ดาวน์โหลดแอป ฮิต
หน้าแรก / โรแมนติก / อุบัติรักใต้เงาอสูร
อุบัติรักใต้เงาอสูร

อุบัติรักใต้เงาอสูร

5.0
26 บท
1.9K ชม
อ่านเลย

เกี่ยวกับ

สารบัญ

**ฝากคู่พี่ทรงกับหนูพจีด้วยนะคะ ท่านใดชอบแนวรักโรแมนติกผจญภัยน่าจะชอบเรืองนี้ อารัมภบท หลังการการหายตัวไปของบิดา ชีวิตอบอุ่น เต็มไปด้วยความสงบสุขของพจีจำเรียงไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนไป แต่ยังเป็นจุดเริ่มนำพาเธอสู่วังวนที่เต็มไปด้วยภยันตราย แล้วใครล่ะ จะเข้ามาช่วย? เขา...หรือ? ผู้ชายที่เพิ่งรู้จักทว่าเธอกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว แม้จะยังวางใจเขาได้ไม่สนิท เพราะรู้สึกว่าเขายังปิดบังตัวตนที่แท้จริง และที่น่าคลางแคลง ดูเหมือนภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอจะมาพร้อมกับเขา <>สปอย<> พจีจำเรียงมีความสุขที่ได้เต้นรำกับคนที่หล่อนรัก และดูเหมือนว่าเขาเองก็มีความรู้สึกระดับเดียวกับหล่อน แม้จะยังไม่พูดออกมาตรงๆ ทรงพิชิตกอดหล่อนแน่นขึ้น เมื่อเป็นเพลงวอลซ์ หล่อนเองเลื่อนมือที่แตะต้นแขนเขา เป็นสอดโอบรอบเอวเขาตอบ แต่แล้วก็นิ่วหน้า เมื่อมือสะดุดสะดุดเข้ากับอะไรแข็งๆ ซ่อนอยู่ใต้เสื้อนอกบริเวณสีข้างเขา หล่อนเงยมองเขาขวับ เมื่อบอกตัวเองว่า สิงที่มือของหล่อนบังเอิญไปสัมผัสเข้านั้นคือ...ปืน! ศีรษะหล่อนกระแทกปลายคางเขาดังกึก ทำเอาทรงพิชิตผงะเล็กน้อย “มีอะไร?” เขาถาม เมื่อมองตาหล่อน คงเห็นหล่อนเผยอปากแต่ไม่มีเสียง “คุณพกปืน?” หล่อนตอบเป็นกระซิบ มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ พจีจำเรียงมาคิดย้อนหลังดูแล้ว ก็เห็นว่าทรงพิชิตอาจจะทำตัวเปิดเผย หล่อนถามอะไรเขาก็ตอบอย่างไม่ลังเล แต่สิ่งที่เขาบอกแก่หล่อนนั้น อยู่ในอดีตของเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าเรื่องครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง และงานที่เขาทำ และดูเหมือนว่าเขาจะเลี่ยง ไม่พูดถึงงานปัจจุบันของเขา เขาบอกว่าเขาได้พัก เลยคิดจะมาพักผ่อนเงียบๆ สบายๆ คนตั้งใจมาพักผ่อนเฉยๆ ทำไมจึงมีคนคอยสะกดรอยตาม? หล่อนเคยพยายามจะถามเขา เขาก็พูดปัดๆ ไป แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่กลับพกปืนติดตัว ซึ่งออกจะขัดกันอยู่กับการแสดงออกของเขาที่ดูจะไม่กังวลอะไรเลย “อย่ามองผมอย่างนั้น” เขาพูด ปากเม้มเข้าหากันก่อนคลาย “คุณโกหกฉัน?” หล่อนไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวหาเขาเลย แต่ดูเหมือนคำพูดฟังกล่าวหาของหล่อนจะทำให้เขาสะเทือนไม่น้อย เพราะคลายแขนที่โอบรัดรอบตัวหล่อนออกทันที สีหน้าสุขสงบ เปลี่ยนเป็นขรึมเครียด “เรากันกลับกันเถอะ อยู่ไปก็ไม่สนุก” เขาบอกด้วยสุ้มเสียงฟังว่ากำลังพยามระงับอารมณ์ แต่จะเป็นอารมณ์ชนิดใดก็บอกไม่ถูก ที่แน่ๆ เห็นจะไม่ใช่อารมณ์รักอารมณ์ใคร่ “แหม! ใจตรงกันเลยค่ะ” หล่อนต่อตาเขาไม่หลบอย่างท้าทาย เขาขบฟัน จนเห็นรอยนูนของสันขากรรไกรที่ข้างแก้ม เมื่อกลับออกมาจากคลับกันนั้น พจีจำเรียงไม่มีอารมณ์ใส่ใจกับสิ่งใด เดินนำหน้าชายหนุ่มกระทั่งถึงห้องพัก หล่อนเดินผ่านห้องนั่งเล่นกะทัดรัด ไม่คิดจะหยุดบอกราตรีสวัสดิ์เขา แต่ก่อนที่หล่อนจะทันเอื้อมมือเปิดประตูห้องนอน ก็ถูกกระชากกลับ ร่างโปร่งบางหมุนเป็นครึ่งวงกลม ก่อนส่วนหน้าทั้งหมดจะปะทะเข้าร่างสูงแข็งแรง หล่อนได้สำนึกว่า ไม่บังควรเล่นกับไฟ ก็เมื่อถูกเขาจูบเหมือนจะดูดลมหายใจไปจากหล่อนจนหมด หล่อนตัวอ่อนระทวย อย่างคนไร้เรี่ยวแรง เมื่อเขาถอนจุมพิต ถอยใบหน้าออกห่างเพื่อมองหน้าหล่อนชัดๆ “พจีควรจะรู้นะ ไม่ควรทำให้ผมลืมตัว” “แค่นี้เองหรือคะที่คุณพูดได้?” หล่อนสบตาเขาอย่างน้อยใจระคนกล่าวหากึ่งตัดพ้อ ที่เขากำลังทำเอาหล่อนสับสนไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะไว้ใจเขา หรือไม่พึงไว้ใจดี “ก็พจีจะเอาแค่ไหนล่ะ หรือถึงขั้นผมต้องเปิดเปลือยวิญญาณ ถึงจะเชื่อใจว่าผมไม่เคยคิดร้าย หรือแม้แต่หวังร้ายต่อพจี?” “ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ แค่คุณตรงไปตรงมา ไม่มีลับคมนัยก็พอแล้ว” “บางอย่างก็ยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะต้องพูด หรือบอก” “เมื่อไหร่ละคะ จึงจะถึงเวลาที่ว่า เวลาที่คุณจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?” “ผมก็ไม่ได้ปิดบังอะไรนี่ ความเป็นมายังไงก็บอกไปหมดแล้ว” พจีจำเรียงส่ายหน้า “ไม่หรอก คุณยังไม่ได้บอกอะไรเลย” “จะไม่บอกอะไรเลยได้ยังไง อะไรที่ถามผมไม่เคยไม่ตอบ” ทรงพิชิตนิ่วหน้า มือจับไหล่โปร่งไว้มั่น “งั้นช่วยตอบคำถามอีกสักคำถามซีคะ” “คำถามอะไร?” “คนระดับศาสตราจรย์ มีพีเอช. ดี อย่างคุณ ทำไมจะต้องมีคนสะกดรอย ถ้าที่คุณบอกเป็นความจริง คือแค่สอนหนังสือ หรืออาจจะได้รับเชิญไปเล็คเชอร์ตามมหาลัยต่างๆ ไม่มีอะไรลึกลับ?” ทรงพิชิตไม่ตอบ ปล่อยมือจากไหล่โปร่ง โดดผึงไปที่บานหน้าต่างขวามือของห้องนั่งเล่น ที่เปิดแง้มนิดๆ ซึ่งก่อนออกไปยังปิดอยู่ มืดกำหมัดของเขาพุ่งไปก่อน เพื่อกระแทกบานหน้าให้เปิดกว้าง จากนั้นตัวเขาก็โจนเหยียบกรอบหน้าต่าง แล้วโดดลงสู่พื้นดิน ซึ่งไม่สูงเท่าไหร่ ออกวิ่งตามเจ้าของใบหน้าวอบแวบทางหน้าต่าง

บทที่ 1 ตอนที่ 1

“คุณลุงแน่ใจหรือคะว่าคุณพ่อ...เสียชีวิตแล้วจริงๆ?”

พจีจำเรียงถามเสียงสั่นดวงตาสีน้ำตาลคู่ใหญ่เบิกโตมองออกมาจากกรอบหน้าเพรียวซีดเผือด

“ลุงก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจิรฉัตรจะโชคร้ายต้องมาจบชีวิตลงอย่างไม่คาดฝันด้วยอายุเพียงเท่านี้ แล้วยัง...”

สีหน้าเชี่ยวศักดิ์ ฉันทจิตรดูเศร้าขณะเขาหลุบตามองมือตัวเองที่กำเกร็งบนต้นขา ปากเม้มเข้าหากัน เหมือนว่าเขากำลังพยายามสะกดอารมณ์สะเทือนใจ ระคนเคียดแค้นโชคชะตา ที่พรากเพื่อนรัก เพื่อนสนิท ที่ทำให้เขามีชีวิตเป็นอยู่ที่ดีในทุกวันนี้ ไปจากเขา โดยที่เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย พูดได้ว่า ไม่มีโอกาสแม้แต่จะคิดช่วย เนื่องจากเรื่องเกิดในแดนไกล และยังเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

เชี่ยวศักดิ์ ไม่เคยลืมว่า เขาเกิดมาในครอบครัวยากจน แต่เขาก็ขวนขวายหาทางให้ตัวเองได้รับการศึกษาเท่าที่จะทำได้

เขามีโอกาสได้รู้จักกับ จิรฉัตร สุทธิภาคย์ บุตรชายคนเดียวของครอบครัวที่มีฐานะเป็นปึกแผ่น สืบสายเลือดเก่าแก่ มีคนให้ความนับหน้าถือตามาช้านานในแวดวงผู้ดีชาวกรุง ... เมื่อสามสิบห้าปีมาแล้ว

ในเวลานั้น จิรฉัตรยังเป็นเพียงนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ยังไม่เป็น ดอกเตอร์ จิรฉัตร มีปริญญาดุษฎีบัณฑิต ด้านวิทยาศาสตร์ เป็นนักศึกษาไทยคนแรก ที่ได้เกียรตินิยมเหรียญทอง จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งเมืองเมดิสัน รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา

การที่คนสองคน มีความแตกต่างกันทั้งด้านฐานะ และความเป็นอยู่ ไม่เคยเป็นอุปสรรค ในการคบหา กระทั่งกลายเป็นเพื่อนรัก

เชี่ยวศักดิ์ ไม่ได้ทำปริญญาเอก หรือแม้แต่เรียนต่อในระดับปริญญาโท หลังได้รับปริญญาใบแรก และใบเดียวในชีวิต ก็ทำงานทันทีกับบริษัทผลิตยาแห่งหนึ่ง เขาทำอยู่ประมาณห้าปี ดร. จิรฉัตร เพื่อนรักของเขา ก็เดินทางกลับพร้อมปริญญา พี เอช. ดี ด้าน ชีว- เคมีฯ

หลังจากห่างเหิน ขาดการติดต่อกันไปบ้าง ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เขากับจิรฉัตร ที่มีคำ ดอกเตอร์ นำหน้าชื่อไปแล้ว ก็กลับมาคบหาสนิทสนมกันอีกครั้ง

ดร. จิรฉัตร มีความตั้งใจจะก่อตั้งบริษัท ผลิตยา และเวชสำอาง ชวนเขาทำด้วยกัน เชี่ยวศักดิ์ตอบตกลง

หนึ่งปีต่อมา บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุทธิเภสัช ก็เป็นรูปเป็นร่าง เริ่มดำเนินกิจการ กระทั่งจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาเกือบสามสิบปี

นอกจากเป็นผู้ถือหุ้นยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ที่เพื่อนของเขามีน้ำใจ จัดสรรให้ เป็นการตอบแทน ที่ช่วยกันมาตั้งแต่ต้น ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ลงทุนสักบาท เขายังมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการใหญ่ ดูแลด้านการผลิต และส่งออก ขณะเจ้าของบริษัทตัวจริง รับหน้าที่ดูแลด้านการคิดค้น ทดลอง ปรับปรุง และสรรหา ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด ถือว่าเป็นการแบ่งงานกันตามความถนัด และความสามารถได้อย่างลงตัว

บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุทธิเภสัช ทำกำไรในแต่ละปีไม่น้อย ทุกอย่าง... น่าจะดำเนินไปอย่างราบรื่น หากจะไม่เกิดเหตุร้ายกับประธาน และเจ้าของบริษัท ทำเอาทุกคนที่รู้ข่าว แทบช็อกไปตามๆ กัน

ดร. จิรฉัตร ได้รับเชิญไปพูดเรื่อง ‘สารพิษแอบแฝงในยารักษาโรค และเครื่องสำอาง’ ในฐานะที่เขาเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ และเภสัชกร... ที่องค์กรระหว่างประเทศ จัดขึ้นที่ประเทศกรีซ

ดร. จิรฉัตร ติดต่อกับลูกสาวและภรรยา ครั้งสุดท้าย เมื่อเขาเดินทางถึงกรีซ จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย

หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ตัวแทนองค์กรที่เชิญเขาไปพูด ได้ส่งข่าวมาบอกว่า ดร. จิรฉัตร หายสาบสูญไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมเพื่อนอีกห้าคน สันนิษฐานว่า เรือยอร์ชส่วนตัวของเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ชาวกรีก คนหนึ่ง ที่ดร. จิรฉัตรร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อพักผ่อน ก่อนเดินทางกลับบ้าน หลังภารกิจเสร็จสิ้น ประสบอุบัติเหตุกลางทะเลลึก พบซากเรือ แต่ไม่พบศพ

ข่าวนี้ถูกส่งมาทางบริษัทของเขา เชี่ยวศักดิ์ ในฐานะที่มีตำแหน่งใหญ่ รองจาก ดร. จิรฉัตร เป็นคนที่ต้องรับฟังข่าวร้ายเป็นคนแรก และยังเป็นคนที่ต้องนำข่าวร้ายนี้ มาบอกแก่ครอบครัวของเพื่อนรัก ซึ่งก็มีภรรยา กับบุตรสาว

พนิดา ... ภรรยา วัยสี่สิบสี่ของเขา ถึงกับเป็นลม ช็อกไปทันที เหลือแต่พจีจำเรียง บุตรสาววัยยี่สิบสอง นั่งหน้าเผือดขาวอยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้

“คุณลุงเช็คข่าวหรือยังคะ บางทีอาจจะมีอะไรผิดพลาด?”

พจีจำเรียงถามเพื่อนสนิทของบิดา ซึ่งหล่อนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีมานานนับแต่จำความได้ ด้วยเสียงแหบพร่า

แม้หล่อนจะมีจิตใจเข้มแข็งมั่นคงกว่ามารดา แต่ไม่ได้แปลว่า หล่อนจะไม่สะดุ้งสะเทือน กับข่าวการจากไปอย่างไม่คาดฝันของบิดา

พจีจำเรียงสนิทกับบิดา จนบางครั้ง ถูกมารดากระเซ้าว่า หล่อนเป็นลูกรักของพ่อมากกว่าเป็นลูกแม่

พจีจำเรียง มีนิสัยหลายอย่างคล้ายคนเป็นพ่อ และยังเจริญรอยตามบิดา ในเรื่องการศึกษา ตั้งแต่เลือกคณะวิชาที่จะเข้าเรียน ในระดับมหาวิทยาลัย เวลานี้ก็ได้เรียนจบแล้ว ตั้งใจว่าต่อปริญญาโทและเอก ในมหาวิทยาลัยเดียวกับที่บิดาจบออกมา โดยมีกำหนดการณ์จะออกเดินทาง เพื่อไปศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัย แห่งเมือง เมดิสัน รัฐวิสคอนซิน ปลายเดือนหน้า

แต่ข่าวร้ายที่ได้รับ... การจากไปอย่างกะทันของบิดา เปลี่ยนทุกอย่างไปหมด

หล่อนไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทิ้งมารดา ที่กำลังโศกเศร้าเสียใจไว้ตามลำพังได้ แต่ยังไม่อาจทิ้งบริษัท ที่บิดาของหล่อนก่อตั้งขึ้นมากับมือ ในเวลาเช่นนี้

พจีจำเรียงเคยเข้าไปฝึกงาน ด้านควบคุมการผลิต ช่วงปิดภาคเรียนในแต่ละเทอม และยังเป็นผู้ช่วยบิดาในห้องทดลอง เป็นครั้งคราว ตามที่บิดาร้องขอ

ที่ต้องรอให้ร้องขอ ก็เพราะ ดร. จิรฉัตร ไม่ยอมให้ใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวในห้องทดลองส่วนตัวของเขา ก่อนได้รับอนุญาต แม้กระทั่งบุตรสาว และภรรยาก็ไม่ยกเว้น

หล่อนเคยนึกขันบิดาว่า เหมือนนักวิทยาศาสตร์ มากกว่านักธุรกิจ เจ้าของกิจการที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ เพราะวันๆ ขลุกอยู่แต่กับการทดลองนั่นนี่ แต่ก็แปลกว่า ทั้งที่เขาก็ทำงานไม่เคยหยุด แต่ในช่วงสองปีกว่ามานี้ ดูเหมือนจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

“ลุงเช็คจนไม่รู้จะเช็คยังไงแล้วหนูพจี”

เชี่ยวศักดิ์ตอบ

“ลุงก็ไม่คิดว่าจิรฉัตรจะมาด่วนจากไปแบบนี้โดยที่แม้แต่...ศพ ก็ยังไม่ได้กลับมาทำพิธีทางศาสนา”

“ถ้างั้นก็เป็นได้ว่า พ่ออาจจะยังมีชีวิตอยู่สิคะ คุณลุง”

พจีจำเรียงพูดอย่างมีความหวัง มือกำกำไลข้อมือลูบไปมาอย่างขอกำลังใจ และพลังสติปัญญา

กำไลนี้ บิดาของหล่อนซื้อให้ก่อนออกเดินทางไปจากบ้านเพียงสองวัน เป็นกำไลแบบโปร่ง รูปพญานาค ทำจากทองขาว มีความงามแปลกตาที่ดวงตาสีม่วงทั้งสองข้าง

“พ่อเห็นสวยดี เลยซื้อมาฝากหนู มา... พ่อใส่ให้”

หลังสวมกำไลนี้ให้แล้ว พ่อก็ดึงเอาตัวหล่อนเข้าไปกอด และยังกระซิบเหมือนให้สัญญาระหว่างพ่อลูก ที่ปฏิบัติต่อกันมานับแต่หล่อนจำความได้

“พ่อรักหนู นอกจากแม่ของหนู ของรักที่มีค่าที่สุดในชีวิตพ่อ ก็คือหนูนี้แหละ พ่อไม่อยู่ ดูแลแม่เขาด้วยนะ”

เวลานั้น หล่อนไม่ทันคิดว่าบิดาพูดเหมือนเป็นลาง

โธ่....พ่อ!

“เป็นไปได้ยากหนูเอ๋ย”

เสียงตอบกลับมาช่วยให้พจีจำเรียงกลับมาอยู่กับการณ์เฉพาะหน้า

“ถ้าพอมีความหวังแม้แต่นิดเดียว คิดหรือว่าลุงจะรีบนำเรื่องนี้มาบอกหนู กับคุณแม่ของหนู ให้ตกอกตกใจกัน ที่ลุงมา ก็เพราะเช็คแล้วเช็คอีกจนแน่ใจแล้วว่า เรือที่ประสบอุบัติเหตุกลางท้องทะเล ทิ้งไว้แต่ซากเรือบางส่วน ไม่มีทางรอดเลย สำหรับคนที่ไปกับเรือ ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังไม่พบ... ศพ”

เชี่ยวศักดิ์มองหน้าบอกความโทมนัสของหญิงสาวคราวลูก ด้วยความเห็นใจ

อ่านต่อ
img ไปดูความคิดเห็นเพิ่มเติมที่แอป
ดาวน์โหลดแอป
icon APP STORE
icon GOOGLE PLAY