“อัญมณี” นามปากกาที่เขียนนิยายรักจนโด่งดัง มีแฟนคลับทั่วบ้านทั่วเมือง แต่กลับไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นใครมาจากไหน รูปร่างหน้าตาเช่นไร อัญมณี ช่างภาพข่าวสาวต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกปองร้ายจากคนที่ไม่รู้ว่าใคร ด้วยเหตุชื่อเหมือนนามปากกานั้น ทั้งยังเป็นตัวแทนนักเขียนคนนั้นไปร่วมงานศพของดวงดาวแฟนนิยาย ทำให้นายแพทย์ชลทิศน้องสาวผู้ตายและดวงดาราลูกสาววัยรุ่นของคนตายมองหล่อนเป็นผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของดวงดาวตามข่าวลือ ใครคือฆาตกรที่ทุกคนกำลังสืบหา และช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกันก็มีคนเร่ร่อนถูกฆ่าตายอย่างทรมานคนแล้วคนเล่า ฆาตกรจะเป็นคนเดียวกันและเกี่ยวข้องกับอัญมณีและ “อัญมณี” หรือไม่ การตามไขปัญหาของชลทิศและอัญมณีทำให้เกิดเป็นความรักและผูกพัน
บทที่๑
‘อัญมณี’
ทุกสายตาในศาลาสวดอภิธรรมต่างหันไปมองชื่อเจ้าของพวงหรีดที่กำลังถูกแขวนด้วยมือคล้ำของใครคนหนึ่งซึ่งเป็นคนช่วยจัดการในงาน พวงดอกไม้ราคาแพงสีขาวบริสุทธิ์ไม่ได้สะดุดตาเท่าชื่อที่ติดไว้ ทุกคนต่างหันไปมองนอกศาลาเพื่อหาเจ้าของพวงหรีด จนไปหยุดที่หญิงสาวคนหนึ่ง
หล่อนมีรูปร่างโปร่งค่อนไปทางผอมในชุดเสื้อแขนยาวกระโปรงคลุมเข่าสีดำ และรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาจึงเดินช้าลง กวาดตามองอย่างหวาดระแวง แล้วสำรวจตนเองอีกรอบ บางทีการอยู่ในชุดสุภาพสำหรับงานศพอาจทำให้หล่อนดูแปลกไปกว่าทุกวัน และยิ่งไม่รู้จักใครในงานนี้เลยยิ่งตกประหม่าจนอยากหันหลังกลับ
“มานี่ มางานนี้ด้วยหรือ” เจ้าของคำถามเดินมาหา
ตั้มเป็นชายหนุ่มวัยใกล้สามสิบหน้าตาคมเข้มด้วยหนวดและเคราบางๆ เป็นเพื่อนร่วมงานของมานี่หรือนางสาวอัญมณี เจริญยิ่งณรงค์ หล่อนแทบจะกระโดดกอดดีใจที่อย่างน้อยเจอคนรู้จักตั้งหนึ่งคนแล้ว
อัญมณีพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ
“ญาติหรือคนรู้จัก” ตั้มถามต่อ แต่หล่อนส่ายหน้าช้าๆ แล้วอ้อมแอ้มบอก
“ไม่ใช่ทั้งสอง”
“อ้าว! แล้วมาทำไม”
“มาแทนพี่”
“เรามีพี่ด้วย” ตั้มพูดด้วยเสียงอันดัง ทำให้คนทั้งศาลาแทบหันมามองเป็นตาเดียว
“พูดเบาๆ ก็ได้ ไม่ใช่พี่แท้ๆ หรอก เรียกว่าคนนับถือกันนะ”
“ก็เห็นใช้ชื่อตัวเองบนพวงหรีด เลยแปลกใจน่ะ” ตั้มสงสัย
“เอ่อ ไมใช่ชื่อนี่ นั่นมันนามปากกาของพี่ที่นับถือไง”
คนนับถือกัน อัญมณีอยากค้อนให้คำพูดนี้ของตัวเอง คนนับถือกันที่ว่าขอร้องแกมบังคับให้หล่อนนำพวงหรีดมาแสดงความเสียใจอาลัยคนตาย ทั้งที่หล่อนไม่รู้จัก
บ้าไปกันใหญ่แล้ว แต่หล่อนก็ต้องทำตามสั่ง ดูเหมือนว่าไม่เคยขัดใจ ขัดคำสั่งได้เลย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ หล่อนก็ไม่เข้าใจตนเอง
“อ๋อ นักเขียนามปากกาอัญมณีหรือ เคยได้ยินอยู่นะ ไหนๆ ก็มาแล้วไปเคารพศพกัน”
ตั้มชวนเหมือนเป็นเจ้าภาพเสียเอง เขาบอกว่าถึงไม่ใช่เจ้าภาพหรือญาติของคนตาย แต่ก็สนิทสนมกับน้องชายคนตายดีเพราะเจอกันตอนทำงานบ่อยๆ ระหว่างเดินตามตั้มเข้าไปในศาลา อัญมณีรู้สึกถึงสายตาจับจ้องบอกถึงความไม่เป็นมิตรจนเสียวสันหลัง ทั้งที่ตนเองไม่รู้จักทั้งคนเป็นและคนตายในงานเลย
แต่หล่อนก็รู้ว่ามีคนจ้องมองตั้งแต่ส่งพวงหรีดให้คณะเจ้าภาพนำไปวางแล้ว
หรือคนพวกนี้อาจสงสัยว่าหล่อนคือเจ้าของพวงหรีด? ดันชื่อเดียวกันเสียนี่
‘ทำไมใช้นามปากกาอัญมณีคะ’
‘พี่ชอบชื่อมานี่ไง เลอค่าง่ายแก่การจดจำ’
‘ชื่อโหลๆ นี่นะ’
‘ชื่อโหล แต่นามปากกาไม่มีทางโหล เพราะนักเขียนเขาไม่ใช้ซ้ำกันอยู่แล้ว’
อัญมณีคุกเข่าลงเบื้องหน้าโลงศพ ตรงนั้นมีเด็กหญิงวัยรุ่นที่ตาแดงก่ำและบวมเป่งเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักคอยจุดธูปส่งให้คนที่มาไหว้ศพ เด็กสาวส่งธูปที่จุดแล้วมาให้รวดเร็วแทบจะทิ่มหน้าทิ่มตาหากตั้มไม่รีบยื่นมือไปรับไว้แทน หล่อนคิดว่าตัวเองตาไม่ฝาดที่เห็นแววตาอาฆาตของเด็กคนนี้ แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที
“ขอบคุณนะ” หล่อนพูดกับตั้ม ขอบคุณที่เขาช่วยไม่ให้ธูปปลายแดงๆ ทิ่มหน้าตาให้เกิดเป็นแผลพุพอง อัญมณีมั่นใจว่าเด็กสาวจงใจ เพราะไม่ปริปากสักคำไม่ว่าจะเป็นคำขอโทษหรือขอบคุณเมื่อหล่อนยื่นซองช่วยงานให้
“คุณอัญมณีฝากมาแสดงความเสียใจด้วยนะคะ” หล่อนพูดตามที่ถูกสั่งมา หลังจากตั้มแนะนำว่าเด็กสาวผู้นี้คือลูกสาวของคนตาย
เด็กสาวพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ ซึ่งอัญมณีรู้สึกขัดตาขัดใจมาก เหมือนไม่มีใครอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาท ทั้งที่อายุอานามขนาดนี้โรงเรียนต้องสอนมาแล้ว เด็กสาวรับซองเงินแล้วเดินไปหาชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีที่ต้อนรับแขกอยู่หน้าศาลาแล้วยื่นซองให้พลางชี้กลับมา
ตั้มยิ้มแล้วพยักหน้าให้ชายดังกล่าวที่กระทำตอบลักษณะเดียวกัน แต่หล่อนรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นจ้องไม่วางตาจนทำหน้าไม่ถูก จะยิ้มให้เขาก็ไม่ได้รู้จักหรือแสดงการทักทายหล่อนแต่อย่างใด จะบึ้งก็ไม่มีเหตุอันควร อัญมณีจึงหันไปมองตั้มแทน
“กลับดีกว่า” หล่อนเปรยหลังความอดทนสิ้นสุด
“อ้าว ทำไมรีบ ไม่รอฟังสวดก่อนหรือ”
“ไม่ไหว นี่รู้สึกว่ามีคนมองแปลกๆ”
“คิดมาก คนกำลังโศกเศร้าก็หน้าบึ้งหน้านิ่งเป็นธรรมดา ไปนั่งด้วยกันเถอะเดี๋ยวกลับพร้อมกันผมไปส่งเอง” ตั้มแตะแขนพาเดินไปหาที่นั่ง อัญมณียอมตามไปนั่งแต่ยังมีข้อสงสัย
“เอารถยนต์มาหรือคะ”
หากตั้มใช้รถจักรยานยนต์ตามปกติคงไม่ชวน เหมือนตัวหล่อนเองก็ใช้จักรยานยนต์เพราะความชอบส่วนตัวและความสะดวกในการเดินทางฝ่าการจราจรที่รถราติดขัด หล่อนรู้สึกว่ารถราบ้านเรามีมากขึ้นทุกวัน แม้ไม่ใช่เมืองหลวงยังติดขนาดนี้ ป่านนี้ไม่รู้คนในกรุงเทพฯ จะเผชิญกับรถติดขนาดไหน
“ไม่ได้เอารถอะไรมาเลย” คนอาสาไปส่งบอกหน้าตาเฉย
“อ้าว แล้วบอกจะไปส่ง”
“แล้วมานี่เอารถอะไรมา ผมนั่งไปเป็นเพื่อนไง แล้วค่อยต่อรถกลับบ้าน”
“อ๋อ นี่คือการไปส่งหรือคะ” หล่อนเลิกคิ้ว แล้วพูดต่อ “แต่นี่ก็ไม่ได้เอารถมาเหมือนกัน พี่วิชแวะมาส่งแล้วเลยไปหาเพื่อนค่อยกลับมารับค่ะ”
“งั้นผมก็ขอติดรถไปด้วย คงไม่เป็นเอบีซีนะ”
หล่อนขันคำพูดของตั้มจนเผลอยิ้มออกมา
พี่วิชที่เอ่ยถึงคือสวิช สุสวิชคู่หมั้นสุดหล่อ ที่นานๆ จะไปไหนมาไหนด้วยกันทีเพราะต่างมีงานที่แตกต่างกัน อัญมณีเริ่มงานเป็นผู้ช่วยช่างภาพของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่ง ส่วนตั้มเป็นนักข่าวที่มักออกมาทำข่าวด้วยกันบ่อยๆ จึงสนิทสนมกันพอสมควร และตั้มเป็นคนเดียวที่รู้ว่าสวิชเป็นคนคุ้นเคยของหล่อนแต่ไม่รู้ว่าถึงขนาดหมั้นหมายกันแล้ว เพราะหล่อนไม่ชอบใส่แหวนหมั้นหรือไม่เคยใส่เลยหลังจากวันหมั้นก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่สนใจและใส่ใจจำ
อัญมณีใช้แค่คำว่าคนคุ้นเคยทั้งที่เป็นคู่หมั้นกันมานาน เพราะครอบครัวหรือจะเรียกว่าบรรพบุรุษของทั้งคู่เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมยิ่งกว่าญาติ เรือกสวนไร่นาติดกันจากอดีตแปรเปลี่ยนเป็นตึกรามบ้านช่องที่อยู่อาศัยก็รั้วชิดติดกันเช่นเดิม เมื่อมีลูกก็อยากเกี่ยวดองกัน แต่เหมือนมีกรรมหรือโชคชะตาไม่เข้าข้างในรุ่นลูกเพราะต่างก็มีแต่ลูกสาว กรรมจึงมาตกหนักที่รุ่นหล่อนเองที่ต่างเป็นหลานสาวและหลานชายคนแรก
ฝ่ายสวิชนั้นเป็นหลานชายคนแรกและเป็นหลานคนเดียวของตระกูลยิ่งทำให้ผู้ใหญ่ฝ่ายหล่อนอยากได้มาเป็นเขยขวัญ เพราะเล็งเห็นแล้วว่ามรดกตกทอดทั้งหลายจะเป็นของสวิชเพียงผู้เดียว แล้วหล่อนที่จะแต่งงานกับเขาก็จะสบายไปด้วยแต่ใช่ว่าหล่อนจะสิ้นไร้ไม้ตอกหรือไม่มีมรดกตกทอด หล่อนก็มีทรัพย์สมบัติของปู่ย่าตายายที่ให้ไว้มากพอสมควร และยังมีญาติน้อยทรัพย์สินไม่ถูกแบ่งแยกไปมากนักจึงเรียกได้ว่ามรดกส่วนใหญ่จะตกเป็นของหล่อน มากพอหรือทัดเทียบกับสวิชทีเดียว
สวิชไม่ขัดข้องเพราะไม่มีผู้หญิงที่ชอบพอ ส่วนหล่อนนะหรือแม้ไม่ใช่คนหัวอ่อนแต่ก็ยอมตามใจพ่อแม่ เพราะสวิชคือพระเอกขี่ม้าขาวสำหรับหล่อนในวัยเยาว์ คือผู้ชายในฝัน ทั้งรูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลาเรียกว่าไปไหนมาไหนด้วยแล้วไม่อายใคร
สวิชจบการศึกษาด้านเคมีทั้งในและต่างประเทศ และเมื่อหล่อนต้องไปศึกษาต่อต่างประเทศเขาก็เป็นคนจัดการทุกอย่างให้ เรื่องที่เรียน ที่พัก และอยู่เป็นเพื่อนจนหล่อนปรับตัวได้เขาจึงกลับมาประเทศไทยแต่ก็บินไปเยี่ยมเยียนหล่อนบ่อยครั้งเมื่อมีเวลา สวิชดูแลกิจการเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและเคมีภัณฑ์พร้อมทำงานอดิเรกที่เขาชอบและประสบผลสำเร็จอย่างดีทีเดียว
ส่วนหล่อนก็กลับมาทำงานที่ชอบแต่ทางบ้านไม่ค่อยปลื้มนัก และมีเพียงสวิชเท่านั้นที่คอยสนับสนุนหาที่ทำงาน ให้กำลังใจ และคอยแก้ต่างให้ผู้ใหญ่เข้าใจว่างานของหล่อนได้เสี่ยงภัยอะไรและเป็นงานที่ตรงตามสาขาที่เรียนมา เขาขอขอโอกาสให้หล่อนได้พิสูจน์ตัวเองว่าทำงานได้ ซึ่งผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสหล่อนทันทีทั้งที่หล่อนเว้าวอนจนปากเปียกปากแฉะแม่ก็ไม่ยอมท่าเดียว
แม้ไม่มีแผ่นดิน หากแต่เรายังไม่สิ้นลมหายใจ ถึงสิ้นชาติหากแต่รักของเรามิได้สิ้นลง บราลี เป็นบอดี้การ์ดมือใหม่ ที่ทำงานพลาดจนถูกไล่ออกจากงาน ในวันเดียวกันนั้น บ้านของเธอก็ถูกไฟไหม้ แม่ถูกไฟคลอกบาดเจ็บ พ่อตกใจจนโรคหัวใจกำเริบ ต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก เมื่อเธอจะหันไปพึ่งแฟนหนุ่มที่รักกันมาหลายปี กลับพบเขากำลังคลุกวงในกับผู้ชายอีกคน!! เมื่อชีวิตมันบัดซบขนาดนี้ เธอจึงคิดฆ่าตัวตาย ... และทำจริง!! แต่ไม่ตาย มีคนมาช่วยไว้ ... พอรอดตายก็มีคนยื่นข้อเสนอแปลกประหลาด ... ให้เธอไปเป็นบอดี้การ์ดให้เจ้านาย แลกกับเงินมหาศาล และกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร บราลีกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ก็ได้ข้ามเวลาย้อนอดีตไปซะแล้ว
เมื่อความรักที่มีมากเหลือล้น ไวกูณฐ์นั้นอยากแต่งงานเสียทันทีที่เดินทางกลับมาจากเรียนต่อ หากแต่ จิรัฐิติกาลกลับกลัวการใช้ชีวิตคู่จึงปฏิเสธไป แต่เพราะอุบัติเหตุที่บังเกิดขึ้นทำให้ไวกูณฐ์ตาบอด จิรัฐิติกาลจึงตัดสินใจแต่งงานกับเขาในทันทีเพื่อเป็นการรับผิดชอบ เพราะการแต่งงานที่ไม่พร้อมทำให้อุปสรรคแห่งรักนั้นมีมาให้พิสูจน์หัวใจกันเนืองๆ
เจ้าฟ้าหญิงจิรัฐิติกาลในคราบชายหนุ่มดูจะเกษมสำราญเป็นอันมากเมื่อได้ออกมาท่องโลกกว้าง แม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่บ้างที่มี 'ผู้คุม' เป็นไวกูณฐ์ ชายหนุ่มอ่อนแอ เจ้าหนอนหนังสือใส่แว่นลูกชายองครักษ์คนสนิทของพระบิดา แต่ถ้าไม่ยินยอมร่วมทางไปกับเขา เจ้าพ่อก็คงไม่ปล่อยออกจากกรงทอง เธอจำใจร่วมทางและสร้างความยุ่งยากเป็นภาระใหญ่หลวงให้เขา แต่ในคราเดียวกันความใกล้ชิด ความใกล้ชิดทำให้ความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้นในใจ แต่จะทำอย่างไร เมื่อเธอฝังใจว่าเขาไม่ใช่ "ชายจริง" นิยายภาคต่อของ ลิขิตรักบัลลังก์หัวใจ
เมื่อต้องเสียแผ่นดินจากการช่วงชิงของพระเจ้าอา ทรรศินากัลยามาส เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทแห่งมธุรรัฐจำต้องเสด็จหนีจากแผ่นดินเกิด แฝงกายเข้าไปในสิงขรรัฐ จากที่คิดจะปลอมตัวเป็นนางกำนัล กลับตกกระไดพลอยโจนถวายตัวเป็นสนมของเจ้าหลวงรัฐสิงห์สีหนาทในนามลูกของศัตรู!? รอจนถึงวันทวงบัลลังก์คืน กล้วยไม้ป่าแรกแย้มเพิ่งผลิรับฤดูฝน เจ้าหลวงเอื้อมไปหมายจะเด็ด ก็ถูกพระหัตถ์เล็กๆ ตีเผียะลงบนหลังมือ "ดอกไม้จะสวยงามที่สุดเมื่ออยู่กับต้นเพคะ" ดำรัสขึงขัง "แต่พี่จะเก็บให้เธอ" รับสั่งกลับอ่อนโยน "ท่าจะเด็ดดอกไม้แรกแย้มเสียจนเคย" เจ้าฟ้าหญิงประชดตรงๆ เจ้าหลวงยกพระหัตถ์ในท่าสาบาน "สาบาน ต่อไปพี่จะไม่เด็ดดอกไม้ ไม่ว่าดอกไหน จะรอดอกฟ้าตรงหน้านี้ดอกเดียวเท่านั้น"
เมื่อซากีน่าน้องสาวอันเป็นที่รักถูกฆ่าข่มขืน หลักฐานในมือคือแผ่นเงินฉลุลวดลายสวยงาม ซาห์ราจำได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของของสิ่งนี้ การตามล้างแค้นจึงเกิดขึ้น ชีคฮาซัน บินญาบิร อัล บุสตานีย์ กลายเป็นเหยื่อความแค้นที่เขาไม่ได้ก่อ ถูกหล่อนทรมานต่างๆ นานาและต้องสูญเสียเมียสาวในคืนวันแต่งงานจากน้ำมือซาห์รา แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าใครเป็นฆาตกรที่แท้จริง ซาห์ราจะชดใช้สิ่งที่ทำลงไปให้แก่เขาด้วยชีวิต ตามกฏชีวิตแลกชีวิต แต่ชีคฮาซันกลับต้องการให้หลอนชดใช้ด้วย หัวใจ
เมื่อธิดาองค์น้อยเริ่มเติบโต ชีคกาเบรียนที่อยากให้ลูกรู้จักภาษาของแม่บังเกิดเกล้า จึงมองหาครูสอนภาษาชาวไทย แต่กลับได้ทโมนไพรไปแทน นางสาวกฤติกา หรือแม่ดาวลูกไก่ นอกจากสอนภาษาไทยให้ธิดาองค์น้อยของชีคแล้ว ยังสอนปีนต้นไม้กลายเป็นลิงเป็นค่าง จนพระนมของชีคเอือมระอา ทว่าท่าทางแก่นกะโหลกของดาวลูกไก่กลับจับใจต้องตาชีคกาเบรียนจนกลายเป็นความรัก แต่ปัญหาสงครามแบ่งแยกดินแดนในประเทศยังไม่สงบ เมื่อดาวลูกไก่ถูกจับตัวไปเพื่อต่อรอง แม้พระองค์ไม่อาจยกแผ่นดินเพื่อแลกกับผู้หญิงที่รักได้ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจเหมือนครั้งที่เสียสนมคนอื่นไป ทรงลอบออกจากวังเพื่อไปช่วยหญิงอันเป็นที่รักด้วยตนเอง
หลังจากดูแลสามีมาเป็นเวลาสามปี เมื่อเห็นสามีสอบติดขุนนาง เฉียวชูเยว่ก็นึกว่าชีวิตดีๆ จะมาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสามีเป็นคนโลภ และเจ้าชู้ เพื่อจัดการปัญหาให้สามี เฉียวชูเยว่เสียตัวให้กับจักรพรรดิโหดร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อชีวิตและอนาคตของสามี นางได้แต่อดทนเอาไว้ จากนั้น สามีของนางก็ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิ และถูกเลื่อนตำแหน่งเรื่อยๆ เมื่อสามีของนางกำลังเพลิดเพลินอำนาจและสาวสวยนั้น นางกำลังรับใช้กับจักรพรรดิอย่าง้อยใจ แต่ไม่คาดคิดว่าความพยายามของนางได้แลกกับใบหย่าจากสามี ในวันแต่งงานของสามี นางถูกฆาตกรไล่ตามและตกลงไปในโคลน เมื่อนางหมดหวังนั้น จักรพรรดิก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง "มาเป็นคนของข้าสิ และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก!"
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
สำหรับเขาผู้หญิงก็เป็นได้แค่ที่ระบายความใคร่ เขาไม่เคยมีความรักไม่เคยรักใคร แต่พอได้มาเจอเธอ เพื่อนของน้องสาวเขา ใจที่ด้านชากลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง…