอื่นเตยก็สามารถตอบหมอได้ทุกข้อเลยนะคะ เช่นสถานะโสด...อะไรแบบนี้ค่ะ เตยหมายถึงเตยไม่มีแฟนค่ะ”
“แล้วตอนนี้คนไข้ที่สถานะโสดหายปวดท้องละเหรอคะ” คนตรงหน้าหัวเราะกับท่าทีของฉัน บางทีเพราะหน้านางเบ้าเกาหลีจ๋าเหมือนโอปป้าที่พร้อมเดบิวต์ คงจะเจอลูกไม้อ่อยมาทุกแบบเลยเฉยชากับสิ่งที่ฉันพยายามก็เป็นได้
ฉันอยากตอบว่าเห็นหน้าหมอ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง แต่มันดูจะแรดไปหน่อย ไม่ค่อยเป็นกุลสตรี ฉันเลยเม้มริมฝีปากพลางกดท้องน้อยให้หนักขึ้น
“ยังเลยค่ะ”
“แล้วนอกจากปวดท้องน้อยนี่มีอาการอื่นร่วมด้วยไหมคะ”
“อาการรักค่ะ” ฉันว่าพลางปรายสายตาโปรยสเน่ห์ให้หมอ เล่นทุกมุก เก็บทุกเม็ด บาทสองบาทฉันก็เอา หากแต่หมอก็ไม่เข้าใจฉันอีก
“คะ?”
“ก็มันปวดไปหมดเลยค่ะ ปวดมากสุดก็ท้องน้อย บางทีก็เหมือนท้องอืด ท้องเสีย ท้องไส้แปรปรวนไปหมดเลย... ถ้ามีคนดูแลสักคนก็คงดีนะคะ” ฉันว่าแล้วก็เหล่สายตาไปที่หมออีก
“สงสัยหมอคงต้องขอตรวจเพิ่มหน่อยนะ”
“ถอดเลยไหมคะ” ฉันถามและนั่นทำให้หมอชะงัก
“อะไรนะคะ”
“ก็เวลาตรวจเขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้ากันเหรอคะ” ฉันมองหมอด้วยสายตากรุ้มกริ่ม หุบยิ้มไม่ได้ ดีนะที่เมื่อเช้าฉันเลือกชุดชั้นในวิคตอเรียซีเคร็ตที่ลายน่ารักกุ๊งกิ๊งเหมาะสำหรับการเผด็จศึกมาใส่
“ใจเย็นนะคนไข้ เดี๋ยวหมอเรียกพยาบาลให้นะ” หมอหัวเราะก่อนจะเดินไปเปิดประตูแล้วเรียกเจ๊พยาบาลที่หน้าตาควรเกษียณไปแล้วเข้ามาหาฉัน เธอตีหน้าถมึงทึงเล็กน้อย
“พี่แป๊ว คนไข้จะตรวจภายใน รบกวนจัดการให้หมอหน่อย พาคนไข้ไปเข้าห้องน้ำ ทำอะไรให้เรียบร้อยด้วยนะคะ” เสียงของหมอหวานมาก หวานจนฉันเคลิ้ม แม้แต่อีเจ๊พยาบาลหน้าดุที่ตีหน้าเหมือนจะกินหัวฉันเมื่อกี้ก็อมยิ้มขึ้นมาบางๆ
“ได้ค่ะหมอมีน” เจ๊พยาบาลรับคำ
“อ้าว หมอชื่อเล่นว่ามีนเหรอคะ” ฉันหันมองด้วยสายตาต้องการคำตอบ หมอยิ้มรับ
“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ”
“บังเอิญจังเลยค่ะ”
“หืม ยังไงเหรอคะ มีคนรู้จักชื่อมีนเหรอ” หมอย่นคิ้วนิดหน่อยขณะที่ฉันอมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“อ๋อ ก็วันก่อนแม่ไปหาหมอดูที่หน้าโรงพยาบาลมาค่ะ เค้าบอกว่าเนื้อคู่เตยชื่อมีนค่ะ”
“หมอคะ พี่ว่าคนไข้น่าจะมีอาการเพ้อเจ้อร่วมด้วย ทำเรื่องส่งไปตรวจแผนกจิตเวชด้วยเลยไหมคะ”
อ๊าย อีป้า อย่ามาขัดจินตนาการฉันสิ! ฉันเคืองนะ! แผนกจิตเวชอะไรวะ ฉันปกติดีโว้ย!
ฉันเบ้ปากเล็กๆ และสบตากับหมอที่ยืนอมยิ้มแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“นี่ อีหนู หมอเขาโดนสาวแอ๊วทุกวัน เขาชินแล้ว มานี่ มาห้องน้ำกับพี่ ไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้วเปลี่ยนผ้าถุงมาขึ้นขาหยั่ง หมอเค้าจะได้ตรวจให้เสร็จๆ”
ฉันโดนลากไปเปลี่ยนผ้าถุงแบบเสร็จสรรพ ได้แต่มองตามหมอตาละห้อยก่อนจะกลับมาที่ห้องเดิมและขึ้นนั่งเตียงแปลกๆ ที่พยาบาลเรียกว่าขาหยั่ง จากความกล้ามากมายในตอนแรกเริ่มหดเล็กลงตามกาลเวลา เพราะว่าฉันกำลังจะถูกตรวจโดยหมอที่หน้าตาหล่อมาก ฉันเลยเกร็งจัด
ให้ตายเถอะ เกิดมาฉันยังไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนได้เห็นเลยนะ นี่เจอหน้ากันครั้งเดียวก็ขอแหกแข้งแหกขาฉันเลยอะ ฉันพยายามหลับตาและตั้งสติก่อนจะสะดุ้งอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงหมอพูดขึ้น
“พี่แป๊ว ขอถุงมือสเตอร์ไรด์หน่อยค่ะ”
อ๊ากกกก หมอมาแล้ว! ฉันตื่นเต้นหนักและหลับตาปี๋เพราะฉันไม่รู้จะตีสีหน้ายังไงใส่หมอ เมื่อกี้แอ๊วไปตั้งเยอะ พอถึงเวลาฉันดันไม่กล้าสบตา
“ไม่ต้องเกร็งนะคะ” หมอว่าและทำให้ฉันเกร็งหนักกว่าเก่าด้วยการเปิดผ้าถุงดังพรึ่บ สัมผัสลมเย็นๆ จากอากาศก็ปะทะเข้าสู่ผิวอ่อนไหวของฉันทันที
แค่ฉันจินตนาการว่าหน้าหมออยู่ตรงกลางระหว่างขาของฉันและกำลังจดจ้องบริเวณนั้น ฉันก็ประสาทจะกิน และหมอก็ยังทำให้ฉันตะลึงมากขึ้นเมื่อเขาพูดประโยคต่อมา
“ปวดท้องมาเนอะ เดี๋ยวหมอจะตรวจด้วยนิ้วนะคะ คนไข้ไม่ต้องเกร็งนะ”
นะ นิ้ว!
บอกไม่ให้เกร็งแต่ฉันเกร็งหนักกว่าเดิมอีก
หมอหน้าหล่อขนาดนี้แถมยังจะใช้นิ้วเข้ามาข้างใน ใครจะไม่เกร็งเล่า! แง้
“ไม่ต้องห่วงหรอก"ฉันเอ่ยปากพลางตบบ่าไอ้นุ่นเพื่อให้มันคลายความกังวลใจเรื่องที่ฉันอยู่มหาลัยจนจะปีสี่แล้วยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเค้าสักที "ถ้าหาใครไม่ได้ กูก็จะเอามึงนี่ล่ะ"
"ตบแล้วทำไม จะจูบแบบในละครไง?"ฉันหัวเราะเมื่อแกล้งตบตรงรอยช้ำที่ผิวแก้มของเพื่อนสนิทเพื่อยั่วประสาทมันเล่นๆ ไอ้เตย์ชักสีหน้าไม่พอใจ"ตบจูบมันน้อยไปนะเวย์..." มันยกยิ้ม "ระดับพี่เตย์ต้องตบตับ!!!"
เพราะฉันดันไปสาดน้ำมันพรายใส่ผิดคน จากหนุ่มหล่อเนิร์ดกลายเป็นไอ้บ้าหน้าเลือดที่น่ากลัวสุดๆ ฉันหาข้ออ้างให้เขาหายไป หากแต่เขาชี้ปลายมีดมาเข้าที่หน้าฉัน "มาเป็นแฟนฉัน ไม่งั้นตาย" กลัวแล้ว ;-;
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
ลู่หมิงเยว่ถูกแฟนนอกใจ และยังโดนดูถูกว่าเธอแค่ดีแต่หน้าตา ด้วยความโกรธ ลู่หมิงเยว่ใช้เสน่ห์ของเธอไปมีความสัมพันธ์กับเยี่ยนเฉิงจือประธานบริษัท แต่เธอกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ หลังจากเสร็จธุระนั้นเธอก็หนีไปเงียบๆ และยังเข้าใจผิดว่าคนในคืนนั้นคือเพลย์บอย เสิ่นเว่ยตง ทำให้เยี่ยนเฉิงจือเข้าใจผิดว่าเธอชอบคนอื่น เขาเลยแอบอิจฉาและหึงหวงอยู่เงียบๆ มานาน
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
ห้าปีก่อน เพื่อช่วยเผยจี๋ ท้องของซางหว่านถูกแทงจนบาดเจ็บ ชาตินี้ไม่สามารถมีลูกได้อีก เผยจี๋ที่เคยบอกว่าทั้งชาตินี้ไม่อยากมีลูก สุดท้ายก็ยังมีความคิด “อาศัยท้องคนอื่นอุ้มบุญ” และคนที่เขาเลือกคือ ซูเซวี่ย นักศึกษามหาวิทยาลัยที่หน้าตาคล้ายกับซางหว่าน เผยจี๋ไม่รู้เลยว่า ในวันที่เขาเสนอความต้องการนี้ออกมา ซางหว่านก็ได้ตัดสินใจจะจากเขาไปแล้ว
ความรักที่ซ่อนเร้นของสาวน้อยเริ่มต้นในวันที่ทั้งสองได้พบกันในการพบกันที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนาน ทว่าเด็กสาวที่ครอบครัวรับมาเลี้ยงกลับแย่งชิงครอบครัวและเด็กหนุ่มไปโดยไม่รู้สึกเกรงกลัว เมื่อโตขึ้น เธอใช้โอกาสการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์เพื่อแย่งชิงตำแหน่งภรรยาของชายคนนั้น ไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว ฟู่เป่ยชวนกอดพี่สาวของเธอไว้ในอ้อมแขน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เธอทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียน” ซูชิงเฉินรู้สึกปวดท้องเหมือนมีบางอย่างในร่างกายของเธอค่อยๆ เลือนหายไป เธอยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงแน่วแน่ “แน่นอน ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือ ถึงจะต้องตายก็ตาม” ไม่นานนัก ซูชิงเฉินก็เหมือนจะหายไปจริงๆ จากนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในยามค่ำคืน ฟู่เป่ยชวนมักจะได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “ถ้าฉันไม่เคยรักเธอเลยก็คงจะดี” ห้าปีต่อมา ซูชิงเฉินกลับมาพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง กลับมาในสายตาของคนทั่วไปอีกครั้ง ...
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY