*** เนื้อหาบางส่วน *** ปลายนิ้วหยาบแตะลงบนกางเกงชั้นในของขวัญจิราอย่างเบา ๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วถูขึ้นลงไปมาระหว่างร่องสาวของเธอ ในขณะที่หญิงสาวนั่งจนตัวเกร็ง เพราะเธอไม่เคยรู้สึกยินดีและเต็มใจขนาดนี้มาก่อน “อ๊า! อ๊ะ! อ๊ายยย” คิรากรถูปลายนิ้วขึ้นลงตามจังหวะจากช้าไปเร็ว จนทำให้หญิงสาวหลุดครางเสียงดังออกมาด้วยความเสียว “พี่ขอนะขวัญ” เขากระซิบบอกหญิงสาวที่ตอนนี้นั่งหลับตาพริ้มพร้อมกับขบเม้มริมฝีปากของตนเพื่อกลั้นความเสียวนั้นเอาไว้ ขวัญจิราพยักหน้าตอบเขาแทน เพียงแค่นั้นเขาก็จับกางเกงชั้นในของเธอหลุดออกจากขาขาว ๆ ของเธออย่างเบามือ
“ขวัญ! ขวัญ! มาช่วยแม่ทำกับข้าวหน่อยเร็วลูก”
หญิงวัยกลางคนกำลังวุ่นอยู่ในครัว เพื่อจัดเตรียมอาหารนำไปถวายพระที่วัด รวมไปถึงสังฆทานที่วางไว้บนโต๊ะทานอาหาร ซึ่งหล่อนฝากภูมิรพีหรือลูกเขยซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของขวัญนิภา หล่อนเป็นมารดาของขวัญจิราที่เอ่ยชื่อเรียกบุตรสาวของตนไปเมื่อสักครู่
ขวัญนิภาซึ่งอยู่ในชุดลายไทย มัดผมรวบเก็บไว้อย่างเรียบร้อย สีผมดำธรรมชาติ รูปร่างสมส่วน ตัวเล็กกว่าขวัญจิราอยู่ไม่มาก หน้าตาละม้ายคล้ายกับขวัญจิรา ซึ่งบุตรสาวถอดแบบมาจากตนไม่มีผิดเพี้ยน ถ้าบอกว่าทั้งสองเป็นพี่น้องก็อาจจะมีคนเชื่อได้ เพราะขวัญนิภาไม่ได้ดูแก่ลงไปมากมายนัก ถึงแม้ว่าอายุจะเข้าเลขหกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้วก็ตาม
“จ๊ะ แม่” เธอขานรับ
ก่อนจะวางดอกไม้ลงในแจกันให้เรียบร้อย พร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทั้งที่ในมือถือแจกันดอกไม้เอาไว้ พลางสาวเท้าเดินขึ้นไปชั้นบน เพื่อนำของที่อยู่ในมือทั้งสองข้างขึ้นไปไว้ในห้องพระ เมื่อเรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กก็ก้าวขาลงมาชั้นล่าง พร้อมกับนำร่างกายอันบอบบางตรงเข้าไปยังห้องครัวแทบจะทันที เมื่อเท้าแตะพื้นบันไดขั้นสุดท้าย
ขวัญ หรือ ขวัญจิรา วัยยี่สิบเจ็ดปีเศษ ที่เพิ่งนำแจกันดอกไม้ไปไว้ให้กับผู้เป็นมารดาได้กราบไหว้ หลังจากที่ท่านกลับมาจากวัดแล้ว
ขวัญจิรา มีรูปร่างหน้าตาดีพอใช้ได้ เป็นผู้หญิงรูปร่างผอมบาง ส่วนสูงประมาณ 160 เซนติเมตร ผิวพรรณธรรมชาติแต่ไม่ขาวมาก ผมสีน้ำตาลดัดลอนถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อยและสวยงาม เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่เป็นชุดไทย เหมาะจะเข้าวัดเข้าวาทำบุญด้วยเช่นกัน
แค่เพียงชั่วครู่ เธอก็ช่วยมารดาจัดแจงทำอาหารที่อยู่ในกระทะ เพราะขวัญนิภากำลังล้างผักในอ่างล้างจาน จากนั้นเพียงไม่นาน ขวัญนิภาก็ถือโคมผัก ส่วนมืออีกข้างกำและสะบัดน้ำที่ติดผักให้หลุดออก ก่อนจะหย่อนมันลงไปในกระทะที่ขวัญจิรากำลังผัดเนื้อหมูและเครื่องปรุงจนออกรส เลยทำให้สองสาวได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูก
“ขวัญ วันนี้พี่ภูมิจะเข้ามารับตอนไหน นี่ก็เริ่มจะสายแล้วนะ” ผู้เป็นมารดาเอ่ยปากถามบุตรสาวที่กำลังวุ่นอยู่กับกระทะใบใหญ่ ซึ่งมันใหญ่กว่าแขนเจ้าตัวแน่นอน
“คงอีกสักพักค่ะแม่ ขวัญเพิ่งโทรหาพี่เขาไม่นานเอง” หญิงสาวตอบคำถามผู้เป็นมารดา
ขวัญจิราเป็นผู้หญิงเรียบร้อย เฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้ามารดาหรือต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ แต่เวลาอยู่กับเพื่อนกับฝูง เธอก็จะสนุกเฮฮาปาร์ตี้เหมือนวัยรุ่นทั่วไป
ทว่าเวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ที่เธอไม่ได้สัมผัสกับวัยนั้นอีกแล้ว หลังจากที่หญิงสาวได้แต่งงานกับภูมิรพี ซึ่งเป็นการแต่งงานของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรวมไปถึงตัวภูมิรพีเอง เจ้าตัวเมื่อได้เห็นหน้าขวัญจิราสมัยเรียน เขาก็ได้พาบิดาและมารดาไปสู่ขอเธอทันทีหลังจากที่เจ้าตัวเรียนจบ
ภูมิรพี หรือ ภูมิ เป็นชายหนุ่มวัยสามสิบห้าปี เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงหลาย ๆ คนอยากได้ และเขาตรงสเปคผู้หญิงหลาย ๆ คน แถมเจ้าตัวเป็นคนที่มุ่งมั่นกับงาน
สำหรับเขา งานคืองาน เล่นคือเล่น เขาทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับร้านขนมเค้ก เปิดอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำของจังหวัด
และตัวเขาเองก็มีฝีมือในการทำขนมเค้กอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเค้กวันเกิด เค้กทานเล่นเป็นอาหารว่าง หรือแม้กระทั่งรับทำเค้กในงานแต่ง
ภูมิรพีเป็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัด เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว และเป็นคนเจ้าระเบียบ เสื้อผ้าหน้าผมต้องดูดีอยู่เสมอ เมื่อออกไปพบปะกับลูกค้า แต่ในเวลาที่เขาเข้าครัวลงมือทำเค้กกับมือ เขาจะแต่งตัวตามสบายให้เหมาะกับการทำงานในห้องครัว
ภูมิรพีและขวัญจิราเจอกันได้อย่างไร ย้อนกลับไปในสมัยที่ ขวัญจิรายังเรียนมหา’ลัย
เธอใส่ชุดนักศึกษา กระโปรงยาวเกือบถึงพื้น สวมรองเท้าผ้าใบ สีขาวใส่สบาย ด้วยความที่ขวัญจิราไม่ชอบใส่รองเท้าคัทชู เพราะมันชอบกัดเท้าของเธอ จนหญิงสาวต้องมานั่งทะเลาะกับรองเท้าต่อหน้าเพื่อน ๆ ในกลุ่ม รวมถึงเพื่อน ๆ ในห้องอีกด้วย
ภูมิรพีได้เจอกับขวัญจิรากันครั้งแรก คือ ตอนเธอไปทานอาหารกับเพื่อน ๆ ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เนื่องด้วยเพื่อนในกลุ่มของเธอใส่ชุดนักศึกษาคล้าย ๆ กัน ซึ่งตัวเขาเองก็มิอาจทราบได้ว่า เป็นเพื่อนจากมหา’ลัยเดียวกันหรือไม่ หรือแค่ต่างคณะ แต่ทว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจในจุดนั้น
ซึ่งในตอนนั้นขวัญจิราไว้ผมยาวสีดำ กำลังนั่งหัวเราะต่อกระซิกกับเพื่อน ๆ อย่างออกรส แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองก็ต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ พร้อมกับพยายามขยายภาพเข้าไปใกล้ ๆ ว่าเธอศึกษาอยู่ที่ไหน คณะอะไร และชั้นปีที่เท่าไหร่
ซึ่งในตอนนั้นภูมิรพีมีอายุยี่สิบเก้าย่างสามสิบปี เป็นช่วงอายุที่เขาควรจะมีครอบครัว และอีกอย่างเพื่อนในวัยเดียวกับเขาต่างก็มีครอบครัวและเจ้าตัวน้อยกันเกือบหมด
ต่อจากนั้นเพียงไม่นาน เขาสืบสาวได้ว่าผู้หญิงที่ตนหลงรัก ศึกษาที่ไหน ชั้นปีอะไร รู้ถึงชื่อและนามสกุลของเธอ เพราะเจ้าตัวดันเอารูปดังกล่าวไปให้ฐากูรและกชอรซึ่งเป็นบิดาและมารดาของตนได้ชม และบอกกับพวกท่านทั้งสองอีกว่า‘ผู้หญิงคนนี้ที่ผมอยากจะแต่งงานด้วย’
คำพูดที่เขากล่าวออกมา เป็นคำพูดที่ผู้หญิงหลาย ๆ คน อยากได้ยินจากปากผู้ชายที่เธอหลงรัก หรือจากปากของฝ่ายชายที่แอบชอบผู้หญิง
แต่เมื่อภูมิรพีได้พบเจอกับขวัญจิรา พอเขาได้เห็นปุ๊บ ก็หลงรักปั๊บ น้อยคนนักที่จะมีความรู้สึกได้ถึงขนาดนี้ จนทำให้ภูมิรพีเชื่อในคำนิยามที่กล่าวไว้ว่า ‘รักแรกพบ’ มันเป็นยังไง
ทว่าในตอนนั้น กชอรผู้เป็นมารดาของภูมิรพีมีความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเด็กคนนี้ซะเหลือเกิน
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก กชอรก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เด็กสาวคนนี้เป็นบุตรสาวของขวัญนิภา ซึ่งเป็นเพื่อนของตนในสมัยเรียน อีกอย่างก็เพิ่งเจอกันเมื่อไม่นานมานี่เอง
++ คำโปรย ++ เมื่อเธอท้องกับเขา แต่แม่ฝ่ายชายกลับไม่ยอมรับแถมยังให้ชายคนรักของตนต้องไปแต่งงานของคนอื่นน้องแฝดที่คลอดก่อนกำหนดด้วยสภาวะจิตใจของผู้เป็นแม่จะเป็นอย่างไร +++ เนื้อหาบางส่วน +++ "พะ แพรว... อ๊ายยย" ธิดาเสียหลัก จึงเรียกสายตาของทุกคน พร้อมกับแพรวที่เข้ามาหาร่างของเธอ "กะ แกละ เลือด..." น้ำเสียงสั่นเครือ มองไปบนพื้น ซึ่งเริ่มมีสีแดง ค่อย ๆ ไหลเจิ่งนอง ใบหน้าของธิดาเริ่มไม่สู้ดี เมื่อเพื่อนสาวของตนบอกว่ามีเลือด จึงทำให้ธิดาก้มไปมองด้านล่าง และก็เป็นอย่างที่เห็น "ธะ ธิดา" นันยศลืมไปเลยว่าตนเองอยู่ในฐานะไหน ร่มที่กางแดดบังลมให้กับขวัญเนตร ก็ร่วงหล่นตกพื้น ก่อนจะรีบปีนข้ามรั้ว ปรี่เข้ามาชอนร่างของธิดามาอยู่ในวงแขน "ฉันจะพาธิดาไปโรงพยาบาล ส่วนเธอค่อยตามไป เตรียมของทุกอย่างของธิดาให้พร้อม และอย่าลืมบอกแม่ด้วย" เขากล่าวเสร็จสรรพ ก่อนจะสาวเท้าไปด้านหน้า เช่นเดียวกับที่แพรววิ่งไปเปิดประตูรั้ว "อุ่น!" ตะโกนลั่น ริมฝีปากที่ขบเม้มเข้าหากัน แววตาเบิกโพลง ไม่ชอบใจที่เขาทำอะไรออกนอกหน้า "ถ้ายังเป็นคน ก็หลีกไปซะ ผมจะไม่ยอมให้ลูกในท้องเป็นอะไรเด็ดขาด" น้ำเสียงเข้มของนันยศ ทำให้ขวัญเนตรต้องสะดุ้ง เพราะตั้งแต่ทั้งสองเป็นสามีภรรยา เขาก็ไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับหล่อนเลยสักครั้ง
กุมภัณฑ์ เป็นชายหนุ่มที่เกิดในราศี กุมภ์ และเขาเป็นผู้ที่อยู่ในดินแดนของยมโลก เนื่องด้วยได้คำสั่งจากเบื้องบนให้ไปดูแล โมราห์ เป็นเด็กสาวที่อยู่ในการปกครองของ กุมภัณฑ์ แต่มันจะเกี่ยวอะไรกับเธอหรือเปล่านะ ทำไมถึงต้องส่งชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ที่วัน ๆ คลุกคลีสาวงามที่ดินแดนมีแต่กระทะทองแดง ต้นหงิ้ว และเสียงร้องโหยหวยจากพวกวิญญาณที่ทำชั่ว ทว่าเขาจะอดใจได้หรือไม่ ที่ไม่ได้ปลดปล่อยความเป็นชาย
.. "ใครให้คำนิยาม ว่าการแต่งงานคือตอนจบของชีวิต การแต่งงานต่างหากล่ะ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด" .. . . . # "หากมนุษย์เราสามารถย้อนอดีตไปได้ แล้วการแก้ไขเรื่องราวในอดีต จะทำให้อนาคตเปลี่ยนแปลงไหม"
++ คำโปรย ++ ใครจะไปคิดล่ะว่านางจะเข้าไปอยู่ในซีรีส์ที่ได้ชมก่อนนอน จึงทำให้นางได้ไปพบกับท่านแม่ทัพในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งมีจักรพรรดิเฉียนหลงเป็นฮองเต้ในสมัยนั้น แถมท่านแม่ทัพผู้นี้เพิ่งจะโดนหักอกมามาด ๆ อีกด้วย *** เนื้อหาบางส่วน *** “เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้ในเรือนของซูเม่ย ดังขึ้นมาจากด้านนอก พลางรีบปรี่เข้ามาหานายของตน ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าสาวใช้ของตนมาก่อน “เจ้าจะเอะอะโวยวายอันใดกัน ข้ากำลังนั่งปักผ้าให้สามี” ซูเม่ยที่กำลังจดจ่อกับผ้าขาวบาง ที่มีไม้ขนาดสี่เหลี่ยมทับผ้าผืนนั้นเอาไว้ พร้อมกับลายผ้าที่มีรอยร่างเส้นไว้บาง ๆ ให้เป็นลายปัก “กะ… เกิดเรื่องใหญ่ที่เรือนภรรยาเอกของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” สาวใช้คนดังกล่าวมีใบหน้าที่ตื่นตระหนก พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ “เกิดเรื่องอันใดของเจ้ากัน ข้ากำลังอารมณ์ดี ๆ เจ้ากลับหาเรื่องมาให้ข้าอารมณ์ขุ่นมัว” คิ้วขมวดเป็นปมของซูเม่ยบ่งบอกว่านางไม่สบอารมณ์จริง ๆ เพราะหลังจากที่ท่านแม่ทัพมาให้ความสุขกับนางถึงในอ่างอาบน้ำ นางจึงปักผ้าให้สามีของตนเป็นการตอบแทน ที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ลืมนางเสียทีเดียว
เมื่อ 'รมิตา' ต้องมาเป็นเลขาจำเป็นอย่างไม่เต็มใจ เพราะ 'ชัชนนท์' เป็นบอสของเธอ ที่เอาแต่จะหาเรื่องแกล้งเธอตลอดเวลา แต่ทว่ามีอะไรฝั่งใจชัชนนท์กันนะ ถึงได้แกล้งนางเอกของเรา แต่มันมีเรื่องราวอะไรมากกว่านั้น
ปลัมน์ นักธุรกิจหนุ่มหล่อลูกครึ่ง ถูกแม่สั่งให้ทำยังไงก็ได้ ที่จะกัน พลอยหยก ออกไปจากชีวิตน้องชายของเขา แต่หารู้ไม่ว่า พอถึงคราวของตัวเอง เขากลับกันเธอออกจากชีวิตตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีเธอ ----------------------- “ปวดแผลจัง สงสัยต้องนอนพัก คุณล่ะทำอะไรตั้งหลายอย่างผมว่านอนพักก่อนดีกว่ามั้ย” เขาเอ่ยเมื่อพลอยหยกกลับจากเอาทุกอย่างไปล้างในทะเลเรียบร้อยแล้ว “ฉันยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณนอนก็ดี เดินไกลกว่าทุกวันแล้วค่ะ” พลอยหยกเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยเดินมาคอยประคองให้เขานอนลงได้อย่างสะดวก โดยมีเสื้อชูชีพสองตัววางซ้อนกันเป็นหมอนให้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วเมื่อจ้องมองใบหน้าของเขาที่หล่อเหลากว่าทุกวัน ยิ่งเขาจ้องมองมาหาด้วยแล้วก็ยิ่งเกิดอาการประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “คุณนอนพักก่อนดีกว่านะแกว จะได้มีแรงไว้สู้กับการสอยมะพร้าวไง” มือข้างขวาของเขารั้งเอวเธอเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน แถมยังออกแรงกดบังคับให้เธอโน้มกายลงไปหาพื้นข้างๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจ็บแผลอยู่บ้างแขนข้างขวาของเขาก็ยังมีเรี่ยวแรงมาพอที่จะหยัดตัวให้นอนตะแคงไปหาเธอ ดวงตาคู่คมจ้องมองใบหน้าที่เขาเดาว่าคงจะแดงเพราะความอายที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นแน่ และเขาก็ช่วยให้ห้วงเวลาที่เธอคงจะอึดอัดนั้นสั้นลงด้วยการก้มลงไปหาริมฝีปากนุ่มช้าๆ มอบจุมพิตอันแผ่วเบาให้เจ้าของริมฝีปากที่ไม่ได้ขัดขืนใดๆ อีกทั้งยังโอบกอดตัวเขาไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วย ใบหน้าสวยก็แหงนเงยขึ้นเพื่อให้เขาได้ดอมดมปลายคาง ลำคองามระหงอย่างสะดวก ก่อนจะกลับขึ้นไปดูดดื่มริมฝีปากอีกวาระ แขนข้างซ้ายที่เคยเจ็บบัดนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว และใช้มันยกสอดเข้าไปใต้เสื้อยืด แถมมันยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะถลกบราเซียออกจากสองบัวงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อไม่ใคร่ถนัดนักเขาเลยเลื่อนมือขวาลงมาช่วยด้วยการถลกเสื้อยืดขึ้น โดยเจ้าของเสื้อคอยให้ความร่วมมือพยุงกายขึ้นจากพื้น แล้วแอ่นอกให้กับอุ้งปากอุ่นของเขาได้ลิ้มลองอย่างไม่หวงแหน แม้ใจจะบอกตัวเองว่าต้องห้ามเขา แต่พลอยหยกก็ไม่อาจจะทำได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้เป็นสุขใจจนลืมทุกอย่างเพียงเพราะมีเขาอยู่แนบชิดขณะนี้ จนไม่อาจจะผลักไสเขาไปไหนได้นอกจากยินยอมพร้อมใจให้เขาได้เชยชมเพื่อชดเชยความสุขสมที่พึงมีด้วยกันนับตั้งแต่วันได้นอนแนบชิดกันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ปลัมน์ก็ไม่คิดจะห้ามตัวเองด้วยเช่นกัน เขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ถุงยางอนามัยติดตัว และไม่แคร์ด้วยว่าเธอคืออดีตคนรักของหลานชาย ด้วยหัวใจไม่อาจจะหักห้ามความต้องการทั้งทางกายและทางใจได้อีกต่อไปแล้ว ผ่านมาหลายค่ำคืนที่เขามีสติล้วนแล้วแต่เป็นการกล้ำกลืนฝืนทนสุดๆ สำหรับเขาแล้ว แผงอกเปลือยทั้งสองบดเบียดแนบชิดกันเนิ่นนานกว่าปลัมน์จะค่อยๆ เลื่อนมือขวาลงไปหาหน้าท้องแบนราบจนพานพบตะขอกางเกงยีนส์ เขาใช้เวลาปลดไม่นานพอๆ กับการรูปซิปออก แล้วส่งนิ้วเรียวเข้าไปลูบไล้ผิวกายนุ่มนวลนอกแพนตี้สีหวานที่ชวนให้หลงใหลจนเขาปล่อยใจให้เตลิดเปิดเปิงไปเลยขั้นที่เกินจะควบคุมได้อีกต่อไป ไม่แตกต่างจากพลอยหยกนักที่เป็นสุขใจเกินคณากับการมีเขามาแนบชิดอยู่อย่างนี้ สองฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างบึกบึนของเขาอย่างลืมตัว ริมฝีปากนุ่มก็จูบตอบเขาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ก็ตามที แต่การถูกเขามอบจุมพิตให้บ่อยครั้งก็คือเป็นความคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่งแล้ว หญิงสาวสะดุ้งเฮือกกับอุ้งปากอุ่นของเขาที่กำลังครอบครองปลายยอดชูช่อประหนึ่งรอให้เขามาเยี่ยมเยือนก็ไม่ปาน แผ่นหลังนุ่มแทบไม่ติดพื้นใบมะพร้าวเมื่อเธอเผลอแอ่นกายขึ้นเพื่อให้เขาได้ดูดดื่มอย่างสะดวก เธอรับรู้ได้ว่ากายเขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือบางเผลอออกแรงบีบตรงหัวไหล่ซ้ายของเขาเพราะความเจ็บร้าวไปทั่วกายจากความต้องการที่จะมีเขาเข้าครอบครอง “แกว! ตัวผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว ผมต้องการคุณเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเขาแหบพร่าอยู่ใกล้ๆ หู ก่อนจะซอกไซ้ปลายจมูกไปกับซอกคอระหงแล้วเลื่อนลงไปหาอกอวบอิ่ม อ้อยอิ่งอยู่กับปลายยอดอีกข้างอย่างหลงใหลอีกครั้ง พลอยหยกรับรู้ถึงความต้องการของเขาได้ตรงสะโพกผายตึงเมื่อความแข็งแกร่งของเขาส่งสัญญาณมาหาโดยไม่ต้องบอกกล่าวทางวาจาเพราะด้วยภาษาทางกายแจ้งอย่างชัดเจนกว่าเรียบร้อยแล้ว “คุณปลัมน์คะ!” พลอยหยกส่งเสียงติดๆ ขัดๆ ไปหาเขา สองมือบางก็พยายามจะดันอกเขาออกอย่างยากลำบาก “แกว! อย่าห้ามผมเลยนะ เราต่างก็ต้องการกันและกัน อย่าสนใจอะไรอีกเลยนะ” เขาส่งน้ำเสียงอ้อนวอนมาให้ขณะพรมจูบไปตามผิวกายขาวและกำลังเลื่อนต่ำลง พลอยหยกต้องพยายามสะกัดกลั้นความรู้สึกวาบหวานเอาไว้และพยายามใช้สองแขนหยัดกายให้ลุกขึ้น “คุณปลัมน์คะ! ฟังสิคะ” “บนเกาะนี้มีแค่เราสองคน ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือเปล่า และไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องติดอยู่นี่ไปเป็นปีๆ ก็ได้ ถ้าถึงตอนนั้นเราก็คงไม่พ้นต้องทำเรื่องนี้ด้วยกันอยู่ดี แล้วจะให้ผมรออะไรอีกแกวคุณอยากให้ผมลงแดงตายเพราะต้องการคุณหรือไง” แต่ก็ถูกกายกำยำเขาทาบทับไว้ ส่วนมือขวาที่ใช้การได้ก็กำลังเลื่อนขอบกางเกงยีนส์ออกจากสะโพกผายตึง “แต่เสียงนั่นค่ะ คุณฟังสิคะ” แม้จะเป็นเสียงแห่งความช่วยเหลือกำลังมาถึง แต่ปลัมน์ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น และอยากฆ่าคนที่กำลังมาด้วย เพราะมันไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย “คุณหูฝาดไปเอง ผมไม่เห็นได้ยินอะไรสักนิด” เขางับยอดบัวงามไว้ในอุ้งปากแล้วดูดดื่มอย่างหิวกระหายและควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ “คุณปลัมน์คะ แต่เสียงนั่นใช่เสียงเครื่องบินหรือเปล่าคะ ฉันได้ยินค่ะ คุณฟังสิคะ”
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"