เสี่ยวเหอเห็นคนรักตายต่อหน้าต่อตา นางแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่นางโชคดีที่มีโอกาสข้ามเวลา หรือข้ามภพ นางเองก็ไม่แน่ใจ ทำให้นางได้มาเจอคนที่นางรักอีกครั้ง แต่...เหตุใดผู้อื่นเขาข้ามเวลาย้อนภพกันคนละครั้งสองครั้ง แต่พอเป็นนางกลับต้องข้ามเวลากันทุกครั้งที่นางตื่น ทุกเช้านางจะต้องมานั่งลุ้นว่าตัวเองจะอายุเท่าไหร่ เดินทางไปที่ใด ภพนี้ที่นางอยู่ ยังเป็นภพชาติเดิมหรือไม่ ชิงชิงของนางนั้น ตอนเด็กๆยังน่ารักน่าชัง เหตุใดพอโตแล้วถึงได้ขี้โมโหอารมณ์ร้อน เป็นเพราะนางต้องข้ามเวลาทุกวันจึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเข้าใจผิดกันมากมาย บางวันก็เดินทางไปในช่วงที่ชิงชิงอายุ 2-3 ขวบ น่ารักน่าหยิก แต่บางวันเดินทางไปตอนที่เขาอายุ 40 กว่า แก่คราวลุง เสี่ยวเหอยังเข้าใจผิดว่าชิงชิงของนางเป็นท่านตา! ยังมีอยู่วันหนึ่งที่นางข้ามเวลาไปตอนเขาอายุ 19 ปี เขาทั้งโมโหทั้งโกรธเคืองนาง จับนางกลืนกินทั้งๆที่นางไม่ยินยอม เหตุใดชิงชิงของนางจากเด็กน้อยน่ารัก ทักเมื่อไหร่ก็หน้าแดง วันนี้จึงกลายเป็นเจ้าคนบ้าคลั่งราวกับหมาบ้าเช่นนี้ไปได้เล่า เสี่ยวเหอไม่เข้าใจจริงๆ *บางส่วนจากในเนื้อเรื่อง เสี่ยวเหอไล้มือไปตามเส้นเลือดแขนของเขาอย่างหลงใหล ก่อนจะไล่ไปที่คอ เห็นชิงชิงกลืนน้ำลายก็รู้สึกว่าตัวเองคอแห้งๆ เหมือนกัน อยากจูบเขาแต่ก็ไม่กล้า แต่เพราะท่าทางที่นั่งคร่อมอยู่บนตักของเขาเช่นนี้ ถ้าแค่ขยับเข้าไปอีกนิด ริมฝีปากของนางก็จะแตะโดนตรงคอของเขาพอดี เสี่ยวเหอนึกถึงวันเข้าหอที่เขาพรมจูบไปทั่วลำคอของตัวเอง ก็เลยแกล้งทำเป็นซบลงตรงไหล่ของเขาเสียเลย รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมที่เขาทำได้ แต่ตัวเองทำไม่ได้ 'เหมือนจะไหล่กว้างขึ้นมาก' นางแอบคิด ชิงชิงที่อายุมากขึ้นก็ยังคงดูดี ริมฝีปากที่แตะผิวของเขาก็รู้สึกร้อนผ่าว เลยลองขยับเบาๆ จู่ๆ เสี่ยวเหอก็รู้สึกเหมือนเป็นชายที่พยายามแอบกินเต้าหู้สาวน้อย จึงเงยหน้าขึ้นเพราะรู้สึกผิด แต่กลับเห็นสายตาที่แทบเผาไหม้ของชิงชิงมองตรงมา ร้อนแรงดังเช่นปกติที่เขาเป็น นางก็เหมือนจะจำได้ว่าตอนนี้ทั้งสองคนแต่งงานกันแล้ว เสี่ยวเหอเลยคิดว่าสามีภรรยากัน แค่นี้ไม่เรียกกินเต้าหู้หรอกมั้ง ทำใจกล้าเข้าไปจูบปากเขาเสียเลย แต่เหมือนชิงชิงจะรออยู่แล้ว จูบไปจูบมาก็เหมือนจะขยับไม่ทันเขา เลยใช้สองมือคล้องคอเขาเอาไว้เพื่อพยุงตัวเองและสะดวกต่อการกลืนกินลิ้นของเขาด้วยเช่นกัน ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นชิงชิงที่ดูดกลืนลิ้นของนางก็ตาม
พระเอก (ชื่อ ชิงถิง แต่ใครๆก็เรียก ต้าจื่อ แปลว่า เจ้านิ้วใหญ่)
- เป็นเด็กบ้านนอก ยากจนมาก
- โกรธรุนแรง หึงรุนแรง พูดน้อย ด่าเจ็บ
- ชอบกินเนื้อย่าง
- กล้าได้กล้าเสี่ยง
- เป็นคนหล่อ จนบ้านคนรวยหลายบ้านอยากแต่งเข้าจวน
- มีพี่น้อง 4 คน ชิงถิงเป็นคนโต มีน้องสาวอีก 3 คน
- ตอนเด็กเป็นเด็กอ้วน พอโตมาก็ผอมลง แต่ตัวสูงใหญ่
- ถึงจะบ้านจน แต่เพราะท่านปู่เคยเป็นทหาร จึงมีคนให้ความเคารพอยู่บ้าง แต่ตอนหลังได้รับบาดเจ็บจึงออกจากกองทัพ พ่อของชิงถิงไร้ความสามารถจึงสอบเข้ากองทัพไม่ได้ แม้ตำแหน่งในกองทัพของท่านปู่จะเป็นแค่นายกองเล็กๆ แต่สำหรับบ้านนอกแล้วถือว่ายิ่งใหญ่อยู่บ้าง ตอนหลังท่านปู่ล้มป่วย บ้านชิงถิงจึงยิ่งจนกว่าเดิม
นางเอก (ชื่อ เสี่ยวเหอ แปลว่า ดอกบัวน้อย)
- เป็นสาวน้อยขี้อาย ขี้กลัว ไม่กล้าเถียงใคร พ่อแม่ให้ทำยังไงก็ทำตาม
- ไม่ได้บ้านรวย แต่ก็ไม่ได้ยากจน มีไร่นา สวน และสัตว์เลี้ยง มีวัวมีม้า 3-4 ตัว
-มีเงินจ้างสาวใช้ 2-3 คนในบ้าน มีพ่อบ้านและบ่าวชายอีก 4 คน(ถ้าอยู่บ้านนอกก็คือคนรวยแหละ แต่ถ้าอยู่ในตัวเมือง เทียบเขาไม่ติด)
- มีพี่น้อง 9 คน ลูกสาว 5 คน ลูกชาย 4 คน เสี่ยวเหอเป็นคนที่ 3 พี่สาวและพี่ชายของเสี่ยวเหอเป็นพี่น้องร่วมแม่เดียวกัน แต่แม่ของเสี่ยวเหอตายหลังคลอดเสี่ยวเหอ พ่อเลยแต่งแม่ใหม่ และมีน้องอีก 6 คน
- ถึงแม้แม่ใหม่จะเป็นคนดี แต่ก็มีบางครั้งที่ลำเอียงซื้อของดีๆให้ลูกๆของตัวเอง รักเสี่ยวเหอเหมือนกัน แต่รักลูกๆของตัวเองมากกว่า ไม่เคยปล่อยให้เสี่ยวเหอและพี่ๆต้องหิว หนาว หรือไม่มีความรู้ แต่ก็จะแอบซื้ออะไรดีกว่านิดหน่อยให้ลูกตัวเอง ให้ขนมลูกตัวเองมากกว่าในบางครั้ง
- พี่ชายแต่งงานแยกบ้านไปอยู่ต่างเมืองแล้ว เหลือพี่สาวอยู่ แต่เสี่ยวเหอจะสนิทกับน้องสาวต่างแม่มากกว่า เพราะเป็นลูกคนกลางเหมือนกัน อายุไล่เลี่ยกัน ไม่ต้องแบกอะไรเยอะแยะ มีแค่ต้องทำตามพี่ๆ
- แม่ใหม่มักจะซื้อของดีๆให้น้องมากกว่า แต่เสี่ยวเหอก็เข้าใจ ไม่ได้เกลียดแม่ใหม่ มีน้อยใจบ้าง แต่สุดท้ายน้องต่างแม่ก็เอาเสื้อผ้ามาแบ่งกันใส่อยู่ดี ถือว่าความสัมพันธ์กับพี่น้องต่างแม่รักใคร่กลมเกลียวกันดี
- พี่สาวของเสี่ยวเหอจะรู้สึกแปลกแยกมากกว่า ไม่เป็นที่ต้องการมากกว่า เสี่ยวเหอยังเข้ากับพี่น้องใหม่ได้ ในขณะที่ตัวพี่สาวเหมือนตัวคนเดียวในบ้าน และยังอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครมาสู่ขอ เพราะผู้คนต่างเล่าว่าทั้งเสี่ยวเหอและพี่สาวจะนำความเดือดร้อนมาสู่บ้าน เนื่องจากแม่แท้ๆตายหลังคลอด เป็นอัปมงคล แม้ว่าแม่ใหม่จะพยายามหาคนมาดูตัว แต่ก็ไม่มีใครมาสู่ขอพี่สาว ถึงแม้น้องๆต่างแม่จะช่วยกันด่ากลับพวกขี้นินทา แต่พี่สาวก็ยังรู้สึกแปลกแยกอยู่ดี
เกริ่นนำเนื้อเรื่อง
เสี่ยวเหอและชิงถิงเป็นเพื่อนบ้านกัน อายุเท่ากัน เกิดปีเดียวกัน ชิงถิงเกิดกลางปี เสี่ยวเหอเกิดท้ายปี รู้จักกันตั้งแต่เด็ก เสี่ยวเหอเป็นคนสวย แต่ก็ไม่มีใครมาสู่ขอ ชิงถิงแอบชอบเสี่ยวเหอมาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเด็กๆเสี่ยวเหอชอบเอาขนมกับเนื้อย่างมาแบ่งให้ชิงถิงกิน
ตอนชิงถิงอายุ 15 น้องสาวคนกลางก็แต่งงาน (น้องอายุ 14 ) ตอนนั้นชิงถิงยังเด็ก ถึงจะเข้าป่าล่าสัตว์ได้ทุกวันแต่ก็ยังยากจน จึงไม่มีสินเดิมให้น้องสาว ชิงถิงจึงรู้ซึ้งว่าบ้านจนแล้วฝั่งสามีจะดูถูก น้องสาวของชิงถิงชอบกลับมาบ้านและร้องไห้บ่อยๆ พอชิงถิงอายุ 17 จึงเข้ากองทัพตามท่านปู่ เพื่อจะได้มีเงินเก็บไว้เป็นสินเดิมให้น้องสาวอีก 2 คนที่กำลังจะแต่งงาน
ชิงถิงชอบเสี่ยวเหอมานานมาก ชอบมากๆตั้งแต่เด็กและพัฒนาเป็นความรักแบบไม่รู้ตัว ชอบเพราะเสี่ยวเหอชอบแบ่งเนื้อย่างมาให้ชิงถิงกินบ่อยๆ ที่บ้านของชิงถิงยากจนเลยไม่ค่อยได้กินเนื้อ ในขณะที่บ้านของเสี่ยวเหอได้กินบ่อยๆ ถึงชิงถิงจะชอบเสี่ยวเหอมาก แต่มั่นใจว่าจะไม่มีใครขอเสี่ยวเหอแต่งงาน เพราะข่าวลือเรื่อง แม่ของเสี่ยวเหอตายหลังคลอดเสี่ยวเหอได้ไม่กี่ชั่วยาม ข่าวลือที่ว่าถ้าบ้านไหนแต่งกับเสี่ยวเหอหรือพี่สาว บ้านนั้นจะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ชิงถิงตั้งใจว่ารอจนน้องๆแต่งงานหมดก่อน ทำงานเก็บเงินอีกสักปี รออายุ 19-20 มีตำแหน่งเล็กๆในกองทัพแล้วค่อยมาสู่ขอเสี่ยวเหอ ตอนนี้แม้จะชอบเสี่ยวเหอมาก แต่ก็ไม่กล้าขอ เพราะตัวเองยากจนมาก เมื่อเทียบกับบ้านของเสี่ยวเหอ
ตัวเสี่ยวเหอเองไม่เคยรู้เลยว่าชิงถิงชอบตัวนาง ถึงแม้จะสนิทสนมกันมาก แต่เสี่ยวเหอก็คิดว่าทั้งคู่เป็นเพียงเพื่อนบ้านกัน และชิงถิงเป็นคนดีมาก แม้จะสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาอย่างพิเศษตลอด แต่ก็คิดเพียงว่าเพราะชิงถิงเป็นคนมีสายตาเช่นนั้นอยู่แล้ว (อันที่จริงแล้วเสี่ยวเหอก็รักแหละค่ะ แต่เป็นแบบไม่รู้ตัวเพราะบ้านใกล้กันเกินไป)
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
อวิ๋นหลาน นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 25 ได้ข้ามภพและเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวผู้ไร้ประโยชน์ซึ่งมีชื่อเดียวกันในจวนเทพเจ้าแห่งสงคราม รากวิญญาณถูกทำลายไป? บำเพ็ญวิชาไม่ได้? คู่หมั้นถอนหมั้น? ทุกคนหัวเราะเยาะนาง? การควบคุมอสูร ยาพิษ ยาลูกกลอนปีศาจ อาวุธลับ...นางจัดการได้อย่างสบายๆ อดีตผู้ไร้ค่า แต่บัดนี้มาแก้แค้นชาาเจ้าชู้ เอาคืนทุกคนที่รังแกตนเอง ได้ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ผู้แข็งแกร่งอย่าคิดจะทำอะไรตามใจ ผู้อ่อนแออย่าท้อแท้ กล้ามารุกรานข้า งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน เขาเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปีศาจ ชอบเอาใจนาง นางฆ่าคน เขาช่วยปิดปาก นางทำลายศพ เขาช่วยกำจัดหลักฐาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อนาง ชีวิตนี้ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง