แค่เมาแล้วพลาดท่า ไม่ได้หมายความว่าง่ายซะหน่อย
ตึกๆ ตึกๆ เสียงรองเท้าย้ำไปกับพื้นถนน ก่อนที่ร่างบอบบางสวมแว่น จะขึ้นไปยืนบนฟุตบาททันทีที่ข้ามถนนได้ ยืดอกให้ดูผ่าเผยขึ้น มือกำเอกสารสำคัญของตัวเองไว้แน่น สูดลมหายใจลึกๆ จึงก้าวเดินอย่างมาดมั่น เข้าไปในตึกขนาดใหญ่ เพื่อไปสัมภาษณ์งาน “สวัสดีค่ะ มาตามนัดสัมภาษณ์งานค่ะ” นิรายกมือไหว้คนที่เคยเจอแล้วตอนมากรอกใบสมัคร
“ตอนนี้ท่านไม่อยู่ มีธุระด่วน เดี๋ยวติดต่อไปใหม่ หรือไม่ก็ไปสมัครที่อื่นเถอะ” คนสวยตรงหน้าพูดด้วยรอยยิ้มเหยียด ใช่ รอยยิ้มเหยียดหยัน! ที่นิรามองเห็นชัดเจน
“แต่พี่คนที่อยู่ข้างๆ เมื่อวานนัดมานะคะ หนูขอรอได้ไหมคะ” เธอเอ่ยขอร้องอีกครั้ง ถ้าเธอกลับไป เธออาจจะพลาดงานนี้ก็ได้ ทั้งที่เมื่อวานพี่คนที่รับเรื่องเธอ พูดเหมือนว่าจะรับเธอเข้าทำงานแล้วด้วยซ้ำ
“ท่านไม่กลับเข้ามาง่ายๆหรอก น่าจะอีกนานอะ” เธอพูดอย่างหงุดหงิด เมื่อยัยเฉิ่มข้างหน้าดูท่าจะเข้าใจอะไรยาก
“งั้นเหรอคะ งั้นหนูลาเลยนะคะ” นิรารีบยกมือไหว้แล้วเดินออกไปทันที เธอเสียเวลามามากแล้ว ไม่ได้ที่นี่ก็ต้องหาที่ใหม่ต่อ แต่ในใจก็นึกโกรธคนเป็นเจ้าของที่นี่ ถ้าไม่พร้อมจะสัมภาษณ์เธอ ไม่รู้จะนัดเธอมาทำไมแต่เช้าแบบนี้
“โอ้ย! !” นิราเดินออกมาตะโกนหน้าตึกขนาดใหญ่ ไม่สนใจรอบข้างเลยสักนิด ตอนนี้เพิ่งจะ 07.50 น. เธอมาก่อนเวลาตั้งชั่วโมง แต่กลับไม่ได้งาน มันทำให้เธอหงุดหงิดมาก แต่ก่อนที่จะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ เสียงเครื่องมือสื่อสารของนิราก็ดังขึ้น
Tru Tru Tru
[ยัยนิรา~ มาอยู่กรุงเทพทำไมไม่บอกเพื่อนสักคำ] เสียงตะโกนอย่างดีใจดังลอดออกมา จนนิราแทบไม่ต้องแนบโทรศัพท์ไปกับหูเลย
“ก็เพิ่งมา เลยยังไม่ได้บอก” นิรายืมเจื่อนๆ ให้โทรศัพท์ เธอลืมบอกเพื่อนไปเลย
[แล้วนี่มาอยู่คนเดียวเหรอ ได้งานทำหรือยัง มาทำกับเราไหม มีตำแหน่งว่าง เย็นนี้มาเจอกันหน่อยไหม คิดถึง] ปลายสายพูดอย่างอารมณ์ดี
“นิวอยู่กับพี่ที่เคยทำงานด้วยจ้า คอนโดพี่เขาต้องการคนเช่าพอดี นิวกำลังหางานอยู่ แต่คืนนี้นิวไม่ว่างจ้า” บอกเพื่อนสาวไปเสียงเบา ตอนนี้กำลังก้าวเท้าออกเดิน จากหน้าตึกที่มีเจ้าของเฮงซวยนี้
[งั้นวันไหนที่นิว หางานด้วยตัวเองแล้ว แต่ยังไม่ได้ ติดต่อมานะ เรายินดีช่วยเสมอ] ปลายสายพูดด้วยความหวังดี รู้ดีว่าเพื่อนไม่อยากพึงพาเธอ เพราะเกรงใจเธอมาตลอด แต่เธอกลับอยากช่วยด้วยความเต็มใจเสมอ
“ขอบคุณจ้าทับทิม เดี๋ยวถ้านิวหางานไม่ได้ นิวจะให้ทับทิมช่วยคนแรกเลย” นิรายิ้มแย้มขึ้นมาทันที ทับทิมคือเพื่อนสมัยเด็ก ที่พ่อแม่พาย้ายมาอยู่กรุงเทพตอนเข้ามหาลัย แม้จะเรียนคนละที่ แต่ความรักและหวังดีก็ยังมีให้นิราไม่เปลี่ยนแปรง
[จ้า ว่างๆ เข้ามาหาที่บ้านบ้างนะ คิดถึง พ่อกับแม่ก็บ่นหานิวทุกวันเลย] ทับทิมเจ้าของเสียงหวานๆ ที่เข้ากับใบหน้าพูดอย่างอารมณ์ดี นี่ถ้าเธอไม่อ่านเจอสตอรี่ของนิรา ก็คงไม่มีทางรู้ว่าเพื่อนกำลังลำบากหางานอยู่ในเมืองกรุงคนเดียว
“จ้า โอ้ย!” เพราะมัวแต่คุย นิราเลยสะดุดล้มเพราะพื้นต่างระดับ แว่นตาหลุดกระเด็นไปที่ไหนสักที่ทันที กร๊อบ!
“อ๊า~ แว่นจ๋า” นิรามองแว่นของตัวเอง อยากจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง ให้แว่นสุดรักของตัวเองที่มันไปกองอยู่แทบเท้าของใครสักคน แถมอยู่ในสภาพที่แหลกละเอียดเป็นที่เรียบร้อย
“เป็นอะไรไหมครับ” ชายคนนั้นไม่สนใจแว่นของนิราเลย เพราะเขารีบเข้ามาพยุงร่างของนิราให้ลุกขึ้น ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามอง
“คุณ ฮือ แว่นฉัน” เธอไม่ได้ด่าแต่คำพูดเหมือนฟ้องผู้ชายรูปหล่อที่เอาแต่ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
“ผมไม่ได้ตั้งใจ แว่นคุณมันวิ่งเข้ามาใต้เท้าผมเองนะ” เขาทอดสายตาลงมองใบหน้าที่ปราศจากแว่นยิ้มๆ ทำไมคนตรงหน้าเขา ถึงเลือกใส่แว่นอันใหญ่บดบังดวงตาสีสวยขนาดนี้ด้วยนะ
“ฉันสะดุดเถอะ ใครมันจะไปตั้งใจให้แว่นวิ่งไปอยู่ใต้เท้าคุณละ” นิรายังคงเถียงใบหน้าที่อยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกร่างสูงประคองไว้ เพราะมัวแต่เถียงกับเขา เรื่องแว่นของเธอที่ถูกเขาเหยียบจนมันแตกละเอียด
“ท่านค่ะ เดี๋ยวต้องเข้าประชุมแทนท่านประธานนะคะ” ขณะที่นิรากำลังจะเค้นหาคำมาเถียงคนตรงหน้า ก็ได้ยินเสียงหวานๆ เรียกอยู่ไม่ไกลนัก เห็นผู้ชายคนนี้พยักหน้าหงึกหงัก ทั้งยังปล่อยมือออกจากร่างนุ่มนิ่มของเธอ
“มาสมัครงานที่นี่เหรอ” ชายหนุ่มถามเธอนิ่งๆ เห็นเธอกอดเอกสารไว้แน่น เธอไม่ใช่คนในบริษัทเขาแน่ๆ เขาไม่เคยเห็นเธอ เพราะเขาไม่มีทางพลาดจากของสวยๆ งามๆ ตรงหน้านี้แน่
“อืม แต่ไม่ได้งานหรอก คนที่นัดสัมภาษณ์เทฉันไปแล้ว” นิราแค่อยากบ่นให้ใครสักคนฟัง ถึงความไม่ยุติธรรมที่เธอได้รับ และพอดีชายหนุ่มคนนี้ยืนอยู่ตรงนี้ก็แค่นั้น
“งั้นไปกับผม ผมจะสัมภาษณ์เอง ชดเชยที่ทำแว่นคุณพัง”
พูดจบก็จับมือนิรา เดินเข้าไปในตึกใหญ่นี่ทันที ตามด้วยผู้หญิงสวยๆ ที่ทำหน้าเรียบนิ่ง เดินตามคนทั้งคู่ไป
"หัวใจ ความรัก และภักดี เขาจะเลือกอย่างไหน" “ไอ้เพชรแกเอาไป นี่เมียแก!” หญิงสาวที่อยู่ในชุดนอนมีร่องรอยฉีกขาด ถูกผลักเข้าไปในกระท่อมเก่าซอมซ่อของพัชระหรือทุกคนเรียกกันว่า เพชร ซึ่งเป็นเพียงช่างคนหนึ่งในไร่ชาของที่นี่ “คุณจันทร์นี่มันอะไรกันครับ” เจ้าของหนวดเคราครอบหน้าหันไปมองคนบนพื้นแล้วหันมาถามนางจันทร์นิล ด้านหลังก็มีลูกน้องของเจ้านายอีกสองคน “นังอ้อนมันร่านไง มันมาอ่อยผัวลูกสาวฉัน ไอ้เพชรฉันยกนังอ้อนให้แกจัดการ” นางจันทร์นิลชี้นิ้วใส่ลูกเมียน้อยของสามีอย่างจงเกลียดจงชัง “จัดการยังไงครับคุณจันทร์” พัชระได้ยินว่าคนที่ตนแอบรักถูกทำร้าย แววตาของเขาก็ประกายแข็งกร้าวขึ้นด้วยความโกรธ “ก็จัดการมันให้เป็นเมียแกซะ เดี๋ยวนี้เลย!” (เมียร้อนจำยอมรัก)
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
คู่หมั้นของเธอนอกใจแม่เลี้ยงของเธอ และทั้งสองก็ร่วมมือกันวางแผนหลอกลวงทรัพย์สินของครอบครัวเธอ และวางกับดักให้เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เพื่อที่จะแก้แค้น เหวินหญ่าจึงตัดสินใจหาผู้ชายคนหนึ่งมาก่อเรื่องที่ที่งานหมั้นและฉีกหน้าพวกเขาทั้งคู่ โดยไม่คาดคิดหลังจาก "ประกาศหาแฟนโดยจ่ายค่าตอบแทนสูง"แล้ว เธอก็ได้หนุ่มสุดหล่อมาจริงๆ! เหวินหญ่าคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กยากจนที่เพื่อเงินเท่านั้น แต่หลังจากอยู่กับเขา โชคของเธอก็ดีขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก เดินนเล่นในห้างสรรพสินค้าใดก็ได้รับคูปองสำหรับแบรนด์หรูที่ซื้อฟรีและได้ชุดมูลค่านับแสนฟรี! ในงานหมั้น เขาออกงานอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ทุกคนนั้นตกตะลึงและประกาศอย่างเปิดเผยว่าเธอคือผู้หญิงของเขา! เดิมทีคิดว่าพวกเขาจะแยกทางกันหลังจากเรื่องนี้จบลง แต่เขากลับติดตัวเธอไม่ยอมไปไหนอีก "เราเพิ่งหมั้นกัน ตอนนี้ผมเป็นคู่หมั้นของคุณแล้ว" เหวินหญ่าหัวเราะเบา ๆ "คุณหมิ่น คุณคงไม่ใช่คิดว่าฉันรวยก็เลยไม่ยอมปล่อยฉันมั้ง?" หมิ่นซือหางยิ้ม เขาเป็นหลานชายของตระกูลใหญ่ ตระกูลหมิ่น เป็นซีอีโอของฮั้วเชง กรุ๊ป และเป็นถึงเจ้านายเบื้องหลังที่ควบคุมเส้นชีวิตทางเศรษฐกิจของเมืองไฮทั้งหมด เขาต้องมาสนใจเงินเล็กน้อยของเธอเหรอ? ต่อมาเหวินหญ่ารู้ว่าเขาคือคนที่เอาครั้งแรกของเธอไปในคืนนั้น!
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"